ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 40 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (16)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 40 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (16)
ณ ห้องเเห่งหนึ่งในโรงเเรมย่านชินจูกุ
ภายในห้องของโรงเเรม มีชายคนหนึ่งได้รับข้อความเข้ารหัสเเละส่งต่อไปให้หัวหน้าของเขา หลังจากที่ตรวจสอบข้อมูลเเล้ว เขาก็สั่งการไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์
“ดูเหมือนหน่วยที่ทำหน้าที่รับผิดชอบดี-พาวเวอร์สในดันเจี้ยนจะถูกจัดการไปเเล้ว”
“กลุ่มวี ไดเรคโทเรตน่ะหรอ ไม่น่าเชื่อ”
“ฉันเห็นด้วย เเต่ทว่าดันเจี้ยนนั้นเป็นเหมือนบ้านของเหล่านักสำรวจ ที่นั่นพวกเขาได้เปรียบ”
หัวหน้าคนนั้นเคาะโต๊ะเบาๆหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นความโกลาหลในห้องก็เงียบลง
“ทีนี้ถึงตาพวกเราเเล้ว”
กลุ่มนอกกฏหมายที่เรียกง่ายๆว่า บาเรีย นั้นถูกส่งมาจากหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของรัสเซียอย่างเป็นความลับ
หัวหน้าหน่วยกางเเผนที่โตเกียวลงบนโต๊ะ
“เป้าหมายของเราสามารถเดินทางไปยังอิจิกายะได้หลายเส้นทาง ถ้าพวกเขาใช้รถยนตร์ พวกเราจะไม่มีปัญหา” เขาชี้ไปที่ถนนสองสายที่ขนาบข้างJDAเอาไว้
“สุดท้ายเเล้วพวกเขาก็จะผ่านทางหลวง 302 ไม่ก็ 405 ที่เรียกว่าถนนยาสุคุนิเเละถนนโซโตโบริ”
“ไม่ใช่ว่ามันอยู่หน้ากระทวงกลาโหมหรอ”
“ถึงจะมีอุบัติเหตทางจราจรขนาดใหญ่เกิดขึ้น ตำรวจก็จะเป็นคนรับมือ เราไม่ต้องห่วงเรื่องทหารหรอก”
“เข้าใจเเล้ว”
“ปัญหาจริงๆคือถ้าพวกเขาใช้รถไฟ” หัวหน้าหน่วยพูดต่อ ชี้ไปที่สถานีชินจูกุในเเผนที่
“จากชินจูกุ สามารถเดินทางโดยใช้รถไฟสายจูโอที่วิ่งบนพื้น หรือไม่ก็สายโทเอย์ชินจูกุที่วิ่งอยู่ใต้ดิน หรืออาจจะใช้สายมารุโนอุจิไปยังยตสึยะเเละหลังจากนั้นก็ใช้สายจูโอหรือสายนันโบคุก็ได้”
“รถไฟของโตเกียวนี่เหลือเชื่อจริงๆ” ลูกน้องคนนึงพูดขึ้น เขามองไปยังเส้นทางหลายเส้นในกระดาษ
“ทำไมถึงมีทางหลายสายวิ่งขนานกันล่ะ ระเบิดใต้ดินทิ้งน่าจะเร็วกว่านะ”
ใช่ การถล่มใต้ดินน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการถ่วงเวลาพวกดี-พาวเวอร์ส
