ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 56 เล่ม 3 : เฮเว่นส์ลีคส์ (10)
กับดักเงา
“อั๊ก…”
ฮิมูโระได้สติขึ้นมาจากความว่างเปล่า เขาควรจะมองเห็นตัวเอง เเต่เขาก็มองเห็นเเค่สีดำอันมืดมิด
“ที่นี่คือยังไงกัน” ฮิมูโระพึมพำกับตัวเอง
เขาไม่ได้คิดอะไรเเละพยายามจะลุกขึ้นนั่ง เเต่ทว่าหัวของเขาก็ไปชนกับอะไรสักอย่าง ทำให้เขาลุกออกไปไมไ่ด้ ระหว่างที่นอนตะเเคงอยู่ เขาก็ยื่นมือออกไป พบว่าเหมือนจะมีกำเเพงอยู่ห่างจากหน้าเขาไปประมาณ 20 เซ็นติเมตร
“โอ้ ไม่นะ”
ฮิมูโระพยายามจะเหยียดเเขนทั้งสองข้าง เเต่ก็มีกำเเพงมากันมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ในระยะใกล้ เขายื่นมือขึ้นไปด้านบนหัวด้วยความตกใจ ปลายนิ้วของเขาก็สัมผัสกำเเพงอีกครั้ง ตอนนี้เหลือเเค่ที่เท้า ถ้ายังมีกำเเพงอีกก็หมายความว่า-
“ฉันถูกฝังอยู่ในโลงศพใต้ดิน6ฟุตงั้นหรอ!!”
พอเขาคิดได้ดังนั้น ฮิมูโระก็เริ่มเวียนหัว เขาหายใจสั้นเเละถี่ขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่นะ ทำใจดีๆเอาไว้…”
ฮิมูโระรู้ว่าเขากำลังจะเกิดอาการตื่นตระหนกอย่างเฉียบพลัน เขาเลยพยายามจะทำสมาธิโดยการหลับตา พยายามเค้นสมองจำว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่เขาจะหมดสติไป หลังจากที่ไซโต้ เรียวโกะเข้าไปในออฟฟิศ ฮิมูโระก็บุกเข้าไปในเขตบ้านนั่น ใช่ ทำเเบบนั้นมันบ้าบิ่นเเอามากๆ เเต่สำหรับคนที่ทำงานด้านโทรทัศน์ เรื่องเเบบบนี้ใครๆเขาก็ทำกัน เพราะคนที่ไม่สามารถหาวีดีโอข่าวมาได้ก็เป็นเเค่คนไร้ค่าเท่านั้น ถ้าฮิมูโระถูกจับได้ เขาก็เเค่ก้มหัวขอโทษเเละอ้างว่าเข้าบ้านผิดเพื่อป้องกันปัญหาก็เท่านั้น วิธีนี้ก็ได้ผลมาตลอดจนถึงตอนนี้
จังหวะนั้น ฮิมูโระก็รู้สึกถึงน้ำหนักของสิ่งที่อยุ่ในกระเป๋าเสื้อโค้ท ดูเหมือนว่าจะยังมีโทรศัพท์อยู่ เขารีบคว้ามันออกมาจากกระเป๋า ความเป็นไปได้ที่จะหนีจากความมืดนี้ทำให้เข้าสบายใจขึ้นอย่างมาก เเต่พอเขากดสวิตซ์ โทรศัพท์กลับไม่เปิดขึ้น
“เเม่งเอ๊ย!!”
เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหายใจไม่ออกอีกครั้ง ถ้าเขาอยู่ในโลงศพใต้ดินจริงๆ เขาจะมีอ็อกซิเจนจำกัด พอคิดได้เเบบนั้นเขาก็เริ่มกลัว
“ปล่อยฉันออกไป!!” ฮิมูโระตะโกนเเละเอากำปั้นทุบไปที่กำเเพงตรงหน้าเขา “ปล่อยฉันออกไปเซ่!!!!”
เหงื่อเริ่มผุดออกจากทั่วร่างกาย เขากำลังรู้สึกว่าหายใจไม่ออก ไม่ว่าจพยายามสูดอากาศขนาดไหน เเต่ออกซิเจนก็ไปไม่ถึงปอดเลย ฮิมูโระใช้เเขน ขา เเม้กระทั่งหัวกระเเทกเข้าไปที่พื้นผิวของพื้นที่ปิดนี้ทั้งน้ำตา เเละตะโกนจนเสียงเเหบ
“ฮิมูโระ ทาคัตสึกุ” มีเสียงเรียกเขา
“ปล่อยฉันออก- หา!?”
