ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 53 เล่ม 3 : เฮเว่นส์ลีคส์ (7)
14 ธันวาคม 2018 (วันศุกร์)
โทคิวะ เเลป, เมืองมินาโตะ
เช้านี้พวกเราขับรถบรรทุกเล็กที่เช่ามาเพื่อเดินทางไปยัง ห้องเเลปลับของนารุเสะ พวกเรามาถึงตอนเวลาเปิดพอดีตามที่มิโดริบอก
“รุ่นพี่ ที่จริงที่นี่มีชื่อจริงๆว่า ห้องเเลปโทคิวะอุปกรณ์ทางการเเพทย์นะ”
เรียกสั้นๆว่าโทคิวะเเลป
“มาตั้งหลายครั้งเเล้วนี่นา ทำไมถึงไม่รู้ล่ะ” เธอพูดพลางเปิดประตูเข้าไปที่ล็อบบี้
“เพราะมันไม่มีป้ายไง ฉันคิดว่าที่นี่เป็นห้องเเลปลับของนารุเสะมาตลอด”
“ทำไมต้องมีป้ายด้วยล่ะ พวกเราไม่มีร้านขายของสักหน่อย” มีเสียงคุ้นหูดังขึ้น “เสียเงินเปล่าๆ เเถมตรงประตูก้มีป้ายชื่อเล็กๆอยู่นะ” มิโดริออกมาหาพวกเราด้วยมือเท้าสะเอว “ก่อนที่เราจะใช้ชื่อโทคิวะเเลป ทุกคนพยายามจะตั้งชื่อที่นี่ตามชื่อฉันตลอด นารุเสะอุปกรณ์การเเพทย์บ้าง มิโดริเเลปบ้าง เป็นพวกน่าปวดหัวจริงๆ”
“เเล้วทำไมถึงตกลงใช้ชื่อโทคิวะเเลปล่ะ”
“ก็เพราะโรงงานที่เคยอยู่ที่นี่มีชื่อว่า โทคิวะเครื่องจักรความเเม่นยำสูงน่ะสิ”
นั่นเป็นเหตุผลงั้นหรอ ผมคิดเเบบนั้น เเต่เหมือนว่าโรงงานนั้นจะเป็นของครอบครัวของเธอ ตาของมิโดริเป็นคนควบคุมโรงงานนี้ เเต่เพราะไม่มีใครสืบทอดกิจการต่อ คุณตาก็เลยยกตึกนี้ให้หลาน
“เพราะเเบบนี้เธอก็เลยชื่อมิโดริหรอ” ผมถาม
“หมายความว่ายังไงนะ” มิโยชิทำหน้าสงสัย
“ก็มิโดริเเปลว่าสีเขียวใช่ไหมล่ะ ส่วนโทคิวะเเปลว่าต้นไม้ไม่ผลัดใบ”
ชื่อของพี่สาวคนโต – มิฮารุ – นั้นน่าจะมาจากฝั่งพ่อ ทำให้ชื่อลูกสาวคนที่สองมาจากฝั่งเเม่ เพราะชื่อสกุลเป็นโทคิวะ เธอก็เลยใช้ชื่อมิโดริ ก็ดูสมเหตุสมผลดี เเล้วมิโดริก็น่าจะเป็นหลานคนโปรดของคุณตาด้วย
“น่าสนใจดีนี่”
“เธอก็เลยเอาคำว่าอุปกรณ์ทางการเเพทย์มาต่อท้ายโทคิวะสินะ”
มิโดริไม่ได้ยินยันหรือปฏิเสธสิ่งที่ผมเดา “นอกจากเรื่องนั้น นี่คือเครื่องวัดความเเม่นยำสูงที่จำเป็นต้องติดตั้งลงสักที่ ส่วนนี่เป็นเครื่องเเบบง่ายๆ”
“เธอทำเครื่องเเบบง่ายเสร็จเเล้วงั้นหรอ” มิโยชิถาม
“พอไม่ต้องทำการเก้บหรือวัดค่าสรีระอะไรต่างๆเเล้วก็ง่ายขึ้นเยอะเลย ในเเง่โครงสร้าง”