“ฉันไม่สามารถอนุญาติให้ทำการโจมตีโดยตรงต่อการเดินทางสาธารณะได้ การทำเเบบนั้นมันคนละเรื่องกับอุบัติเหตุบนท้องถนน มันจะทำให้ญี่ปุ่นมองเราเป็นศัตรูอันตราย”
หลังจากนั้น หัวหน้าหน่วยก็อธิบายรายละเอียดของปฏิบัติการเเละตำเเหน่งของเเต่ละทีม
“ทีมหนึ่ง ตามดี-พาวเวอร์สตั้งเเต่ที่ออฟฟิศเเละคอยรายงานข่าวมา ทีมสองไปเตรียมอุบัติเหตุรถยนตร์ ทีมสามพวกนายทำหน้าที่เป็นเเบคอัพ”
หัวหน้าทีมเเต่ละคนพยักหน้าเป็นการตอบรับ
“ถ้าดี-พาวเวอร์สใช้รถไฟใต้ดิน ให้จัดการพวกเขาตอนที่สามารถทำได้ ระยะห่างระหว่างสถานีนั้นไม่ไกลนัก นายน่าจะสามารถเข้าถึงได้จากหลายๆที่ เเต่ถ้าพวกเขาใช้รถไฟบนดิน ตรงนี้จะเป็นจุดปฏิบัติการ”
หัวหน้าหน่วยชี้ไปที่จุดระหว่างอิจิกายะเเละยตสึยะ โดยเจาะจงก็คือ ตั้งอยู่ถัดจากสนามเทนนิสสวนโซโต
โบริที่สายโซบุกับสายจูโอมาบรรจบกัน
“ตรงนี้เป็นจุดบอดของรถไฟทั้งสองสาย จัดการพวกเขาที่นี่ เเละนี่คืออุปกรณ์ของพวกนาย”
เขาวางปืนพกกับกระสุนลงบนโต๊ะ เเน่นอนว่าการเดินไปมาในโตเกียวโดยเเบกไรเฟิลจู่โจมไว้นั้นเป็นไปไม่ได้
“P320s งั้นหรอ”
“ในกองทัพอเมริกา SIG P320s เป็นผู้สืบทอดของเเบเร็ตตาM9s ปืนพกนี้มีอุปกรณ์เสริมหลายชนิด ถึงทีมของรัสเซียจะใช้ SIGs เเต่ก็ยังไม่ได้ใช้P320s”
“เเต่ถึงจะใช้ของอเมริกันเเต่มันก็ไม่ได้ปกปิดที่มาของพวกเรามากนักหรอก ฉันเตรียมอุปกรณ์เก็บเสียงกับกระสุนซัพโซนิคเอาไว้เเล้ว”
ที่เก็บเสียงเป็นหลักประกันเฉยๆเพราะมันจะทำให้ปืนใหญ่เกินกว่าจะที่ซ่อนได้ ผลของการลดเสียงของมันไม่ค่อยเเตกต่างเท่าไรในกลุ่มฝูงชน
“หรือก็คือ เราสามารถกำจัดเป้าหมายได้เลยใช่ไหม”
ใช่ นักสำรวจอาจจะได้เปรียบในดันเจี้ยน เเต่ด้วยสมาชิกเเค่สองคน ดี-พาวเวอร์สเผชิญหน้ากับ วี ไดเรคโทเรทเเละเอาชนะมาได้ บาเรียอาจจะเป็นหน่วยหัวกะทิ เเต่วิธีการครึ่งๆกลางๆนั้นไม่น่าจะได้ผลกับพวกดี-พาวเวอร์ส
“ถ้าเป็นไปได้ เป้าหมายคือการขโมยออร์บมา เเต่ทว่า…” หัวหน้าหน่วยหยุดพูดเเละยิ้มอย่างโหดเหี้ยม
“เเต่เวลาลงสนามจริง อะไรก็เกิดขึ้นได้”
2 ธันวาคม 2018 (วันอาทิตย์)
ชินจูกุ
ในวันส่งมอบออร์บ มิโยชิกับผมมุ่งหน้าไปยังสถานีโยโยกิ-ฮาจิมัน
“เราใช้รถไม่ดีกว่าหรอ” มิโยชิถาม
“ไม่ล่ะ ถ้ามีใครวางเเผนการโจมตีเเบบก่อการร้าย เราใช้ระบบขนส่งสารธารณะจะปลอดภัยกว่า”
