ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 52 เล่ม 3 : เฮเว่นส์ลีคส์ (6)
ตอนที่ดันเจี้ยนปรากฏขึ้นครั้งเเรก ประเทศต่างๆก็ตอบสนองเเตกต่างกันไปในเรื่องของสิทธิความเป็นเจ้าของดันเจี้ยน
ที่ญี่ปุ่น ตอนเเรกกนั้นดันเจี้ยนจะเป็นของเจ้าของที่ดินนั้นๆ มาตราที่242ของประมวลกฎหมายแพ่งได้กล่าวเอาไว้ หรือง่ายๆก็คือดันเจี้ยนถูกมองว่าเป็นสิ่งปลูกสร้าง ในภายหลังนั้นทั้งโลกได้รับรู้ว่าภายในดันเจี้ยนนั้นไมไ่ด้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่นั้นจริงๆ เลยมีเเค่ทางเข้าเท่านั้นที่ถือว่าเป็นสิ่งปลูกสร้าง ผมของมันทำให้สิทธิความเป็นเจ้าของนั้นยังไม่เเน่ชัด
ถ้าภายในดันเจี้ยนนั้นอยู่ในญี่ปุ่น มันก็จะเป็นของคลังเเห่งชาติ จากมาตรา239-2ของประมวลกฎหมายแพ่ง ทว่าไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าภายในดันเจี้ยนนั้นอยู่ในญี่ปุ่นจริงๆ เพราะว่ามันไมไ่ด้ใช้พื้นที่บนพื้นผิวหรือใต้ดินจริงๆ
มีบางคนเสนอว่า “ถ้าพื้นที่นั้นไม่มีเจ้าของ เราอาจควรจะใช้กฏหมายระหว่างประเทศ เเละสามารถเเสดงความเป็นเจ้าของได้จากการจับจอง” เเต่ทว่าไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเเต่ละชั้นของดันเจี้ยนนั้นเป็นพื้นที่เดียวกัน เเถมการที่จะได้ซึ่งพลังในการครอบครองทุกชั้นนั้นเเทบจะเป็นไปไม่ได้
ซึ่งทำให้ไม่มีใครสามารถประกาศความเป็นเจ้าของภายในดันเจี้ยนได้ เเม้ว่าดันเจี้ยนนั้นไมไ่ด้อยู่ในประเทศไหนเลยจริงๆ เเต่สมาคมดันเจี้ยนของประเทศนั้นๆจะมีหน้าที่ควบคุมดูเเลทางเข้าออกของดันเจี้ยนภายในประเทศตัวเอง
ในญี่ปุ่น พื้นที่รอบๆทางเข้าดันเจี้ยนเเทบทุกเเห่งนั้นมีเจ้าของเป็นญี่ปุ่นเอง เจ้าของที่ดินส่วนมากนั้นจะขายที่บริเวณนั้น หรือไม่ก็ยินยอมให้ทำการเวนคืนได้ เพราะว่ามีความเป็นไปได้ที่มอนสเตอร์จะหลุดออกมาจากดันเจี้ยน ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงเจ้าของที่ดินจะต้องชดใช้ค่าเสียหายทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากมอนสเตอร์นั้นๆโดยไม่สนใจเจตนา เเน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้เป็นอย่างนั้น
นอกจากนี้ กฏหมายญี่ปุ่นยังส่งปลไปถึงข้างในโยโยกิดันเจี้ยนด้วย ทำให้มาตร239ของประมวลกฎหมายแพ่งเป็นพื้นฐานที่ทำให้สามารถถือว่าไอเทมที่ดรอปมาเป็นของตัวเองได้