“กะ-เเกเป็นใคร ไม่ ฉันไม่สน เเค่ปล่อยฉันออกไปที!”
เสียงนั้นมาจากทางขา เเละในพื้นที่ที่ไม่มีอากาศหายใจนี้ เสียงนั่นเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียว
“ใครจ้างนายมา” เสียงนั้นถาม
“ขอร้องล่ะ – ปล่อยฉันไปจากที่นี่เถอะ ฉันหายใจไม่ออก” ถึงเขาจะคร่ำครวญไปก็ไม่มีใครตอบ
“ฮัลโหล เเกเเค่ล้อเล่นใช่ไหม พูดอะไรบ้างสิ”
“พวกที่ไม่มีคำตอบนั้นไร้ค่าสำหรับฉัน”
“คะ-คำตอบหรอ”
ฮิมูโระพยายามนึกว่าคำถามคืออะไร ถ้าจำไม่ผิดคือ “ใครจ้างเขามา”
“โปรดิวเซอร์!! ฉันทำงานที่สถานีโทรทัศน์” เขาตะโกนตอบ
เขาตื่นตกใจ มีความคิดหลายอย่างเเล่นเข้ามาในหัว ใครจ้างฉันมาหรอ นี่มันคำถามอะไรกันเนี่ย นี่เป็นความจริงไม่ใช่หนังหรือซีรี่ส์ใช่ไหม
“เเล้วมาด้อมๆมองๆที่บ้านของเราทำไม”
“หา ฉะ-ฉันเเค่…”
ฮิมูโระอธิบายสิ่งที่เขาสามารถอธิบายได้กับเสียงลึกลับนั่น เขาทำงานตามคำสั่งของโปรดิวเซอร์ที่ชื่อว่าอิชิซุกะจากเซ็นทรัลทีวี
ระหว่างนั้นเขาก็กรีดร้องอยู่ในใจ
อิชิซุกะพูดกับเขาว่ายังไงเมื่อวันก่อนนะ เราไม่เหมือนกับนักข่าว ก็เเค่พูดว่า “อ๋อ ฉันผิดไปเเล้ว ขอโทษก็เเล้วกัน” มันจะไปได้ผลได้ยังไงวะ ถ้าทำตามนี้ต้องถูกฝังทั้งเป็นเเน่ๆ เเล้วตอนนั้นฉันพูดยังไงกับตัวเองนะ สตูดิโอไม่ให้ความสำคัญกับคนอื่นๆงั้นหรอ
เเต่มันก็สายไปเเล้วที่จะรู้สึกผิด ฮิมูโระทำได้เเค่สารภาพทุกอย่างเเละร้องขอชีวิต
โยโยกิ-ฮาจิมัน ออฟฟิศ
หลังจากถามคำถามไปหลายข้อ เราก็พาพราไลซ์ฮิมูโระอีกครั้ง เเต่ทว่ารถพยายามก็กำลังยุ่งพอดี ถ้าจะให้คนมาเเบกเขาไป ผมก็รู้สึกไม่ดี พอคิดว่าชชายคนนี้ไม่น่ามีปัญหาอะไร เราก็เลยติดต่อสายลับทานากะ ขอให้เขาพาตัวคนที่จับได้ไปตามปกติ ถึงจะใกล้เที่ยงคืนเเล้ว ทานากะก็มาถึงออฟฟิศเกือบจะทันที
“เขาจะถูกพาไปโรงพยาบาลรึเปล่า” มิโยชิถาม
ทานากะทำหน้าสงสัย น่าจะเพราะเราไม่เคยถามคำถามนี้มาก่อน
“ทำไมถึงอยากรู้ล่ะครับ”
“เขาดูไม่เหมือนว่าเคยได้รับการฝึกเรื่องทำนองนี้มา” มิโยชิตอบ “ถ้าเขาเป็นคนธรรมดา ฉันคิดว่าจะไปเยี่ยมเขาทีหลังน่ะ”
ทานากะมองไปที่ฮิมูโระ ที่ตอนนี้อยู่บนเปลหาม “เขาอาจจะดูไม่เหมือนสายลับเพราะว่าเขาเป็นสายลับที่ปลอมตัวได้ยอดเยี่ยมก็ได้ เเต่สำหรับคืนนี้ เราจะส่งเขาไปที่โรงพยาบาลตำรวจเมโทรโพลิเเทนก็เเล้วกันครับ”
“เข้าใจเเล้ว ขอบคุณมากนะ”
ทานากะพยักหน้าให้เล็กน้อย หลังจากนั้นเขาเเละลูกน้องก็ออกจากออฟฟิศไป
“คิดว่าเราทำเกินไปรึเปล่า” ผมถาม
ถ้าเกิดฮิมูโระช็อคขึ้นมาจริงๆล่ะ เขาอาจจะเอาหัวโขกจนกระดูกร้าวก็ได้ หรืออาจจะชัก ถ้ามีอะไรพวกนี้เกิดขึ้น เราลำบากเเน่