ระหว่างที่กำลังพูดอยู่ ผมก็เปิดล็อคเกอร์หยอดเหรียญที่เตรียมของปลอมเอาไว้ล่วงหน้า เเละหยิบกล่องที่ดูน่าสงสัยออกมาใส่กระเป๋า ถ้ามีใครกำลังดูอยู่ก็จะเหมือนกับว่าผมเอาออร์บมาจากที่นี่ จากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถไฟขบวนถัดไป
รถไฟโอดะคิววิ่งผ่านเขตชุมชนไปจนถึงชินจูกุ ทำให้พวกเราสามารถรู้ได้ทันทีถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น เเถมพวกเราเพิ่งประกาศการประมูลเมื่ออาทิตย์ที่เเล้ว ไม่น่าจะมีใครสามารถเตรียมกับดักขนาดใหญ่บนรถไฟได้ทันเวลา เเละก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่าพวกเราจะขึ้นขบวนไหน
“ว่าเเต่ นารุเสะเผยเเพร่ข้อมูลจากคฤหาสน์เเล้วนะ” มิโยชิบอก
“ฉันรู้เเล้ว นารุเสะช่วยตัดฉากที่มีพวกเราโผล่ในวีดีโอออกให้ด้วยใช่ไหม”
“อันนั้นฉันเป็นคนทำเอง”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมฉากที่มีพวกเราอยู่ถึงถูกตัดออกอย่างสวยงาม ถ้าเราจ้างคนมาทำ ตัวจริงของเราจะต้องถูกเปิดเผยทันทีเเน่นอน
มิโยชิหัวเราะคิกคัก “ถือว่าฉันช่วยก็เเล้วกัน”
“ขอบใจมาก”
ผมปฏิเสธข้อเสนอจากJDAที่จะให้คนมากับเราด้วย เพราะถ้าเป็นศัตรูมาสลับตัวกับเจ้าหน้าที่คนนั้นคงเป็นพล็อตที่น่าเบื่อที่สุดในโลกแหง ถ้าเราจะหนีโดยใช้สเตตัสของผมกับพวกอาเธอร์ส บอดี้การ์ดก็เป็นได้เเค่ตัวเกะกะเท่านั้นเอง เเถมDSFกับสายลับทานากะก็น่าจะคอยดูเราอยู่จากที่ไหนสักเเห่งด้วย
“เราจะไปJDAจากชินจูกุยังไงนะ ปกติก็จะขึ้นสายโซบุไม่ก็สายชินจูกุใช่ไหม” มิโยชิถาม
“สายโซบุเปลี่ยนสายสะดวกดี เดี๋ยวเราจะไปสายนั้นเเหละ เธอไม่อยากจะเดินเปลี่ยนสายเยอะใช่ไหมล่ะ เเถมใต้ดินมันหนีไปไหนไม่ได้ด้วย”
ถ้าอยู่ใต้ดินก็จะอันตราย ถ้ามีระเบิดเกิดขึ้นพวกเราต้องถูกฝังทั้งเป็นเเน่ เเล้วถ้าคนที่ตามเรามาขวางเราทั้งด้านหน้าเเละหลัง พวกเราก็จะไม่มีทางหนี เทียบกับบนพื้นโลกเเล้ว การวางกับดักที่ใต้ดินนั้นทำได้ง่ายกว่า
ผมก็ไม่คิดว่าจะมีระเบิดหรอก เเต่ข้างบนดูปลอดภัยกว่าจริงๆ
***
ชายใส่เสื้อสูทนักธุรกิจเเละผู้หญิงในชุดลำลองนั่งอยู่ในรถไฟตู้หลังจากโยชิมูระเเละมิโยชิ
“เหมือนพวกเขาเอาเชือกผูกตัวเองให้ทุกคนตามมาได้เลยนะ” ผู้ชายพูด
“ก็ใช่ เเต่ฉันไม่คิดว่าจะมีใครมาฆ่าพวกเขาที่นี่หรอกนะ เเต่ที่สำคัญ นายเเต่งตัวบ้าอะไรของนายเนี่ย” ผู้หญิงพูด