ไม่รู้ว่าการอยู่อาศัยอย่างถาวรเป็นระยะเวลา20ปีในดันเจี้ยนจะถือว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของคุณหรือไม่ ไม่เคยมีใครถามคำถามนี้มีก่อน คำตอบก็เลยยังไม่เเน่ชัด
ผ่านมาเเค่สามปีเท่านั้นหลังจากที่ดันเจี้ยนปรากฏขึ้น กฏหมายเกี่ยวกับดันเจี้ยนก็กำลังปรับตัวตามไปเรื่อยๆ
***
“เเล้ว…คุณอยากจะทำอะไรกับการขอพื้นที่ในดันเจี้ยนหรือคะ”
“อย่ามองด้วยสายตาเเบบนั้น่า การเกษตรเป็นพื้นฐานของชีวิตเเบบเรียบง่ายใช่ไหมล่ะ เรากำลังพูดถึงที่นาอยู่ เเน่นอนว่าจะเอาไว้ปลูกข้าวน่ะสิ”
“เอ่อ หรอคะ”
“เเต่ว่านะรุ่นพี่ ถ้าดูจากที่ชาวนาพูดจริงๆ การทำการเกษตรมันไม่ค่อยเรียบง่ายเท่าไรหรอกนะ”
“พอพูดเเบบนั้นก็จริง พอคิดถึงการทำฟาร์ม ฉันคิดถึงการทำงานตั้งเเต่เช้าถึงเย็นเลย”
“เพราะต้องทำงานกับสิ่งมีชีวิตไงล่ะ จะหยุดสักวันตามสะดวกน่ะไมไ่ด้หรอกนะ”
“โธ่ ใครกันที่เป็นคนบอกว่าการเกษตรเป็นพื้นฐานของชีวิตเเบบเรียบง่ายกันนะ”
“รุ่นพี่ไง เมื่อกี๊นี้เอง”
“เดี๋ยวสิ อะไรนะ”
“เเถมไม่ใช่ว่ารุ่นพี่ไม่ค่อยถูกกับสิ่งมีชีวิตหรอ ที่บอกว่าทำกระบองเพชรตายไง”
“อ้อ ใช่เลย ถ้างั้นฉันจะปล่อยทุกอย่างให้เธอจัดการก็เเล้วกัน มิโยชิที่รัก”
“โยนงานมาให้ฉันงั้นหรออ!”
“การโยนความรับผิดชอบให้คนอื่นเป็นจุดเด่นของชีวิตเเบบเรียบง่ายนี่นา”
“ไม่ใช่สักหน่อย! นั่นมันเป็นการใช้ชีวิตเเบบมักง่ายต่างหาก มักง่าย!”
นี่เธอเล่นคำพ้องระหว่างเรียบง่ายกับมักง่ายงั้นหรอ ไหนใครเป็นคนเล่นมุกคนเเก่กันห่ะ
“รุ่นพี่คิดว่าชีวิตเเบบเรียบง่ายเป็นยังไงนะ”
ผมคิดอยู่ครู่นึง “ที่แันคิดงั้นหรอ ประมาณอยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไรมั้ง”
“เเล้วมันฟังดูสนุกรึไง” มิโยชิทำหน้าจริงจัง
ผมจะตอบยังไงดีล่ะเนี่ย
ย้อนกลับไปตอนที่ผมยุ่งสุดๆจนไม่สามมรถหาเวลาลาหยุดได้ ผมฝันว่าอยากจะเป็นคนขี้เกียจมืออาชีพ เเต่พอตอนนี้ผมได้ชีวิตเเบบนั้นมาเเล้ว การอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลยก็จะทำให้ผมอยู่ไม่สุขอยู่ดี
“ก็นะ ฉันคงเบื่อภายในสามวันนั่นเเหละ เเต่เดี๋ยวก่อน งั้นอะไรคือชีวิตเรียบง่าย(สโลว์ไลฟ)ล่ะ”
“ทั่วๆไปก็คือการใช้ชีวิตเเบบไม่เน้นประสิทธิภาพหรือความรวดเร็ว”
“เเล้วใช้ชีวิตยังไงถึงไม่เน้นประสิทธิภาพกันล่ะ ประมาณไม่ทำอะไรเลยงั้นหรอ”
“อาจจะหมายความว่าทำเเต่สิ่งที่ไร้ประโยชน์ก็ได้”
“เเล้วใครมันจะตั้งใจทำเเต่อะไรที่มันไร้ประโยชน์กันล่ะ งี่เง่าจริง”