พอได้ยินดังนั้น นาคาจิมะ – ผู้ที่กำลังถือตั้งกระดาษเดินไปเดินมาอยู่ – ก็หยุดเดิน “อย่าเรียกว่าเเบบง่ายๆสิครับหัวหน้า รู้ไหมว่าผมต้องพยายามขนาดไหนถึงจะยัดทุกอย่างลงเครื่องที่มีขนาดกระทัดรัดขนาดนั้นได้ เเล้วก็ทั้งสองเครื่องเป็นรุ่นต้นเเบบที่มีสมถภาพสูงด้วยนะครับ”
“มันง่ายก็เพราะนายมีความสามารถมากต่างหาก นาคาจิมะ” มิโดริยิ้ม “เรื่องเเบบนี้เป็นของกล้วยๆสำหรับนายไม่ใช่รึไง”
นาคาจิมะกรอกตาเเละมองขึ้นไปบนฟ้า ไม่สิ บนเพดานต่างหาก
“รุ่นต้นเเบบหรอ” ผมถามเพื่อความเเน่ใจ
“สำหรับตอนนี้น่ะ ฉันติดเซ็นเซอร์ทุกที่เกี่ยวข้องกับการวัดไว้ตามที่นายขอเเล้ว คิดซะว่ามันเป็นอุปกรณ์ที่มีสมถภาพสูงสุดเท่าที่จะทำได้เลย”
“ว้าว”
มิโยชิลูบไปที่ตัวเครื่อง “ฉันจะลองวัดด้วยเครื่องนี้ดูเเละดุว่าเราต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีก”
จากจุดนี้ไป มิโญชิจะลดความสามารถของเครื่องนี้ลงโดยอ้างอิงจากผลการทดสอบ สุดท้ายเเล้วก้จะเหลือเเค่เซ็นเซอร์ที่จำเป็นเเละลดขนาดของเครื่องจนเป็นอุปกรณ์ที่สามารถขายได้
“ถ้าจะใช้เครื่องวัดความละเอียดสูง ก้เเค่ไปยืนบนวงกลมสักไม่กี่วินาที” นาคาจิมะบอก
“ยังไงนะ สามารถวัดคลื่นสมองโดยที่ไม่มีการเอาอะไรมาเเตะหัวเลยงั้นหรอ”
นาคาจิมะที่ดูตื่นเต้นกับคำถามมากนั้นโน้มตัวมาข้างหน้าเเละเริ่มอธิบาย “ทำได้สิ เเน่นอนวว่ามันคงไม่ดีเท่ากับ SQUIDS เเต่ตอนนี้ไบโอเซ็นเซอร์แม่เหล็กความไวสูงเป็นพิเศษที่เซ็นเซอร์ในอดีตเทียบไม่ติด ได้ถูกพัฒนาขึ้นแล้ว และนอกเหนือจากการแก้ปัญหาเรื่องช็อกจากการลดความเป็นแม่เหล็กแล้ว เซ็นเซอร์ TMR ยัง…”
“เดี่ยวก่อนๆ ช้าๆหน่อย เรื่องนี้มันเกินความเข้าใจเเล้ว ฉันไม่เข้าใจที่นายพูดเลยสักอย่าง”
“ใช่ พวก STEM น่ะไม่เคยคิดถึงคนที่พวกเขากำลังพูดด้วยหรอ” มิโยชิที่กอดอกอยู่พูดเเละพยักหน้าหงึกๆ
“ฟังดูเหมือนมีอคติเลยนะ” มิโยชิเเซว
“เธอพูดถูกเผงเลยครับหัวหน้า” นาคาจิมะเห็นด้วย “เเต่ยังไงสิ่งที่วัดได้จากเครื่องวัดสนามเเม่เหล็กนี้ได้ถูกปรับเเต่งให้สามารถจับความต่างของสัญญาณที่ส่งมาจากสมองได้”
“สุดยอดไปเลยนะ”
“เเต่ก็เพราะเเบบนั้นเเหละ เวอชั่นเเบบง่ายนั้นอาจจะมีข้อผิดพลาดใหญ่เกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับสภาพตอนวัดจริง”
“เดี๋ยวฉันจะลองใช้ซอฟเเวร์ปรับเเต่งก็เเล้วกัน เเล้วนอกเหนือจากสภาพตอนวัดที่จะทำให้คำนวนผิดพลาดเเล้ว มันไม่มีความเเต่งต่างระหว่างสองเครื่องนี้ใช่ไหม เเล้วก็ความเเม่นยำก้ใกล้เคียงกันรึเปล่า”
“อุปกรณ์พวกนี้มีตัววัดระยะอยู่ ถ้าไปปรับเเต่งตรงนั้น ความผันผวนก็น่าจะเป็นบวกลบ 0.05%” นาคาจิมะหยิบเมมโมรี่การ์ดออกมา “จะว่าไป ฉันใช้ข้อมูลที่ได้มาจากการวัดตัวเองเพื่อทำการปรับเเต่งนะ เมมโมรี่การ์ดนี้จะมีข้อมูลดิบกับตัวหนังสืออธิบายสภาวะในตอนนั้น ลองตรวจสอบดูก็เเล้วกัน”
“ขอบคุณมากเลย ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดีนะ เเต่เพิ่งรู้ว่านายมีดี-การ์ดด้วย”
นาคาจิมะเกาหัว “มันก็เป็นอย่างนั้นเเหละนะ”
“เอ ต้องถามอะไรอีกนะ อ็อใช่ เครื่องพวกนี้ราคาเท่าไรหรอ”
“นอกจากเซ็นเซอร์พิเศษเเล้ว มันเป็นการเอาเทคโนโลยีปกติมายำรวมกัน ถ้าเครื่องวัดเเบบเเม่นยำสูงราคา 20ล้านเยน เเบบง่ายก็น่าจะประมาณ 3ล้านเยน”
มิโดริตีผมที่เเขน “เราเเย่เเน่ถ้าไมไ่ด้เงินสนับสนุนจากพวกเธอ”
“ใช่ อยากให้ทุกโปรเจคมีเงินทุนให้ใช้ได้เเบบนี้จัง” นาคาจิมะพูด
“หยุดบ่นน่า พอไม่มีเงินเราจะได้ใช้ทุกอย่างให้คุ้มค่าไง”
“เเต่ทุกอย่างมันมีข้อจำกัดนะหัวหน้า”
ผมเคยอยู่ในสถานการณ์เเบบนี้เด๊ะๆมาก่อนเลยล่ะ ผมคิดเเละยิ้มไปด้วย จากนั้นก้นึกคำถามที่จพถามนาคาจิมะออก
“ถ้าไม่นับเรื่องงบประมาณจำกัดเเล้ว ถ้าจะผลิตเครื่องพวกนี้เป็นจำนวนมากจะต้องใช้เงินเท่าไรล่ะ”
นาคาจิมะคิดอยู่สักพัก “อืม พอนำเครื่องต้นเเบบไปลองใช้งาน เลือกข้อมูลที่เหมาะสมเเละเพิ่มความเเม่นยำ น่าจะช่วยลดบางอย่างที่ซ้อนทับกันอยู่ได้ น่าจะลดราคาลงเหลือเเค่หนึ่งในสามหรือหนึ่งในสี่ ในบางกรณี อาจจะเหลือเเค่หนึ่งในสิบเลยก็ได้ เเต่ตอนนี้ยังบอกเเน่ชัดไม่ได้น่ะสิ”
สำหรับเวอร์ชั่นเเบบง่าย หนึ่งในสามก็จะเป็นหนึ่งล้านเยน คือมันถูกหรือเเพงกันนะ เเต่มันจะต้องเป็นงานอดิเรกชั้นสูงเเน่ ประมาณพวกออดิโอไฟลล์ คอมพิวเตอร์ หรือจักรยานอะไรพวกนี้ บางทีเครื่องนี้อาจจะถูกจัดอยู่ในหมวดงานอดิเรกจริงๆก็ได้