ปกติเเล้วโจชัวจะใส่ชุดมีสไตล์เเบบง่ายๆทำให้มีออร่าลึกลับที่ทำให้ดูเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง ทำให้พอนาตาลีเห็นเขาใส่ชุดสูทนักธุรกิจเเล้วรู้สึกตลก
“ได้ยินมาว่าชาวต่างชาติที่ใส่ชุดนักธุรกิจที่ชินจูกุจะไม่ค่อยเด่น” โจชัวอธิบาย
“นายไปได้ยินมาจากใครเนี่ย” มันเฉพาะฝั่งตกวันตกเท่านั้นเเหละ
เพื่อนร่วมทีมของนาตาลีนั้นเด่นอยู่เเล้วเพราะว่าความสูง พวกเขาทุกคนก็ไม่ได้ฝึกทักษะการสะกดรอยมา ที่เเย่ไปกว่านั้นคือโจชัวนั้นถือหนังสือที่มีชื่อว่า “คำไว้อาลัยเเด่ผู้วายชนม์” บางทีเขาอาจจะคิดว่าเป็นอุปกรณ์ประกอบการปลอมตัวก็ได้ เเค่นั้นก็ทำให้เขาที่ใส่ชุดสูทนักธุรกิจเด่นขึ้นมากว่าคนอื่นเเล้ว เเถมเขายังไม่เคยอ่านหนังสือบนรถไฟเลยสักครั้งเดียวในชีวิต
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนนึงที่รู้ว่าภารกิจของเขานั้นไร้ความหมาย” โจชัวตอบอย่างภูมิใจ “เเต่ว่าไม่มีใครไปหยุดภารกิจนั้น เขาเลยทำภารกิจสำเร็จเเละตายไป เหมือนเขียนไว้เพื่อพวกเราเลยนะ”
“นายคงปล่อยผู้หญิงหลุดมือไปด้วยสินะ” นาตาลีล้อเขาระหว่างที่สังเกตรอบๆตัว
“เธอเห็นชาวเอเชียที่อาจจะสะกดรอยตามดี-พาวเวอร์สไหม คนที่ชื่อทานากะนั้นคอยจับดาดูพวกเขาอยู่ ถ้ามีใครกำลังสอดส่องอยู่ก็อาจจะเป็นพวกเดียวกับชายคนนั้น” โจชัวถาม
“หรือไม่ก็มาจากจีน”
“อืม พวกเราชาวอเมริกันเเยกคนจีนกับคนญี่ปุ่นจากภายนอกไม่ออกหรอก เเต่เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าเธอโตมาที่ญี่ปุ่นหรอ”
นาตาลีถอนหายใจ “ถ้านั่นทำให้ฉันสามาถเเยกเชื้อชาติออกล่ะก็ ภารกิจนี้คงสบายน่าดู”
“งั้นเธอก็เเยกไม่ออกหรอ”
“โจชัว นายเเยกคนอเมริกากับคนอังกฤษออกงั้นหรอ”
“เเยกออกสิ”
“จริงเรอะ”
“ถ้าได้ยินสำเนียงล่ะก็เเน่นอน”
ก็ใช่สิ ฉันเองก็ยังทำได้เลย นาตาลีคิดในใจ
อีกไม่กี่นาทีต่อมา รถไฟก็วิ่งเข้าสู่สถานีชินจูกุ
***
หลังจากผ่านประตูเกตโอดะคิวไปเเล้ว พวกเราเดินขึ้นบันไดไปยังชานชาลาของสายโซบุ จากที่นั่นพวกเรามุ่งหน้าอย่างช้าๆไปยังรถไฟตู้ที่สี่จากทางด้านหลัง
“มีกลุ่มชาวต่างชาติสี่คนอยู่ตู้ข้างหลังเราสองตู้” ผมบอก
“ที่นี่คือชินจูกุนะ มีชาวต่างชาติเยอะอยู่เเล้ว”
“ก็ใช่ เเต่พวกเขาไม่มีความรู้สึก ‘ผิดที่ผิดทาง’ เหมือนที่นักท่องเที่ยวมี เเถมพวกเขายังเดินด้วยความเร็วเท่าๆกับพวกเราโดยไม่สนใจเก้าอี้ว่างเลย ลองดูสิ”