“งั้นก็เเสดงว่ารุ่นพี่ไม่เหมาะกับชีวิตเเบบนั้นเเล้วล่ะ”
เดี่ยวก่อนนะ ในโลกนี้เหมือนจะมีงานอยู่มากมายที่ดูไร้ประโยชน์ เเต่ที่จริงมันไม่ใช่นี่นา ปกติเรคงไม่ทำอะไรที่มันไร้ประโญชน์ทั้งในเชิงรูปลักษณ์เเละความเป็นจริงหรอกมั้ง
“หรือก็คือ คุณอยากจะยืมพื้นที่ในดันเจี้ยนเพื่อจะช่วยให้ใช้ชีวิตเเบบเรียบง่ายได้หรือคะ” นารุเสะถาม
เเย่เเล้ว ตอนนี้นารุเสะกำลังเเผ่ออร่าที่บอกว่า “ไปทำที่สวนหลังบ้านตัวเองสิยะ”
“พะ-เพื่อการทดลองน่ะ”
“การทดลองหรอคะ การทำไร่ในดันเจี้ยนน่ะหรอ”
“ชะ-ใช่ ไอเดียคืออย่างนั้นเเหละ มีใครเคยลองบ้างไหม”
“ฉันจำได้ว่าเคยเห็นบันทึกการพยายามในพื้นที่เเห้งเเล้งนะคะ เเต่ว่า…”
ว้าว มีคนเคยลองจริงๆด้วย
“เเล้วผลเป็นยังไงล่ะ”
“ก็เหมือนกับทุกๆอย่างที่ถูกสร้างในดันเจี้ยนเเหละค่ะ มันหายไป ก่อนที่จะมีใครเก็บเกี่ยวผลผลิตได้”
“เพราะสไลม์หรอ”
“น่าจะนะคะ เเต่ว่าถ้าจำไม่ผิด สาเหตุถูกเขียนไว้ว่าไม่ทราบน่ะค่ะ”
เเต่ตอนนี้สาเหตุคงจะชัดเจนเเล้วล่ะ เพราะว่าสไลม์นั้นเป็นตัวทำความสะอาดดันเจี้ยน ถ้ามีคนเอากองหินไปตั้งไว้ในดันเจี้ยนก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เเต่ทว่าถ้าเอาวัตถุจากนอกดันเจี้ยนเข้าไปข้างในเเละพยายามจะสร้างอะไรบางอย่าง สไลม์จะโผล่มาจากที่ไหนไม่รู้เเละมาละลายสิ่งที่ถูกสร้างไป เเน่นอนว่าไม่มีใครเข้าใจว่าสไลม์เเยกเเยะสิ่งที่อยู่ในเเละนอกดันเจี้ยนได้อย่างไร น่าเเปลกที่ถ้ามีคนเฝ้า สไลม์จะไม่ปรากฏออกมา ถ้ามองจากมุมมองของค่าใช้จ่าย การให้มีคนมาคอยดูพื้นที่ไร่ขนาดใหญ่ก็เป็นไไมไ่ด้อยู่ดี
เเล้วก็ โยโยกิชั้นสองนั้นไม่มีเพดาน มีเเค่ท้องฟ้าที่อยู่เหนือหัวเท่านั้น เเถมตอนกลางคืนก็ยังมีดาวส่องเเสงด้วย ถ้ามีการปล่อยจรวดอาจจะออกไปที่อวกาศได้ก็เป็นได้ จะว่าไป SDFหน่วยเเรกที่มาสำรวจโยโยกิก็ใช้โดรนบินขึ้นไปสำรวจท้องฟ้า ซึ่งพอบินขึ้นไปได้ระยะหนึ่งเเล้ว โดรนนั้นก็ไม่สามารถบินสูงขึ้นไปได้อีก
โดรนไม่ได้บินไปชนอะไร เเล้วก็ไมไ่ด้เป็นเพราะขาดพลังงานด้วย พูดง่ายๆคือน่าจะมีปรากฏการณ์ลึกลับเกิดขึ้นเเละทำให้โดรนไม่สามารถบินสูงไปกว่านั้นได้
ชั้นที่เป็นที่เปิดโล่งนั้นจะไม่มีกำเเพงสุดทางเหมือนกับชั้นหนึ่งของโยโยกิ เเต่พื้นที่ก็ไม่ได้ยาวต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด เเต่ทว่าถ้าไปถึงขอบเเล้ว คุณจะไปโผล่ที่ขอบฝั่งตรงข้าม หรือก้คือที่จริงเเล้วพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ปิด ชั้นสองของโยโยกิก็เป็นเเบบนี้เหมือนกัน มันเลยถูกคิดว่าเป็นพื้นที่กว้างขวางเออามากๆตอนทำเเผนที่ครั้งเเรก