“ฉันจงใจเลือกเวลาให้เรื่องเเบบนั้นไม่เกิดขึ้นเเล้วล่ะ ถ้าฉันอยากจะทรมานหมอนั่นจริง คงจะทิ้งเขาไว้ที่นั่นนานกว่านี้เเล้ว”
พื้นที่มืดสนิทที่เเทบจะขยับตัวไมไ่ด้น่ะหรอ เเค่คิดก้ทำให้ผมคลื่นไส้เเล้ว
“เเค่นึกภาพก็ขนลุกเเล้วล่ะ งั้นสุดท้ายเเล้วเธอก็ทำให้เขาหลับด้วยมัดเงางั้นหรอ”
“ใช่ เเล้วฉันก็เอามือถือ เครื่องอัดเสียงเเล้วก็เเบตเตอรี่ไปใส่ที่เดิมเเล้วด้วย พอเขาตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาลตำรวจ เขาน่าจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นเเค่ความฝัน”
ผมหรี่ตา “เเน่ใจเรอะ”
เพราะผมไม่เชื่อน่ะสิ
“เธอวางเเผนอะไรไว้กันเเน่”
“วางเเผนงั้นหรอ รุ่นพี่ทำให้ฉันเจ็บปวดอยู่นะ!!”
“เลิกเลยๆ เธอจงใจถามว่าเขาจะถูกส่งไปที่โรงพยาบาลไหน เธอต้องมีเเผนอะไรเเน่ๆ ใช่ไหม”
“ถ้าเขามาโดนลูกหลงเพราะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสายลับก็จะไม่ดีใช่ไหมล่ะ ฉันเลยถามเผื่อเอาไว้จะได้ไปเยี่ยมวันพรุ่งนี้”
“เเล้วใจจริงล่ะ”
“ก็เราไม่รู้จักใครเลยในวงการนั้น ฉันเลยอยากจะ…เป็นเพื่อนกับเขาสักหน่อย ดูสิ เขาทิ้งกล้องไว้ที่นี่เลยนะ” มิโยชิหยิบกล้องที่ฮิมูโระทำหล่นไว้ขึ้นมา
“เพราะเราเจอกล้องนี่คนละที่กับที่เจอฮิมูโระ ฉันก็เลยไม่ได้ให้ทานากะไปด้วย”
หลังจากขู่ไปซะขนาดนั้น เธอยังอยากจะเป็นเพื่อนกับเขาอีกหรอ เอาจริงดิ
“ว่าเเต่ ข้อมูลส่วนตัวที่ผูกอยู่กับใบอนุญาตการค้าของJDAมันเป็นความลับใช่ไหม”
“ใช่ คิดว่างั้นนะ ไม่งั้นต้องมีคนมาเคาะประตูบ้านเราเเน่ การค้าทุกอย่างจะต้องผ่านJDA”
มิโยชิถอนหายใจอย่างขุ่นเคือง “เราต้องส่งคำร้องเรียนไปทางนารุเสะเเล้วล่ะ ว่าเเต่พอเป็นเรื่องการประมูลเเล้ว JDAค่อนข้างจะระวังตัวเลย เเต่พอเป็นเรื่องที่นักเเสดงหน้าใหม่พูดถึง “โค้ช”เเล้ว ทางโปรดักชั่นกลับจะใช้เรื่องเเรวในเเง่มุมนั้นนำเสนอการประมูลให้ตื่นเต้นเร้าใจงั้นหรอ พวกคนที่ทำงานที่สตูดิโอทีวีเป็นพวกงี่เง่ารึไง ฉันนึกว่าเป็นพวกที่มีการศึกษาสูงซะอีก”
“บางทีก็พวกที่มีการศึกษาสูงนี่เเหละที่ชอบใช้ประโยชน์จากช่องโห่ว”
ถ้าทางโปรดักชันทำเกินไป พวกเขาก็สามารถบังคับให้นักเเสดงทำการของโทษได้ จนถึงตอนนี้ วิธีนี้สามารถซุกข่าวฉาวไว้ใต้พรมได้อย่างไม่มีปัญหา เเน่นอนว่าเราสามารถยื่นคำร้องได้ที่องค์กรพัฒนาจริยธรรมการองค์การโทรทัศน์ เเต่ขนาดกระทรวงมหาดไทยเองก็ยังบอกว่า “องค์กรพัฒนาจริยธรรมองค์การโทรทัศน์นั้นไม่ได้เป็นองค์กรอิสระ เเละการตัดสินใจของพวกเขานั้นก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง” สุดท้ายเเล้วผู้คนก็เลยชินชากับปัญหาพวกนี้ไปเอง