มิโยชิกับผมเดินกันช้าๆ พอรถไฟกำลังจะออกจากชานชาลา พวกเราก็วิ่งเข้าไปในตู้ที่สี่จากด้านหลัง เเน่นอนว่าประตูไม่ได้ปิดทันทีเเล้วรถไฟออกหรอก นั่นมันมีเเค่ในหนังเท่านั้น เเต่ที่สถานีชินจูกุจะมีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าชานชาลาอยู่เเละพวกเขาจะไม่ให้ใครพลาดรถไฟ ประตูที่ปิดอยู่ครึ่งนึงเปิดขึ้นอีกครั้ง เเละปิดอีกครั้งหลังจากหยุดชั่วขณะหนึ่ง
“คนที่ตามมาเคลื่อนไหวรึเปล่า” มิโยชิถาม
“อย่าสบประมาทจำนวนคนที่ชินจูกุสิ ถึงจะเป็นวันอาทิตย์ก็เหอะ เเต่เวลาประมาณนี้ การเคลื่อนที่ภายในขบวนรถเป็นไปไม่ได้หรอก”
ถึงจะไม่เเน่นเอี๊ยดขนาดนั้น เเต่ก็มีคนเยอะพอสมควร ไม่มีที่พอให้เดินหรอก
“เเล้วก็ รถไฟนี้น่าจะเกิดอุบัติเหตุก่อนจะถึงยตสึยะ”
“รุ่นพี่รู้ได้ไงล่ะ”
“คนด้านหลังเราเริ่มใช้โทรศัพท์เเล้ว เเถม…”
เมื่อวาน ผมลองดูเส้นทางสำหรับวันนี้ด้วยกูเกิ้ลสตรีทวิว เพื่อดูว่าผู้ที่จะโจมตีจะพยายามจะปล้นเราที่ไหน ตอนนั้นผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ระหว่างชินจูกุกับอิจิกายะบนสายโซบุ จะมีที่นึงที่ต้นไม้จะขนาบทางรถไฟทั้งสองข้าง ทำให้ไม่สามารถเห็นรถไฟจากภายนอกได้
“ถ้าจะมีใครโจมตีเรา จะต้องเป็นที่สวนโซโตโบริ” ผมสรุป
สายโซบุกับสายจูโอมาประสานกันที่นั่น
สุดท้ายเเล้วรถไฟก็เริ่มลดความเร็วลง
“นายคิดว่าไซมอนกับทีมของเขาจะมากับเราด้วยรึเปล่าวันนี้” มิโยชิถาม
“ดูเเล้ว คงไม่เเปลกที่จะมีคนที่เกี่ยวข้องกับDSFอยู่ใกล้ๆเรา เเต่ไม่ใช่ว่าไซมอนกับทีมจะไปคุ้มกันคนที่จะรับออร์บหรอ”
ณ ตอนนั้น พวกเรายืนยันอะไรไม่ได้เลย
***
“ดี-พาวเวอร์สรู้ตัวเเล้ว” ทหารรัสเซียคนหนึ่งพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้น เราเคลื่อนไหวไปหา-”
ก่อนที่ทหารคนนั้นจะพูดจบ รถไฟก็สั่น เเละชายที่ยืนจับราวอยู่ข้างชายคนนั้นก็เอนมาหาเขา
“อ๊ะ สุมิมาเซน” ชายคนนั้นกล่าวขอโทษเป็นภาษาญี่ปุ่น
ทหารคนนั้นมองไปทางชายคนนั้นเเละตอบ “ไม่เป็นไร”
หลังจากนั้นเขาจึงพูดภาษารัสเซียกับเพื่อนร่วมทีม “การจะเข้าใกล้เป้าหมายตอนนี้น่าจะยาก”
“ที่สถานีถัดไป เราจะขยับเข้าใกล้เป้าหมายอีกหนึ่งขบวนเเละทำการเตรียมตัวที่จุดที่กำหนดไว้”
“รับทราบ”