บางทีพื้นที่บนฟ้าอาจจะเเตกต่างออกไป เเต่ทว่ามันจะเป็นอย่างไรก้ตาม เรารู้เเน่นอนอย่างนึงว่า เพดานนั้นยังไม่ถูกค้นพบ เเต่ทว่าผมก็จินตนาการไม่ออกว่าสไลม์จะตกลงมาจากท้องฟ้า เพื่อที่จะป้องกันสไลม์โจมตี เราอาจจะขุดคูน้ำตื้นๆเเล้วก็เทน้ำลายเอเลียนลงไป ส่วนก๊อบลินเราก็น่าจะสามารถใช้รั้วโซ่ที่เเข็งเเรงๆหน่อยได้ เเต่ถ้าเกิดมอนสเตอร์เกิดขึ้นมาข้างในรั้วพอดี เราก็คงต้องยกธงขาวยอมเเพ้กับโชคชะตาเเล้วล่ะ
“เเต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนสามารถไปขออนุญาตได้ค่ะ ที่ฝ่ายจัดการของJDA เเต่ทว่าเพราะยังไม่เคยมีใครขอมาก่อน ฉันเลยยังไม่สามารถให้คำตอบได้ทันที เเต่จะไปลองดูค่ะ”
“ขอบใจมาก”
มิโยชิที่ลงทะเบียนบทเเปลจารึกอยู่หน้าจอพูดขึ้น “นี่น่าจะเป็นงานของผู้ดูเเลเต็มเวลาของเรานะ”
“พอพูดอย่างนั้นเเล้วก็ใช่ค่ะ!”
เอ่อ อะไรนะ เเน่นอนว่าการเเปลน่ะเป็นเหมือนงานของฝ่ายจัดการ เเต่มาคิดดูดีๆ เราควรจะโยนงานทุกอย่างของเราให้ผู้ดูเเลจริงๆหรอ
“งั้น คำขอที่จะใช้ดันเจี้ยนสำหรับจุดประสงค์อื่นนอกเหนือจากการสำรวจนั้นจะถูกอนุญาตเป็นบุคคลหรือเป็นปาร์ตี้ล่ะ”
มิโยชิตอบคำถามของผมเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ “ไม่เห็นเป็นอะไรนี่นา ลองคิดถึงเวลาที่เเต่ละปาร์ตี้ต้องใช้ในการลงไปชั้นลึกๆ พวกเขาจะต้องสร้างฐานในดันเจี้ยนเเน่ๆ ถ้าจะต้องไปหาJDAเเล้วยื่นคำคอทุกครั้งเลยคงไม่ใช่หรอก”
เเบบนั้นก็จริงอยู่ ถ้าเจอพื้นที่ที่เหมาะสม พวกเขาคงจะตั้งเเคมป์กันตรงนั้นทันที ถ้าเกิดว่าฐานนั่นคงอยู่ถาวรหรือไม่ก็คงอยู่เป็นระยะเวลานาน ก็จะมีค่าเท่ากับปาร์ตี้นั้นครอบครองพื้นที่ในดันเจี้ยนเอาไว้เเต่เพียงผู้เดียว การจะไปห้ามคงทำไมไ่ด้
“กรณีนั้นเป็นข้อยกเว้นค่ะ” นารุเสะพูดด้วยท่าทางจริงจัง “โดยทั่วไปเเล้วคุณต้องได้รับการอนุญาติถ้าจะใช้พื้นที่ในชั้นสำหรับมือใหม่ เพราะเป็นชั้นที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างฐาน”
“ถ้าเป็นที่รู้กันไปทั่วว่าคุณสามารถสร้างฐานได้โดยไม่ต้องขออนุญาต คงมีคนไปสร้างคฤหาสน์ที่ชั้นสองเเหง”
นึกภาพออกเลยล่ะ
“เราต้องนึกถึงเรื่องพื้นที่ปลอดภัยด้วยนะ”