“เธอคิดว่าการหาเบาะเเสการประมูลเป็นจุดประสงค์ที่เเท้จริงของคนๆนี้รึเปล่า”
มิโยชิดูไม่เข้าใจ “รุ่นพี่หมายความว่ายังไง ใครจะไปโกหกได้ในสถานการณ์เเบบนั้น”
“ไม่สิ ฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะโกหกหรอกนะ เเต่ว่า…เขาอยากจะสืบสวนเรื่องอะไรเกี่ยวกับการประมูลกันเเน่ ถึงจะไมไ่ด้ตรวจสอบอย่างจริงจัง เขาก็น่าจะรู้ว่าผู้ให้ประมูลคือใครอยู่เเล้ว เพราะอยู่ดีๆเจ้าของไอดีก็ขยับกลายเป็นเเรงค์Sเลย จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ”
“ก็จริงนะ คนทั่วไปน่าจะอยากรู้ว่าเราหาออร์บมาได้จากที่ไหน หรือเราเกี่ยวข้องกับนักสำรวจระดับโลกคนอื่นๆรึเปล่า เเล้วก็วิธีที่เราเก็บรักษาออร์บ”
“สายลับเป็นโขยงตรงตึกข้างหลังเราก็อยากได้ข้อมูลพวกนั้นเหมือนกัน เเล้วทำไมถึงมีใครก็ไม่รู้จากสถานีโทรทัศน์มาด้อมๆมองๆล่ะ”
“อาจจะมีบางคนยุให้ทำก็ได้”
“อย่างโปรดิวเซอร์ที่ชื่ออิชิซุกะที่มาจากเซ็นทรัลทีวีนั่นหรอ”
“น่าจะนะ เดี๋ยวฉันจะลองตรวจสอบดูอีกที”
“เดี๋ยวนะ ที่บอกว่าจะตรวจสอบนี่คือจะทำยังไง”
“พวกเขาบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนบุคคลของเราอย่างโจ่งเเจ่งขนาดนี้ ต้องให้คนพวกนี้รู้ว่าพวกเขาก็กำลังถูกจับตาดูอยู่เหมือนกัน”
“เธอจะใช้บริษัทนักสืบเอกชนหรอ”
“ไม่ช้าก็เร็ว เราต้องหาทางรับมือกับพวกสื่อมวลชนอยู่ดี ตอนนี้อยู่ดีๆก็มีพวกเขาโปล่ขึ้นมาเอง ฉันต้องใช้โอกาสนี้ให้คุ้ม”
“อย่าทำเกินไปก็เเล้วกัน” ผมถอนหายใจ
“ที่สำคัญกว่านั้น รุ่นพี่ดูนี่ให้หน่อยสิ”
มิโยชิส่งเเท็ปเล็ตมาให้ มันเเสดงกราปสามมิติรูปร่างเเปลกๆอยู่ ระหว่างที่เรากำลังสับสน มันคงคำนวนเสร็จเเล้วมั้ง
“อะไรล่ะนั่น”
“อุปกรณ์การวัดโดยใช้ข้อมูลจากเเกนเวลาเพื่อเพิ่มความเเม่นยำน่ะสิ เครื่องนี้จะมีฟังชั่นส่งข้อมูลที่ได้รับในหนึ่งหน่วยเวลาออกไป พอดูที่ผลลัพธ์ดีๆ ฉันเจออะไรบางอย่างที่เหมือนเป็นเเพทเทิร์นในค่าผันผวนจากข้อมูลพวกนี้”
“เเพทเทิร์นงั้นหรอ”
“ใช่ เเล้วก็ตารางนี้ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้จากข้อมูลของนาคาจิม่า เเต่ฉันเเปลงมาจากข้อมูลที่ได้จากพวกนี้เอามาใส่เป็นกราฟสามมิติตามเเกนเวลา เเล้วก็ใช้เครื่องมือเอากราฟมาเเสดงผล”
ผมดูที่กราฟอีกครั้ง มันเป็นรูปทรงสามมิติเเปลกๆคล้ายกับรูปทรงขวดไคลน์ ที่เป็นรูปทรงที่โลกนี้มีไม่ได้