“เธอจะไปติดต่อผู้ผลิตให้ทำการผลิตเครื่องพวกนี้เป็นจำนวนมากใช่ไหม เเลปของเราจ้างผู้ผลิตจากภายนอกนะ จะว่าไปอาซึสะ เธอช่วยรีบบอกได้ไหมว่าวางเเผนจะทำอะไรกับเครื่องพวกนี้”
“เปลี่ยนมันให้กลายเป็นของที่ขายดีที่สุดทั่วโลกไง”
“อะไรนะ”
“เครื่องนี้มีเซ็นเซอร์เฉพาะตัวกับตัวจัดระยะที่เอาไว้ใช้วัดคลื่อนเเม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ก็จริง” นาคาจิมะพูด “เเต่นอกจากเซ็นเซอร์นั่นเเล้ว อย่างที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้ เจ้าเครื่องนี่ ส่วนมากจะเป็นการเอาเทคโนโลยีทั่วๆไปมายำรวมกัน ถึงจะเอาเครื่องเเบบผลิตจำนวนมากไปขายได้จริง เเต่อีกเดี๋ยวก็จะถูกเลียนเเบบ ชิ้นส่วนโดยมากก้เอาไปจดสิทธิบัตรไมไ่ด้ด้วย”
“เรื่องนั้นฉันเข้าใจเเล้ว เเค่นี้ก็เพียงพอเเล้วล่ะในตอนนี้ เรื่องเซ็นเซอร์เฉพาะตัวนั่นนายคิดเองเลยหรอ” มิโยชิถาม
“ใช่”
หลังจากที่มิโยชิชมนาคาจิมะอยู่พักนึง นาคาจิมะก็เริ่มอธิบายลงรายละเอียดเกี่ยวกับชิ้นส่วนหลายๆอย่าง อย่างเช่นส่วนที่ใช้เชื่อมต่อกับส่วนเเสดงผล
“นายคิดว่าไง นาคาจิมะ สามารถรวมสิ่งที่เราคิดเข้าไปด้วยได้ไหม”
“น่าจะคล้ายกับการนำโทรศัพท์มือถือไปติดที่เครื่อง ไม่น่าจะมีปัญหา” เขาตอบ
“งั้นสร้างเครื่องเเบบเเม่นยำสักสองเครื่องสำหรับทดสอบเเล้วก็โฆษณาทีนะ ส่วนอย่างง่ายก็เอาสัก 4 เครื่อง”
“ได้เลย ชื้นส่วนด้านนอกกับส่วนประกอบสามารถใช้เครื่องปริ๊นสามมิติปริ๊นออกมาได้เลย เเต่ต้องสั่งชิ้นส่วนพื้นฐานเท่านั้นเอง ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ฉันสามารถเตรียมให้ได้ภายในไม่กี่วันนี้”
“นายทำงานเร็วดีนะ”
นาคาจิมะได้เเต่หัวเราะ
“ถ้าเเยกทำเป็นชิ้นๆได้ ฉันอยากได้สักเครื่องนึงก่อน ถ้าเสร็จเเล้วก็ติดต่อมานะ”
“เเน่นอน วางใจได้เลย”
พอพูดจบ นาคาจิมะก็เริ่มเขียนรายการชิ้นส่วนที่ต้องสั่งซื้อ
“อาซึสะ เธอเรียนรู้วิธีใช้งานพวกผู้ชายเเบบนี้ตั้งเเต่เมื่อไร” มิโดริสงสัย “มาจากกการดูเเลไอขี้เเพ้คนนั้นหรอ”
เธอพูดประโยคสุดท้ายตอนหันมามองผม หยาบคายชะมัด
ช่วงหลังมานี้ผมรู้สึกเหมือนกันว่าเริ่มพึ่งพามิโยชิเยอะขึ้น บางทีผมก็นึกว่าเธอเป็นหุ่นยนต์รูปร่างเเมวจากอนาคตซะอีก เธอคงจะตอกกลับมาว่า “ฉันดูไม่เหมือนเเมวฟ้าตัวอ้วนนั่นสักนิด!”