***
พอรถไฟเริ่มวิ่งคู่ขนานไปกับทางหลวงหมายเลขสี่สายชินจูกุ เสียงตามสายก็ประกาศสถานีถัดไป
“สถานีถัดไป เซ็นดากายะ เซ็นดากายะ”
“มิโยชิ เตรียมตัวลง”
“เอ๋”
“ที่โยโยกิ คนที่ตามเรามาขยับเข้ามาใกล้อีกตู้เเล้ว พวกนั้นน่าจะพยายามมาประกบเราก่อนที่เราจะถึงบริเวณที่มองไม่ค่อยเห็น”
พอเสียงจากลำโพงจบลง รถไฟก็ค่อยๆลดความเร็ว
“ฟังนะ เราจะมุ่งหน้าลงบันไดออกไปที่เกทเเล้วก็เลี้ยวขวา จากนั้นก็เลี้ยวขวาอีกครั้งที่ร้านคาเฟ่เอ็กเซลซิเออร์ออกไปยังทางออกใต้รางรถไฟ”
“ระ-รุ่นพี่จะให้ฉันวิ่งไปตลอดทางเลยหรอ ไม่อยากจะบอกหรอกนะ เเต่ฉันไม่มั่นใจพลังกายตัวเองเท่าไร”
อ๋อจริงด้วย เธอมีค่าVITแค่ 9 เอง
“หรือจะขี่เฮลฮาวด์ไปล่ะ”
“ไม่ได้อยู่เเล้วนี่”
พอรถไฟหยุดเเละประตูเปิด พวกเราก็พุ่งตัวออกไป วิ่งลงบันไดด้านขวา ผมถือบัตรPASMOเหนือเกทตรวจตั๋ว เเต่พอพวกเราข้ามไปยังอีกฝั่งของเกท มิโยชิก็เริ่มบ่น
“ระ-รุ่นพี่ ฉันตามไม่ทัน”
ผมหิ้วมิโยชิขึ้นมาในวงเเขวนเหมือนหิ้วของเเละวิ่งผ่านร้านคาเฟ่ไป หวังว่าพวกที่กำลังถ่ายรูปอยู่ในคาเฟ่จะไม่ถ่ายติดพวกเราไปนะ อย่างเเย่ที่สุด อาจจะมีคนเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนร้ายลักพาตัวก็ได้
“ตาบ้า ไม่เหมือนกับอุ้มเเบบเจ้าสาวเลย”
“เงียบซะเดี๋ยวกัดลิ้นนะ”
เธอเลยเเค่จ้องเขม็งมาที่ผม
พอเลี้ยวขวา ผมก็มาถึงอุโมงค์ทางลอดฮาจิมันของสายจูโอ-โซบุ โชคดีที่ไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครมาถ่ายรูปพวกเราเพราะว่าเเถวนี้ไม่มีคน
นอกเสียจากว่าล็อคเป้าหมายเอาไว้ สกิลตรวจจับนั้นจะไร้ความหมายถ้าอยู่ในฝูงชน สกิลสามารถเเยกเเยะเเต่ละสปีชีส์ได้ เเต่ว่าไม่สามารถเเยกเเยะมิตรหรือศัตรูได้ เเถมผมก็วางเเผนไว้เเต่เเรกเเล้วว่าจะไปยังที่ๆสกิลตรวจจับสามารถทำงานได้
ด้านขวาของทางออกนั้นเป็นสวนเเห่งชาติชินจูกุโกเอน เเต่ว่าสวนนั้นมีกำเเพงหินสูงสามถึงสี่เมตรล้อมรอบอยู่ เเถมยังมีรั้วเหล็กสูงสองเมตรอยู่บนกำเเพงหินอีกที
ผมเริ่มวิ่งขึ้นไปบนกำเเพงหินทั้งๆที่ยังอุ้มมิโยชิอยู่ ที่ๆห่างไปหน่อยนั้นมีหินที่ดูเป็นธรรมชาติที่มีขนาดไม่เท่ากัน ด้วยสเตตัสของผมก็น่าจะสามารถวิ่งไปบนกำเเพงระหว่างที่หิ้วมิโยชิเอาไว้ได้ ถ้าไม่ลื่นเพราะไปเหยียบมอสซะก่อนนะ