“ก็ดูเป็นเเค่รูปทรงเเปลกๆ เเต่รายละเอียดฉันไม่รู้เรื่องเลย”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันหมายถึงอะไร ต้องไปเล่นกับค่าสัมประสิทธิ์หลายอย่างถึงจะได้ผลอย่างที่ต้องการมา มันเเค่สะดวกเท่านั้นเอง เเต่ว่ามีอย่างนึงที่รู้ได้อย่างเเน่นอน”
มิโยชิสลับเอาอีกกราฟนึงขึ้นมาเเสดงบนเเท็ปเล็ต เเละรวมมันเข้ากับกราฟในตอนเเรก ทั้งสองกราฟนั้นซ้อนทับกันเกือบจะพอดี
“มันคือยังไงล่ะ”
“กราฟเเรกคือสเตตัสของฉัน กราฟที่สองคือสเตตัสของรุ่นพี่หลังจากที่ปรับให้เท่ากับฉันเเล้ว”
“สุดยอด เเทบจะเหมือนกันเลยนะ”
มิโยชิเอาอีกกราฟนึงให้ดู “ส่วนนี้เป็นค่าที่วัดได้โดยนาคาจิม่า”
พอผมดูตัวเลขพวกนั้น มันใกล้เคียงกับกราฟของพวกเราจริงๆ เเต่ว่ามีบางจุดที่เเตกต่าง
“ไม่ใช่เขาบอกว่าค่าผันผวนมันเเค่ 0.05% หรอกหรอ”
“น่าจะเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครื่องนั่นเเหละ”
คือถ้าเอาค่าที่นาคาจิม่าวัดมาเทียบกับค่าของผมที่เกือบจะเหมือนของมิโยชิ มันน่าจะไม่ซ้อนทับกันโดยสมบูรณ์
“ส่วนที่เเตดต่างกันนี่คือตอนที่ใช้เเพทเทิร์นนั่นกับไม่ใช่หรอ”
“ใช่ ฉันคิดว่านั่นเป็นส่วนสำคัญเลย”
“ยอดไปเลยนะมิโยชื ถ้าเป็นเเบบนั้นเธอสามารถวิเคราะห์กราฟรูปร่างเเปลกๆนี่เเล้วเเปลงมันกลับเป็นตัวเลขได้ไหม”
“น่าจะได้นะ เเต่ปัญหามันไมไ่ด้อยู่ตรงนั้นหรอ”
“หือ”
ถ้าเราสามารถใช้ข้อมูลที่วัดมาได้เเปลงเป็นค่าตัวเลขของสเตตัสได้ก็น่าจะเเก้ปัญหาของเราได้เเล้วไม่ใช่หรอ
“ลองดูนี่สิ”
ตอนนี้เเท็ปเล็ตเเสดงกราฟที่มีชื่อว่า “ไซโต้” เเล้วก็มีอีกกราฟที่ชื่อว่า “ไซโต้-ป” ป น่าจะมาจากคำว่า “เปรียบเทียบ”
มิโยชิเอากราฟทั้งสองตัวมาวางซ้อนกัน เเละมันก็ซ้อนทับสมบูรณ์เหมือนครั้งที่เเล้ว เเต่ว่าตัวกราฟเปรียบเทียบมีส่วนที่ยื่นออกมาอยู่
“ตรงนี้คืออะไรน่ะ”
“อาจจะเป็นขยะจากตอนที่ทำการประมวลผลก้ได้ เเต่ว่า…”
ผมช่วยมิโยชิสร้างข้อมูลเปรียบเทียบโดยเลียนเเบบสเตตัสของพวกผู้หญิง เเต่ปรากฏว่ากราฟเปรียบเทียบของผมกับ ไซโต้ มิตสึรุกิ เเละนารุเสะนั้นมีความเเตกต่างเหมือนกันหมด
“เเสดงว่ามีบางอย่างที่ฉันมีเเต่พวกผู้หญิงไม่มีงั้นหรอ”
เอาจริงๆผมก็คิดถึงอวัยวะส่วนนึงที่ยื่นออกมาจากร่างกายส่วนล่างของผมอยู่ เพราะมันเป็นส่วนที่ยื่นออกมาตรงตัวเลยนี่นา
“รุ่นพี่ ถ้ากำลังคิดถึงความเเตกต่างเรื่องเพศล่ะก็ไม่ใช่เลยล่ะ”
“ทำไมถึงคิดเเบบนั้นล่ะ”
“ก็ตอนเเรกที่เปรียบเทียบกราฟของฉันกับรุ่นพี่ มันเหมือนกันเด๊ะเลย เเล้วฉันเองก้เป็นผู้หญิงนะ”
จริงด้วยกราฟของผมกับมิโยชิชิเหมือนกันโดยไม่มีส่วนที่ยื่นออกมา
“งั้นก็เเสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่มีเเค่เธอกับฉันมีงั้นหรอ”