“เธอพูดอะไรอยู่น่ะ ทุกคนก็อยากให้มีใครมาประเมินตัวเองอย่างจริงจังกันทั้งนั้น บริษัทที่เราทำงานด้วยเมื่อก่อนนั้นเป็นพวกชอบใช้ประโยชน์จากพนักกงาน ใช้เป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำตามได้ดีเลย”
“จริงหรอ”
“เรื่องการผลิตจำนวนมากที่พูดนึงเมื่อกี๊น่ะ…”
มิโยชิเริ่มเสนอความคิดในการก่อตั้งบริษัทร่วมทุนเเล้วก็โรงงานขนาดเล็ก มิโดริที่ได้ยินดังนั้นก็เริ่มลังเล
“เราไม่มีเงินทุนมากพอขนาดนั้นหรอกนะ”
“ฉันหวังพึ่งสมองกับคอนเนคชั่นของเธออยู่นะ เเล้วก็ต้องจ้างพนักงานเพิ่มด้วย”
“เธอตั้งใจจะเปลี่ยนเทคโนโลยีธรรมดาๆพวกนี้ให้กลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่จริงๆหรอ”
“ฉันอยากจะให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้ก่อนนะ เเต่เอาจริงๆคือ เครื่องนี้มันเอาไว้เเปลงความสามารถของมนุษย์ให้เป็นตัวเลข”
หลังจากที่ค้างไปสักพัก มิโดริก็เอามือมาวางที่หน้าผากของมิโยชิ “ก็ไม่มีไข้นี่นา”
“36องศาพอดีใช้ไหมล่ะ” เธอหัวเราะ จากนั้นก็ดึงมือมิโดริเเละจูงไปที่ที่สำหรับประชุม
“รุ่นพี่ รบกวนไปซื้อเครื่องดื่มมาให้เราหน่อยได้ไหม น่าจะคุยกันอีกพักนึงเลย”
“ได้สิ เเล้วตู้กดน้ำมันอยู่ตรง-”
“ในล็อบบี้มีอยู่เครื่องนึง พนักงานของเราเป็นคนเลือกเครื่องดื่มในตู้นั้นเอง ฉันเลยไม่รับประกันรสชาตินะ”
“ขอบใจ” ผมโบกมือเล็กน้อยเเละเดินไปทางตู้กดน้ำ
จากนั้นมิโยชิก้เริ่มอธิบายว่าดันเจี้ยนมีผลกระทบกับสเตตัสยังไงเเละเราจะวัดมันเป็นตัวเลขได้อย่างไร
***
พอมาคิดๆดู ผมไม่เคยเห็นมิโยชิดื่มกาแฟกระป๋องเลยนี่นา เธอน่าจะชอบพวกที่ไม่หวานหรือหวานน้อย ตู้กดน้ำอยู่ไหนนะ อ้อ เจอเเล้ว
เครื่องดื่มทุกเเบบที่อยู่ในตู้กดน้ำค่อนข้างเก่านี้เป็นเเบบไม่เสียเงินทั้งหทด ทำเอานึกถึงบริษัทไอทีข้ามชาติเลย เเบบนี้สิถึงจะเป็นบริษัทเพิ่งสร้างที่พยายามที่จะตามเทรน เเต่เครื่องดื่มทุกเชนิดเป็นน้ำอัพกระป๋องหมดก็น่าผิดหวังเล็กน้อย
จะว่าไป ชนิดของน้ำนี่มันจะเเปลกเกินไปหน่อยไหม
“ไอครีมพัฟดื่มได้นี่มันคืออะไรกันเนี่ย”
มีกระดาษติดเอาไว้ที่กระป๋องเครื่องดื่มตัวโชว์ว่า “วันหมดอายุคือวันที่ 4/21/2018 เเต่ทว่ายังสามารถดื่มได้” เอ่อ มั่นใจรึเปล่า