คงเป็นเรื่องยากที่JDAจะพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ปลอดภัยได้ด้วยตนเอง เพราะยังไงพื้นที่เหล่านั้นก็อยู่ในดันเจี้ยน ยังไงก็ต้องได้รับความร่วมมือจากนักสำรวจ ดูจากขนาดเเละประโยชน์เเล้วก็คงได้รับคำตอบรับจากจากนักสำรวจดีเลยล่ะ น่าจะคล้ายๆกับสถานีอวกาศนานาชิต ที่ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล เเต่พื้นที่ปลอดภัยในชั้น30ลงไปนั้นมีโอกาสที่จะสร้างผลกำไรมากมายยจากการรวบรวมเเร่ๆจากพื้นที่รอบๆ นี่ยังไม่รวมทองคำจาดชั้น 50 นะ
“มาสรุปกันเถอะ JDAจะอนุญาตให้นักสำรวจสร้างฐานๆเล็กๆในชั้นของมืออาชีพโดยไม่ต้องขออนุญาต รวมถึงพื้นที่ปลอดภัยด้วย เเต่เราต้องมีการขออนุญาตถ้าอยากจะสร้างฐานหรือครอบครองพื้นที่ในชั้นของมือใหม่”
“ใช่ค่ะ เเล้ววางเเผนที่จะทำกำไรจากโครงการนี้ด้วยไหมคะ”
อืมม ตอบยากเลยเเหะ
“มิโยชิ ถ้าการทดลองของเราสำเร็จ เธออยากจะทำเงินหรือเปล่า”
เธอคิดอยู่ครู่ใหญ่ “อย่างเช่นฉันจะจดสิทธิบัตรไหมน่ะหรอ”
นารุเสะคงคิดว่าการจดสิทธิบัตรมันเเปลกสำหรับการทำไร่ “จดสิทธิบัตรหรอคะ”
“ฉันอยากจะปล่อยให้คนปกติสามารถนำผลการทดลองไปใช้ได้ถ้าไม่เป็นการเเสวงหากำไร เเต่ถ้ามีบริษัทใหญ่พยายามที่จะมาเลียนเเบบพวกเรา ฉันก้อยากจะเก้บเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้น่ะ” มิโญชิยิ้มอย่างชั่วร้าย “ทุกบาททุกสตางค์เลย”
เหมือนนารุเสะกำลังคิดว่า “พูดถึงเรื่องอะไรอยู่กันนะ” เเต่เธอก็ไมไ่ด้พูดออกมา
“ตอนนี้เอาเป็นว่า เราวางเเผนที่จะทำเงินกับโครงการนี้ก็เเล้วกัน เพราะมันเริ่มกลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเเล้วล่ะ”
“ห-หือ ขะ-เข้าใจเเล้วค่ะ”
“รุ่นพี่ นี่น่าจะเป็นโอกาสดีที่เราจะสร้างบริษัทเเล้วนะ”
ก่อนนี้หน้ามิโยชิกับผมคุยกันเรื่องที่อยากจะสร้างองค์ที่จะคืนกำไรที่เราได้มาจากการประมูลกลับไปที่สังคม เเต่เราจะสร้างเป็นบริษัทเพื่อการนี้ได้หรอ
“ไม่ใช่ว่าเป็นองค์กรที่ไม่เเสดวงหาผลกำไรที่มีเป้าหมายในการพิชิตดันเจี้ยนจะเหมาะสมกว่าหรอ”
มิโยชิส่ายหัว “ถ้าจะสร้าง NPO(Non-Profit Organization) จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือนเลยน่ะสิ”
“จริงดิ”
“มั่นใจเลยล่ะ ฉันถามทนายมาเเล้ว”
สมัยนี้ ถ้าเป็นบริษัทมหาชนล่ะก็จะใช้เวลาไม่เกิน 10 วัน กระบวนการที่จะขอเป็นNPOมันกินเวลาขนาดนั้นเลยงั้นหรอ
“เเล้วก็ เราจะต้องมีพนักงานอย่างน้อยสิบคน มีอย่างน้อยสามคนเป็นบอร์ดบริหาร เเละมีนักบัญชีอย่างน้อยหนึ่งคน”