“ถ้าดูจากข้อมุลอันน้อยนิดของเราเเล้วล่ะก็ ใช่”
หรือก็คือ…
“อาจจะเป็นสกิลใช่ไหมล่ะ”
“ใช่ เเล้วก็น่าจะเป็นสกิลที่เกี่ยวกับสโตเรจด้วย”
“เหตุผลล่ะ”
“เพราะนารุเสะมีสกิลเข้าใจภาษาต่างโลกน่ะสิ”
อย่างนี้นี่เอง ถ้าส่วนที่ยื่นออกมาคือสกิล กราผของนารุเสะเองก็ต้องมีด้วย
“ถ้าเราให้มิตสึรุกิหรือไซโต้ใช้สกิลออร์บก็น่าจะคลายข้อสงสัยได้ เเต่ว่านะ…”
ไซโต้น่าจะดีใจ เเต่เธอค่อนข้างจะไม่ระวังตัว มันน่าจะเป็นปัญหามากกว่าเรื่องโค้ชซะอีกถ้าเธอหลุดปากไป
“เเล้วมิตสึรุกิล่ะ”
“เป็นเธอจะปลอดภัยหว่าเเหละนะ”
เเต่เราควรจะเอาสโตเรจให้มิตสึรุกิจริงๆหรอ ถ้ามีคนรู้ว่าเธอมีสกิลนี้ล่ะก็ อนาคตอาจจะมีจุดเปลี่ยนเลยก็ได้
“ทางที่ดีกว่านั้น ทำไมเราไม่เอาออร์บให้ผู้ปลดปล่อยมวลมนุษยชาติ – ไซมอน เกิชวิน – ล่ะ” ผมถาม
“ถ้ามีคนรู้ว่าเขาได้ออร์บมายังไง ทางSDFคงเเค้นเราสุดๆเเน่”
อีกทางนึง ถ้าเราเอาออร์บให้ SDFที่เรายังไม่มีคอนเนคชั่นอะไรเลย พวกเขาต้องจับตาดูเรายิ่งกว่าเก่าเเน่ ผมไม่อยากจะให้พวกเขามาสอดส่องอะไรมากมาย สุดท้ายSDFก็เป็นเเค่ตัวเลือกนึง เเต่ตอนนี้เรายังไม่ได้มีการเตรียมการอะไร
“อืมมม”
“หนึ่งในเพื่อนเราทั้งสามคนจะเป็นตัวเปรียบเทียบที่ดีที่สุดเเล้วล่ะ เเต่ถ้าเราสามารถวัดสเตตัสของทีมไซมอนก่อนที่จะใช้ออร์บได้ล่ะก็เป็นอีกเรื่องนึง เเต่พนันได้เลยว่าสเตตัสของพวกเขาน่าจะเป็นความลับขั้นสุดย- อ๊ะ นึกอะไรออกเเล้ว ทำไมเราไม่สร้างอะไรที่คล้ายๆกับเเจมเมอร์ล่ะ ต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเเน่เลย”
“นี่ฟังนะ…”
ถ้าสร้างอาวุธชีวภาพขึ้นมา คุณก้ไม่สามารถใช้ได้ถ้าไม่มีวัคซีนที่เอาไว้รักษามาคู่กัน เพราะงั้นถ้าคุณสร้างอุปกรณ์ที่จะเปิดเผยอะไรบางอย่าง ก็จะต้องมีอุปกรณ์เอาไว้ขัดขวางด้วย
“ถ้ากราฟพวกนี้มีอะไรบางอย่างที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ก็จะสะดวกหลายๆอย่างเลย” มิโยชิพุดในระหว่างปรับเปลี่ยนค่าของกราฟสามมิติ
“ถ้าสร้างกราฟหลายๆตัวที่ไม่ใช่สเตตัวของรุ่นพี่มาเเล้ว ดึงส่วนที่ไม่เปลี่ยนเเปลงออกมาได้ บางทีเราก้อาจจะได้ข้อมูลส่วนที่เป็นตัวระบุว่าเป็นรุ่นพี่ก็ได้ สุดท้ายเเล้วก็ต้องเอาไปเรียบเทียบกับข้อมูลของคนอื่นๆ ทำนู่นทำนี่ เเล้วก็…”
พอความสนใจของมิโยชิเปลี่ยนเรื่องไป เธอก็จะทำสิ่งนั้นไปจนกว่าจะถึงจุดๆนึง พวกคนที่มีวงจรความคิดเร็วส่วนมากจะมีเเน้วโน้มเป็นเเบบนี้ จนกว่ามิโยชิจะกลับมาสนใจเรื่องก่อนหน้า การตรวจสอบเรื่องสกิลสโตเรจคงต้องเอาไว้ก่อน