โธ่ เเล้วที่เหลือคือยังไงกันเนี่ย ดอกเตอร์เปปเปอร์ ซันกาเรีย มิคคุจู-โชจู ทุเรียนไซเดอร์ โคล่าหัวไชเท้าดอง เเล้วก็รามุเนะรสหอยเม่นหรอ
“พนังงานเลือกรสชาติกันเองงั้นหรอ ล้อกันเล่นใช่ไหม”
ดอกเตอร์เปปเปอร์น่าจะเป็นเครื่องดื่มที่ธรรมดาที่สุดสินะ หรือ มิคคุจู-โซจู นะ
ผมกดมิคคุจู-โซจูมาสามกระป๋องเเละเดินกลับไปที่ห้องประชุม
***
พอผมกลับมาที่ห้องประชุม มิโยชิก็อธิบายคร่าวๆจบเเล้ว ระหว่างที่ยื่นน้ำให้มิโยชิเเละมิโดริ ผมก็ถามเกี่ยวกับตู้กดน้ำ
“อ๋อ ไปเจอมุกตลกของตู้กดน้ำสินะ”
“หมายความว่ายังไง”
“ทุกอย่างไม่เสียเงินใช่ไหมล่ะ”
“ก็ใช่ เเต่เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ฟรีเพราะเป็นการบริการพนักงงานหรอกหรอ”
“สตาร์ทอัพจนๆอย่างเราจะมีอะไรเเบบนั้นได้ยังไงล่ะ มีตู้กดเเบบปกติในล็อบบี้นะ”
“ไมไ่ด้เดินไปไกลถึงขนาดนั้นหรอก”
มิโดริเล่าให้ฟังว่า ตู้นั้นมีมาตั้งเเต่สมัยโรงงานของครอบครัวเธอ เธอก็เลยไม่อยากจะปล่อยทิ้งเอาไว้เปล่าๆ มันเลยเริ่มจากการที่เธอเอาเครื่องดื่มเเปลกๆกลับมาจากการไปท่องเที่ยวเเละเอาไปใส่ไว้ในตู้ ตั้งเเต่นั้นมา พนักงานคนไหนที่ไปท่องเที่ยวก็จะทำเเบบเดียวกันด้วย หลายๆพื้นที่นั้นมีเครื่องดื่มที่เป็นมุกตลกอยู่เเล้ว เราเลยใช้มันเป็นบทลงโทษตอนเล่นเกม
“เดี๋ยวนะ มีคนอื่นที่ทำงานอยู่ที่นี่นอกจากเธอกับนาคาจิมะด้วยหรอ”
“ต้องมีสิ เเต่เราก็มีกันเเค่หกคนเท่านั้นเอง นาคาจิม่าเป็นคนรับงานจากพวกเธอด้วยตัวเอง คนที่เหลือก้ทำงานของบริษัทตามปกติ นายต้องขอบคุณฉันนะที่มาคอยดูโปรเจคของพวกนาย ระหว่างที่พูด เธอก็หมุนประป๋องมิคคุจู-โซจูในมือเล่น “เเต่จากที่อาซึสะเล่า นายจะเริ่มสร้างบริษัทเพื่อสนับสนุนนักสำรวจในการพิชิตดันเจี้ยนงั้นหรอ”
“ใช่”
“บริษัทไม่เเสวงหาผลกำไรไม่เหมาะกว่าหรอ”
“ก้ใช่ เเต่จะก่อตั้งได้ต้องใช้เวลาสามเดือนน่ะ เราเลยคิดว่าบริษัทธรรมดีกว่า”
“ประมาทปีของสุนัขไม่ได้สินะ ยิ่งถ้าเป็นปีของหนูด้วย” มิโดริถอนหายใจ
ปีของหนูเเละปีของสุนัขเป็นศัพท์ทางไอทีที่ใช้กันอย่างเเพร่หลายในช่วงนี้ ปีของสุนัขจะเร็วกกว่าของคน 7 เท่า ส่วนปีของหนูจะเร็วกว่า 18 เท่า หรือก็คือ เทคโนโลยีนั้นสามารถพัฒนาได้ในความเร็วระดับเดียวกัน เป็นคำที่พยายามทำให้คิดว่า “ถ้าไม่คิดอะไรใหม่ๆ ก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”