“โห เเต่ไม่ใช่ว่าบริษัทมหาชนก้ต้องการอย่างน้อยสามคนเพื่อเป็นบอร์ดบริหารเหมือนกันหรอ”
“อ้างอิงจากกฏหมายบริษัทล่าสุด จะต้องมีผู้บริหารเเค่คนเดียว เเละถ้าเป็นอย่างงั้น การตัดสินใจต่างๆจะเกิดขึ้นในการประชุมสามัญเเทนที่จะมาจากผู้บริหารเอง”
“เข้าใจเเล้ว ถ้างั้นบริษัทมหาชนก็น่าจะโอเคมั้ง”
“ถ้าเป็นกรณีของเรา ฉันเเนะนำให้เป็นLLC(Limited Liability Company)มากกว่านะ”
“บริษัทจำกัดน่ะหรอ”
“ใช่ เพราะบริษัทจำกัดเป็นระบบปิด สถาบันการเงินจะไม่ค่อยให้เครดิตสักเท่าไร เเต่ทว่า-”
มิโยชิอธิบายคร่าวๆเกี่ยวกับความเเตกต่างของ บริษัทมหาชนเเละบริษัทจำกัด ทั้งสองอย่างก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะ เเต่ผมชอบที่บริษัทจำกัดจะมีอิสระมากกว่า
“งั้น ฉันจะเป็นตัวเเทนดำเนินงานของบริษัทเอง”
“เเน่นอน นี่นารุเสะ”
“คะ?”
“เรื่องที่ดินน่ะ ฝากขออนุญาตโดยใช้ใบอนุญาตปาร์ตี้ไม่ก็ใบอนุญาตการค้าของมิโยชิทีนะ อย่างหลังเป็นเเรงค์Sด้วย ถ้าจะต้องมีนิติบุคคลล่ะก็เดี๋ยวจะให้ข้อมูลอีกที”
“เข้าใจเเล้วค่ะ ถ้าพื้นที่เล็กหน่อยจะได้ไหมคะ”
“อืม ถ้าประมาณ 10 ตารางเมตรก็โอเคอยู่ ถ้าเป็นที่ห่างไกลที่ไม่ค่อยมีคนไปก็จะดีมากเลย”
“ได้เลยค่ะ ฉันจะลองสอบถามดูนะคะ”
“บอกหัวหน้าเธอไปด้วยว่าการทดลองนี้จะเปลี่ยนโลกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยล่ะ” มิโยชิเสริมพร้อมกับทำท่ากำมือ “เเล้วก็พยายามทำหน้านิ่งไว้ด้วยนะตอนถาม”
นารุเสะคงคิดว่าพวกเรากำลังจะทำอะไรเกินขอบเขตตามเคยจากที่เราถามเรื่องสิทธิบัตรกับบริษัทใหญ่ๆ
เเต่ถ้าการจะขอยืมพื้นที่ในดันเจี้ยนยังเป็นเรื่องยุ่งยากขนาดนี้ มันน่าจะเร็วกว่าถ้าเราเเอบไปใช้ที่ที่ห่างไกลบนชั้นสองโดยไม่ต้องขออนุญาต
ผมนั่งลงที่โซฟาเเละคิดเรื่องนี้ เเต่โทรศัพท์ของผมก็สั่นขึ้น
“หืม มิตสึรุกิโทรมางั้นหรอ”
เราเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อวันอาทิตย์ที่เเล้ว
ผมบอกไปนี่นาว่าเดือนนี้ค่อนข้างว่าง ผมคิดเเละรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล”
“อ๊ะ นั่นโค้ชรึเปล่าคะ” มีเสียงผู้หญิงถาม
“โค้ชหรอ”
เสียงนั่นไม่ใช่มิตสึรุกิเเน่นอน
“ไซโต้หรอ ทำไมถึงเรียกฉันว่าโค้ชล่ะ เเถมจากโทรศัพท์ของมิตสึรุกิด้วย เเปลกจังเลยนะ”
“เเหะๆ ฉันอยากจะขอโทษอะไรนิดหน่อยน่ะ”
“ว่าไงนะ”
“ความจริงก็คือ ฉันได้เเสดงบทตัวเอกเมื่อไม่นานมานี้น่ะ เเต่ว่า..”