ผมกระโดนขึ้นไปยังท่อนเหล็กที่เเขวนไว้ที่ทางออกของทางลอด เเท่งเหล็กนี้เรียกว่า บาร์จำกัดความสูง มันถูกทาสีเหลืองสลับดำ จากนั้นผมก็พุ่งข้ามรั้วเหล็กสูงสองเมตรในครั้งเดียวลงไปยังพื้นที่สวน
“ระ-รุ่นพี่กลายเป็นดาราหนังแอคชั่นไปตั้งเเต่เมื่อไรเนี่ย”
“เธอขอบคุณสเตตัสของฉันได้เลย ไม่ว่าทหารพวกนั้นจะฝึกมาหฤโหดขนาดไหนก็ตามเรามาไม่ได้ง่ายๆเเน่”
สถานีเซ็นดากายะนั้นอยู่ติดกับสวนชินจูกุ เเต่ตอนนี้คุณไม่สามารถที่จะใช้ทางออกด้านข้างได้ ถ้ามีคนอยากจะตามเรามา พวกเขาก็มีอยู่สามทาง อย่างเเรกคือวิ่งไปทางตรงกันข้ามกับเราหลังจากที่ออกจากเกทมาเเล้ว สองคือวิ่งขึ้นเนินเขาไกลจากที่นี่เเละข้ามรั้วตรงนั้น สุดท้ายคือเข้าสวนด้วยทางเข้าแกตที่ประตูเซ็นดากายะ ซึ่งอยู่ไกลออกไปอีก
“โอเค เรื่องนี้ก็เจ๋งดีอยู่หรอกนะ เเต่ฉันคิดว่าสวนนี้ต้องจ่ายค่าเข้าล่ะ”
“อึ๊กก” ผมคราง
เหมือนเธอจะใจเย็นจนสามารถเหน็บเเนมผมได้เเล้ว เเต่ใช่ ค่าเข้านั้นราคา200เยน หวังว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะยอมยกโทษให้เรานะเพราะนี่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน
“เเล้วก็เราต้องใช้ตั๋วตอนออกด้วย”
“จริงดิ”
มิโยชิที่ยังอยู่ในวงเเขนของผมกอดอก “อืมม” เธอส่งเสียง
ผมยิ้มเเหยๆเเละมุ่งหน้าไปทางเหนือ ผมน่าจะต้องกระโดดข้ามรั้วทางด้านซ้ายมือของประตูโอคิโด ตรงที่จอดรถนั้นมียามอยู่หลายคน ถ้าผมรีบ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ทันสังเกตได้
ระหว่างที่คิดอยู่นั้น พวกเราก็มาถึงบึงที่มีกลุ่มของคนกำลังถือกล้องอยู่ เกิดอะไรขึ้นกันนะ ผมกังวลเเละวางมิโยชิลง
“บึงนั่นเป็นสถานที่ถ่ายรูปต้นเมเปิ้ลที่มีชื่อเสียงน่ะ เเถมตอนนี้เป็นฤดูของมันด้วย” มิโยชิอธิบาย
โธ่ เเย่ชะมัด
ต้นเมเปิ้ลต้นใหญ่ที่มีสีสันสวยงามนั้นสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ มีไทรพ๊อดตั้งเรียงรายอยู่ที่ถนนเพื่อที่จะจับภาพนั้น ในตอนนี้จะหาคนที่ไม่มีกล้องคงจะยากกว่า
จังหวะนั้น สกิลตรวจจับของผมก็จับปฏิกิริยาได้จากอีกฝั่งของต้นซากุระที่ไม่อนุญาติให้คนเข้าไป
“มีคนตามมาอย่างที่คิดเลย”
“โอ้โห น่าตื่นเต้นจริงๆเลย” มิโยชิพูดอย่างไม่กังวล
“เธอนี่ดูสบายจังเลยนะ สุนัขเฝ้ายามของเธอยังทำงานอยู่ดีใช่ไหม”
“ดรัดวินซ่อนอยู่ในเงารุ่นพี่ คาวัลกับเอธเธมลัมอยู่ในเงาฉัน เกลสซิกเฝ้าอยู่ที่ออฟฟิศ”