“การพิชิตดันเจี้ยนน่าจะพัฒนาขึ้นมากเลยจากเครื่องที่บริษัทของเธอสร้าง เเต่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะเร็วกว่า 18 เท่ารึเปล่า”
เเต่ว่ามันจำเป็นจุดเริ่มต่้นของมาตรฐานใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเเน่ การมีตัวเลขวัดค่าสเตตัสจะต้องมีผลเป็นอย่างมาก
“ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตเครื่องต้นเเบบ เราสามารถจบงานลงตรงนี้ หรือว่าจะช่วยจัดการด้านฮาร์ดเเวร์ต่อไปในฐานะของบริษัทคู่ค้างั้นหรอ” มิโดริถาม “ต้องคิดอีกเยอะเลยนะ”
มิโญชิหันไปหามิโดริ “นาคาจิมะไม่ปิดบังเลยว่าเครื่องนี้เป็นเครื่องที่เอาเทคโนโลยีมารวมๆกัน เเต่ว่าที่จริงชิ้นส่วนหลักก็คือเซ็นเซอร์ของเขาเองใช่ไหมล่ะ”
พอมีคนชมพนักงงานของเธอ มิโดริก็อดไมไ่ด้ที่จะยิ้มออกมา “ใช่เเล้วล่ะ”
“เครื่องวัดพวกนี้ก็เหมือนอุปกรณ์ทางการเเพทย์ เราสามารถจะสร้างเเผนกใหม่ขึ้นมาในบริษัทของเธอเพื่อทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ” ผมเสนอ “หรือไม่ก็ย้ายงานนี้ไปบริษัทใหม่ในฐานะของบริษัทคู่ค้า ฉันคิดว่าวิธีไหนก็ได้นะ จะปรึกษามิโยชิก็ได้”
“จริงๆคือตอนนี้พวกเราขาดเเคลนเงินทุกอยู่ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของบริษัทสตาร์ทอัพเล็กๆ ถ้ามีพวกเธอสนับสนุนเรื่องเงินทุน บริษัทเราก็ควรจะถอยตอนนี้”
“ถ้าอย่างงั้น…”
“อื้อ จะตั้งหน้าตั้งตารอทำธุรกิจกด้วยกันกับนายนะ”
ระหว่างที่ผมจับมือมิโดริที่บื่นมา มิโยชิก็พูดขึ้น “ถ้าตกลงกันเรา ต้องระวังการถูกซื้อกิจการนะ”
“ซื้อกิจการงั้นหรอ”
“ใช่ ถ้ามีคนรู้เรื่องที่พวกเราจับมือกัน จะต้องมีคนพยายามมาซื้อบริษัทเธอเเน่เลย”
“หือ ทำไมล่ะ”
มิโยชิไม่ตอบเเต่ถามคำถามกลับ “หุ้นของโทคิวะเเลปเเบ่งกันยังไงหรอ”
“อืม ฉันถืออยู่60% มหาวิทยาลัยมี5% เเล้วก็พนักงานคนอื่นๆมีคนละนิดละหน่อย”
“เเล้วพวกผู้ลงทุนล่ะ”
“เราถูกปฏิเสธมาตลอดเลย” มิโดนิตอบเหมือนโทษตัวเอง “ตาของฉันลงทุนไปนิดหน่อยด้วย”
“ถ้าเรื่องนี้เป็นที่รู้กัน พวกที่ปฏิเสธไปเเล้วจะต้องกลับมายื่นข้อเสนอล่อตาล่อใจเเน่ๆ ระวังเอาไว้ให้ดีนะ”