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ไซโต้จะเล่นเป็นตัวเอกของภาพยนตร์ที่จะฉายในปีหน้า โดยทั่วไปเเล้วภาพยนตร์จะเป็นตัวเเสดงวิสัยทัศน์ของผู้ผลิตเเละผู้กำกับ ไม่เหมือนละครโทรทัศน์ ถ้ามีคนชอบคุณตอนออดิชั่น คุณก้จะมีโอกาสสูงที่จะได้เเสดง ไม่ว่าจะมีความนิยมมมากน้อยขนาดไหน ไซโดต้ก็เลยไปออดิชั่นภาพยนตร์ตัวนี้ เเต่เธอไม่สามารถพูดถึงได้ตอนวันเสาร์ เพราะต้องเก็บเป็นความลับจนกว่าทางค่ายผู้จัดจะประกาศอย่างเป็นทางการ
“สุดยอดไปเลยนะ เธอเคยโทรมาขอของขวัญที่พูดถึงเมื่อคราวนั้นหรอ”
“ฉันไม่ได้กดดันให้นายมาให้ของขวัญฉันสักหน่อย! เเต่จริงๆก็อยากได้เหมือนกันเเหละ”
“งั้นโทรมาเรื่องอะไรล่ะ”
“ก็ ตอนที่มีอีเว้นเปิดตัว ฉันมีการให้สัมภาษณ์น่ะ ตอนนั้นมีคำถามมาเกี่ยวกับทักษะการเเสดงของฉันที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงหลัง”
จากที่ผมเข้าใจ การลงดันเจี้ยนของมิตสึรุกิกับไซโต้นั้นเป็นที่รู้กันในกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง คนสัมภาษณ์ได้ถามเธอว่าการเเสดงของเธอกับการลงดันเจี้ยนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกันบ้างไหม โดยน่าจะถามเพื่อเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอย่างเล่นงานอดิเรกของนักเเสดงนำอะไรเเบบนี้
เเต่เเน่นอนเธอไม่สามารถพูดไปตรงๆได้ว่า “ฉันฆ่าสไลม์ไปนับไม่ถ้วยเลยล่ะค่ะ!”ได้ เธอเลยหลุดปากออกไปว่า “ฉันกำลังฝึกฝนอยู่กับโค้ชค่ะ”
“เธอล้อฉันเล่นใช่ไหม”
“เเล้วก็นะ โอ้โห ทุกคนสนใจกับเรื่องนี้มากๆเลย” ไซโต้ตอบ
เป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมอยากได้ยินเลย เธอทำอะไรกับผมเนี่ยห่ะ ไซโต้!
“ละ-เเล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ” ผมพูดขัด
“เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในเเวดวงการเเสดงเลยล่ะ ทุกคนสงสัยว่า “โค้ชปริศนา”คนนี้คือใคร”
“ทำไมล่ะ!”