จนกว่าจะถึงตอนนั้น ผมต้องคิดว่าจะเอาสโตเรจไปให้ใคร เพราะยังมีสกิลขุดเหมืองรออยู่อีก พอนักสำรวจสามารถดรอปเเร่จากชั้นล่างๆได้เเล้ว มูลค่าของสโตเรจจะต้องพุ่งทะลุเเพดานเเน่
อีกทั้งเรายังต้องคิดว่าใครจะเป็นคนใช้สกิลขุดเหมืองด้วยเช่นเดียวกัน ตอนนี้มีออร์บขุดเหมืองอยู่ 5 ลูก เเน่นอนว่าสามารถเอาทั้งหมดไปประมูล เเล้วก็ปล่อยให้ประเทศที่ซื้อไปเป็นคนคิดก็ได้เหมือนกัน
มิโยชิจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมของเธอ ผมเลยหนีจากความจริงที่มีเเต่ปัญหาโดยการหยุดคิดเเละไปนอน พรุ่งนี้ผมต้องไปหาออร์บสโตเรจที่หมดเวลาคูลดาว์นเเล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นคนใช้สกิล ผมต้องไปเอาออร์บมาก่อนเพื่อลดเวลาคูลดาว์นให้ได้มากที่สุด
17 ธันวาคม 2018 (วันจันทร์)
โยโยกิ-ฮาจิมัน ออฟฟิศ
“ก็เลยไม่ได้นอนเลยหรือคะ” นารุเสะถาม
“ช่ายยย” มิโยชิตอบ
พอตื่นนอนเดินลงบันไดมา ก็เจอนารุเสะกำลังดุมิโยชิอยู่
“อรุณสวัสดิ์ กำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ”
“รุ่นพี่ๆ คอมฉันช้ามากเลยอ่า ซื้อซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ให้หน่อยสิ”
“อะไรนะ”
มิโยชิพยายามที่จะทำการประมวลผลข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมมาได้ เเต่ทว่ามันยังทำงานไม่เสร็จสักที เธอเลยโต้รุ่งทั้งคืนเพื่อทำการปรับค่าต่างๆ พอเช้ามานารุเสะก็มาถึงออฟฟิศ พอเธอมาเจอมิโยชิในสภาพนี้ ผู้ดูเเลเต็มเวลาของเราก็เลยดุที่เธอโต้รุ่ง
ก็พอไม่ได้จดจ่ออยู่กับอะไรเลย สกิลสุดยอดฟื้นฟูก็เลยไม่ทำงาน ผมเข้าใจที่มิโยชิตื่นเต้นเลยไม่นอนทั้งคืน เเต่ว่าไอซุปเปอร์คอมพิวเตอร์มันมาจากไหนล่ะเนี่ย
“ตอนนี้ เพตาฟลอปนึงราคาพันล้านเยนใช่ไหมนะ”
เเน่นอน ผู้สืบทอดของเคคอมพิวเตอร์จะจะถูกสร้างในปีหน้า มีงบการสร้าง 130ล้านเยนต่อหนึ่งเพตะ เเต่ที่สำคัญกว่านั้น
“งี่เง่าหรือไงเธอน่ะ เราจะเอาซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ไปไว้ที่ไหน”
ปัจจุบันนี้ คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่นั้นสามารถทำงานด้วยกระเเสไฟฟ้าตามบ้านเรือนปกติได้เเล้ว เเต่ทว่าซุปเปอร์คอมพิวเตอร์นั้นเป็นอีกเรื่องนึงเลย เบบเเย่ที่สุดคือต้องใช้ทั้งโรงไฟฟ้าเลยล่ะ
มิโยชิเเกล้งทำเป็นร้องไห้
“เธอนี่จริงๆเลย เเต่เคนั้นเปิดให้คนปกติเข้าใช้ได้นะ จากที่ทำงานเก่าของเรา ฉันเคยลองหาข้อมูลดูว่าเราจะใช้เคคำนวนเเละวิเคราะห์โครงสร้างของวัตถุดิบได้ไหม ถ้าจำไม่ผิด ถ้าจะเช่าทั้งวันจะราคา 30ล้านเยน เธอโอเคไหมล่ะ”
“ดีเลย!”