“ทำไมล่ะ”
“น่าจะมีองค์กรใหญ่ๆติดต่อมา ให้ไม่ต้องสนใจไปก่อนนะช่วงนี้ เรื่องเงินทุกเราสามารถจัดหามาให้ได้ทั้งหมดอยู่เเล้ว ใช่ไหมรุ่นพี่”
มิโยชิหันมาขออนุญาตผมเรื่องเงินกู้ยืม ผมไม่ตอบเเต่ทำมือเป็นรูป โอเค เเทน
“ตกลงมันเรื่องอะไรกันเเน่…เเต่ก็เอาเถอะ”
หลังจากที่เซ็นสัญญาNDA พวกเราตัดสินใจจะคุยกับผู้เชี่ยวชาญวันหลัง จากนั้นเราก็นำเครื่องต้นเเบบใส่รถบรรทุก เเละบอกลาห้องวิจัยลับของนารุเสะ
โยโยกิ-ฮาจิมัน ออฟฟิศ
พอกลับมาถึงออฟฟิศ มิโยชิก็เริ่มติดตั้งอุปกรณ์อย่างกระตือรือล้นเเละเริ่มทำการปรับเเต่งทันที
“งั้นฉันเอารถไปคืนก่อนนะ”
“ที่เช่ารถอยู่ที่ถนนโคเอ็นใช่ไหม ถ้างั้นต้องกลับมาในสองนาทีนะ”
ผมตั้งเเต่สูดหายใจเตรียมวิ่ง เเต่ก็หยุดเเละหันมาเค่นมองมิโยชิ “เธอติ๊งต๊องรึเปล่า ถ้าฉันวิ่งเร็วขนาดนั้นต้องมีคนโทรเรียกตำรวจเเหง เเล้วก็จะกลายเป็นตำนวนเมืองเอา”
“ก็ได้ เเต่กลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยนะ”
“โอเค”
หลังจากคืนรถเช่าเสร็จ ผมก็มุ่งหน้ากลับออฟฟิศ ทันทีที่เดินผ่านผระตูเข้าไป มิโยชิก็ดึงผมไปวางที่ตรงของเครื่องวัดเเบบเเม่นยำอย่างกับเป็นนักโทษ พอเธอมีท่าทางเเบบนี้ จะให้ผมพูดอะไรก็คงไม่ฟังเเล้วล่ะ ถ้าผมอยากให้เธอปล่อยตัวไวๆ ก้ต้องทำตามที่เธอบอกโดยไม่บ่น
พพอผมยืนตรงกลางเครื่อง มิโยชิก้บังคับให้ผมปรับสเตตัสที่เคยวัดไว้ครั้งที่เเล้วก่อนที่จะทำการเเสกนอีกรอบ หลังจากนั้นผมก็ปรับสเตตัสตามที่เธอต้องการ ทำตัวเป็นหนูทดลองนี่มันรู้สึกเหมือนนานเอามากๆเลย
พอวัดไปสักพัก นารุเสะก็มาที่ออฟฟิศ “ทำอะไรกันอยู่คะ” เธอดูสนใจอย่างมาก
มิโยชิทำหน้าเจ้าเล่เเละหัวเราะอย่างชั่วร้าย “เธออยากจะรู้จริงๆหรอ”
รอยยิ้มของนารุเสะกระตุก จากนั้นเธอก็หนีไปที่ห้องเเปลทันที
“รุ่นพี่ เดี๋ยวฉันจะเเสกนนารุเสะทีหลัง เเต่ว่าฉันอยากจะเเสกน ดารานางเเบบสองคนนั้นด้วยนะ ยิ่งมีตัวอย่างมากเท่าไรก็ยิ่งดี”
ตอนเเรกผมก็สงสัยว่าทำไมต้องเป็นสามคนนี้กันนะ เเต่ว่านอกจากสามคนนี้เเล้ว เราก็ไม่มีใครคนอื่นที่จะมาจับปาร์ตี้ด้วยเเละตรวจสอบสเตตัสได้อีก พอมิโยชิบอกอย่างนี้ ผมก็เลยโทรไปหามิตสึรุกิเเละทิ้งข้อความเสียงไว้ให้เธอ