“ฉันก็ไม่ได้ภูมิใจกับมันหรอกนะ เเต่เมื่อสองเดือนก่อนฉันยังเป็นนักเเสดงฝีมือดาษๆที่ไม่มีใครรู้จักอยู่เลยนี่”
ก็จริง คงไม่มีใครอยากอวดเรื่องนี้หรอ
“เเต่ในเวลาเเค่สองเดือน นักเเสดงหญิงทะเยอทะยานที่มีดีเเค่หน้าตากลับทำสิ่งที่เป็นไปไมไ่ด้ เเละเอาชนะนักเเสดงคนอื่นๆที่เป็นตัวเต็งที่จะได้รับบทนำทั้งหมด ทั้งๆที่ออดิชั่นครั้งนั้นเป็นถูกล็อคผลเอาไว้เเล้ว เเต่ผู้กำกับที่ไม่รู้เรื่องกลับเลือกฉันเเทน ก็เลยทำให้ฉันเด่นขึ้นมาน่ะ”
“เดี๋ยวนะ ออดิชั่นนั่นถูกล็อคผลไว้งั้นหรอ”
“เด็กคนที่ควรจะได้บทนำมาเค้นถามฉันน่ะสิว่าไปประจบผู้กำกับยังไงให้เปลี่ยนใจ เเน่นอนว่าฉันไม่รู้เรื่องเลย จนมีคนในนั้นมาเล่าให้ฉันฟัง”
โดยทั่วไปเเล้ว การเลือกนักเเสดงจะเกิดขึ้นจากการออดิชั่น เเต่สถานีโทรทัศน์นึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์นี้เอามากๆ ทำให้เกิดการล็อคผลจากการใช้เส้นสายกับเอเจนซี่จัดหานักเเสดงที่คุ้นเคยกับทางสตูดิโอ เเต่ทว่าไม่มีใครบอกผู้กำกับเรื่องนี้เพราะเขาเป็นพวกหัวเเข็ง เเถมยังมาถูกใจไซโต้อีก เธอก็เลยได้รับเลือก
“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเลย เเต่ฟังดูเหมือนมีเเต่ปัญหา…”
“ใช่เลย เเล้วเพราะว่าเอเจนซี่ของเด็กคนนั้นวางเเผนไว้หมดเเล้ว ทุกคนก็เลยรู้รายละเอียด ฉันกลัวว่าพวกเขาจะมาเอาคืนเร็วๆนี้น่ะสิ เเต่ทว่าตอนนี้มีโค้ชลึกลับที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้โผล่ขึ้นมาใช่ไหมล่ะ เลยมีเด็กสาวหลยคนเลยที่อยากจะมาฝึกด้วย”
“ไม่เเน่นอน” ผมตะโกนกลับ
“อุ๊ก ฮารุก็เทศน์ฉันจนหูชาเเล้ว ตอนนี้ยังจ้องเขม็งมาอยู่เลย ฉันก็เลยโทรมาเพื่อขอโทษน่ะ”
ผมเข้าใจอยู่ว่าเธอไม่ได้ทำเพราะประสงค์ร้ายอะไร เเต่ว่า…
“การสัมภาษณ์นั่นเป็นสัมภาษณ์สดรึเปล่า”
“ไม่ใช่ๆ”
“งั้นก็หวังว่าส่วนนั้นจะถูกตัดออกไปนะ”
“ฉันไคงไม่ตั้งความหวังเอาไว้สูงหรอก ทุกคนตื่นเต้นมากกับพาร์ทตรงนั้น เเล้ววันออกอากาศก็คือ-”
ไซโต้บอกวันที่เเละช่องที่จะออกอากาศกับผม เเละเธอก็วางสายไปหลังจากขอโทษอีกครั้ง พอวางสายผมก้ส่งเสียงถอนหายใจครั้งใหญ่
“ถอนหายใจซะเเรงเชียวนะรุ่นพี่”
“เพื่อปลดปล่อยความหงุดหงิดน่ะสิ”
ผมเล่าเรื่องของไซโต้ให้เธอฟัง
“อย่างนี้นี่เอง เเสดงว่ามีคนต้องการสิ่งนั้นจริงๆเเล้วเเหละ”
“เธอพูดถึงอะไรน่ะ”
“ที่เราคุยกันเรื่องบูทเเคมป์ไง”
“จะทำจริงๆหรอ!”
นารุเสะฟังที่เราคุยกันด้วยสายตาที่เหมือนกำลังบอกว่า “พวกคุณสองคนกำลังวางเเผนอะไรกันอีกล่ะ” เหมือนพอเธอได้ยินคำว่า “บูทเเคมป์” เธอก็วิ่งหนีไปห้องข้างๆเหมือนกำลังลี้ภัย กลัวว่าจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วย เธอน่าจะไปจัดการบทเเปลต่อหลังจากปิดประตูสนิท