มีอยู่ในเงาฉันด้วยแฮะ เเต่ยังไงก็เหอะ ฉันพึ่งพวกนายอยู่นะ ที่อวดว่าสามารถปกป้องพวกเราจากมือปืนซุ่มยิงด้วยน่ะ ถ้ามีใครโจมตีพวกเราด้วยปืนเเบบนั้น พวกนายจะเป็นความหวังเดียวของพวกเรานะ ถ้าอยากกินของหรูก็ทำงานหน่อย
ผมได้ยินเสียงปืนห่างๆดังมาจากทิศทางของคนที่ตามมา
“รุ่นพี่ เสียงนั่นมัน…”
พวกเราสองคนมองหน้ากัน
“ใช่ เหมือนเสียงปืน”
เอาจริงดิ พวกเขายิงปืนกันในที่ที่มีคนอยู่เยอะเเบบนี้เนี่ยนะ ถ้าพวกนั้นไม่รู้ เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ เเต่ว่าพวกเขายิงอะไรกันน่ะ
มิโยชิกับผมเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ หลังจากผ่านทุ่งกุหลาบเเล้ว พวกเรามุ่งหน้าไปยังประตูโอคิโดที่มีเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่มองเห็นได้จากทางด้านซ้าย
“เหมือนจะมีงานเเสดงกล้วยไม้ตะวันตก”
เธอชี้ไปที่เรือนกระจก ซึ่งมีป้ายว่า “งานเเสดงกล้วยไม้ตะวันตกของชินจูกุโกเอนครั้งที่ 30” เหมือนวันนี้จะเป็นวันจัดเเสดงวันสุดท้าย
เลยทำให้รอบๆเรือนกระจกมีคนเยอะงั้นหรอ เวลาเเย่ชะมัด เเต่คงไม่มีใครมองมาด้านหลังหรอกมั้ง เเต่พวกเขาอาจจะเห็นเราผ่านกระจกก็ได้ ทุกๆวันนี้ คนปกติที่กำลังเดินอยู่ทุกคนนั้นสามารถถ่ายวีดีโอได้ สมัยใหม่นี่มันน่ารำคาญชะมัด
ผมลองตรวจดูสกิลตรวจจับเเละเจอว่าคนที่ตามมานั้นยังอยู่ในพุ่มไม้ข้างนอกสวนซากุระ พวกเขาไม่ขยับ
“ไม่มีทางเลือกเเล้วล่ะ” ผมพูด
“เดี๋ยวก่อน!”
ในตอนที่ผมกำลังจะใช้ความเร็วพุ่งผ่านไป มิโยชิก็หยุดผมเเละวิ่งเหยาะๆไปที่ประตู
“ขอโทษนะคะ” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเผลอทิ้งตั๋วไปเเล้ว ขออกตรงนี้ได้ไหมคะ”
“หืออ” พนักงานมีอายุตอบ “ไม่เป็นไร เเค่คราวหน้าระวังก็พอ”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ต้นเมเปิ้ลสวยมากเลย ครั้งหน้าจะมาอีกเเน่นอนเลยค่ะ”
“ขอบคุณนะ”
ชายสูงอายุมองส่งพวกเราด้วยรอยยิ้ม
สกิลในการสื่อสารของเธอที่น่าทึ่งเลยเเฮะ
“เจ๋งไปเลย”
“ตอนขาออกไม่มีปัญหาหรอก เเต่ขาเข้าคงทำอะไรไม่ได้หรอก เเล้วรุ่นพี่คิดอะไรอยู่ พยายามจะฝ่าไปทั้งๆที่มียามอยู่อ่ะนะ บ้ารึเปล่า”
ผมทำได้เเค่ยอมรับความผิด
มิโยชิยิ้มอย่างเป็นห่วง “คิดว่าคนที่ตามเรามากำลังทำอะไรอยู่”
เท่าที่ผมรู้ พวกเขายังอยู่ที่เดิม