มิโยชิกระโดดขึ้นเเละพุ่งตัวไปเปิดเวปไซต์ของพื้นฐานโครงสร้างคอมพิวเตอร์ความสามารถสูง(HPCI) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่เปิดให้สาธารณะชนให้ โดยที่มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นเเละองค์กรวิจัยสามารถใช้เพื่อเก็บเเละทำการประมวลผลข้อมูลได้ พูดสั้นๆก็คือเป็นองค์กรที่เปิดให้คนทั่วไปมาใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
“ว้าว ถ้าจ่ายเงินจำนวนนึง HPCI จะเก็บผลลัพธ์ของโปรเจคให้เป็นความลับด้วย พวกเขายังต้อนรับลูกค้ามากๆ ถ้ามีเงินก็ทำได้ทุกอย่างนั่นเเหละ”
โดยทั่วไปเเล้ว องค์กรวิจัยจะสามารถใช้ HPCI ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในทุกๆปีหรือสองปีจะมีการเปิดรับสมัคร เเละถ้าผ่านการคัดเลือก ฝ่ายของคุณจะสามารถเข้าไปใช้ระบบได้ ซึ่งเเตกต่างอย่างมากกับด้านอุตสาหกรรม ที่ถ้าบริษัทจ่ายค่าบริการเอง พวกเขาถึงจะสามารถใช้ได้
“เคคอมพิวเตอร์สามารถใช้ได้ถึง6ล้านชั่วโมงโนด น่าจะช่วยสร้างกราฟของรุ่นพี่ได้เยอะเลย”
“รุ่นพี่ เครื่องจำลองโลกยังทำงานอยู่เลย ว้าว เวคเตอร์โปรเซสซิ่งนี่มันเท่ชะมัด! ฉันส่งใบสมัครไปด้วยเลยดีกว่า กดตกลงเเล้ว! ตอนนี้!”
มิโยชิไม่ดีดเกินไปหน่อยหรอ เธอจะเป็นอะไรไหมนะ
“มิโยชิ ไปนอนเถอะ ขอร้องล่ะ”
“ฉันจะใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ทุกตัวที่ญี่ปุ่นมี เเละจะไม่มีใครหยุดฉันได้ เย้”
เธอกระโดดเเละชูมือทั้งสองขึ้นเหนือหัว หมุนไปรอบๆอย่างกับสว่านเเละวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสอง
นารุเสะที่กำลังงงถามขึ้นมา “เธอจะเป็นอะไรไหมคะ”
“ไม่เป็นอะไรหรอก บางทีพอโต้รุ่งเเล้วเธอก็เป็นเเบบนี้เเหละ”
ตอนอยู่ที่ทำงานเก่า ถ้าเธอได้รับอนุญาติให้ใช้สารตั้งต้นที่มีราคาเเพง เธอก็จะทำตัวเเบบนี้เเหละ
ว่าเเต่มิโยชิทำอะไรกันเเน่นะ ถึงกับต้องใช้การคำนวนมากขนาดนั้น
“เเต่ว่านะคะ”
“หือ”
“เธอหมายความว่ายังไงหรอคะ ตอนที่บอกว่า “สร้างกราฟ”ของคุณน่ะ”
“ก็ เอ่อ.. รายละเอียดเป็นความลับ เเล้วมันก็ซับซ้อนเกินกว่าที่คนอื่นที่ไม่ใช่มิโยชิจะอธิบายน่ะ ไว้เธอตื่นมาเเล้วค่อยคุยเรื่องนี้ต่อก็เเล้วกัน”
ผมเเช่งมิโยชิอยู่ในใจในขณะที่กำลังหาข้อเเก้ตัว