ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 35 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (11)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 35 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (11)
28 พฤจิกายน 2018 (วันพุธ)
โยโยกิดันเจี้ยน ชั้น 8
“เสียงระฆังงั้นหรอ”
คนขายหมูปิ้งเสียบไม้ในชั้นแปดกำลังพูดอยู่กับชายที่มีกล้ามเนื้อรูปร่างเพรียวที่เพิ่งจะขึ้นบันไดมา
“ใช่” ชายมีกล้ามตอบ “เหมือนว่ามีกลุ่มนักสำรวจที่ตั้งเเคมป์อยู่ที่บันไดชั้นสิบเพราะกลับมาชั้นแปดไม่ทันเวลา พวกเขาเลยได้ยินเสียงระฆัง”
“จริงหรอ ฟังดูเหมือนพวกงี่เง่าเลยนะ”
ชายมีกล้ามหัวเราะเเห้งๆเเละกัดเนื้อเสียบไม้ “ระหว่างที่สำรวจชั้นเก้าอยู่ตะวันก็ตกดิน พวกเขากลับไปชั้นแปดไม่ทัน เพราะฉะนั้นก็เลยย้ายกันไปอยู่ที่บันไดทางไปชั้นสิบเเละรอให้ฟ้าสว่างอยู่ที่นั่น จะให้พวกเขาทำยังไงได้อีกล่ะ”
ในตอนกลางคืนนั้นจะมีโอกาสที่จะเจอโคโลเนียลวอร์มเพิ่มขึ้น เเละบริเวณบันไดนั้นก็ค่อนข้างปลอดภัย ถ้าเกิดมีโคโลเนียลวอร์มโผล่ออกมาจริงๆ พวกเขาก็สามารถหนีลงบันไดไปได้
“ตอนที่กลุ่มนั่นมาถึงบันได ตะวันก็ตกดินไปสักพักเเล้ว” ชายมีกล้ามพูดต่อ “เเต่ว่าก็มีเรื่องวุ่นวายจากกลุ่มคนตรงนั้น”
“กลุ่มคนตอนกลางคืนงั้นหรอ ปกติเเล้วตรงนั้นจะไม่มีใครนี่”
“จากที่ได้ยินมา มีกลุ่มทหารต่างชาติตั้งเเคมป์กันอยู่รอบบริเวณบันได”
“ทหารงั้นหรอ ทำไมล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าเป็นเเค่JDFก็ไม่มีปัญหาอะไร เเต่พอเป็นกองทหารต่างชาติ ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะก่อเรื่องอะไรไหม นักสำรวจพวกนั้นคงไม่อยากจะไปเกี่ยวข้องกับอะไรที่มันอันตราย เเต่ถ้าจะไปจากบริเวณบันไดก็อันตรายเหมือนกัน พวกเขาเลยไม่มีทางเลือกที่จะต้องตั้งเเคมป์ห่างออกไปหน่อย”
“เหมือนมันจะทำให้พวกเขาไปเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่กว่านั้นสินะ”
สุดท้ายเเล้วก็หนีไม่พ้น
“ถ้าออกไปจากบันไดชั้นเก้า ก็เป็นไปได้ว่าจะไปเจอกับโคโลเนียลวอร์ม” ชายมีกล้ามเห็นด้วย “ยิ่งหลังจากมืดเเล้วด้วย เเต่ว่าถ้าไปตั้งเเคมป์ใกล้พวกทหาร พวกทหารจะต้องคอยจับตาดูพวกเขาเเน่ นักสำรวจพวกนั้นคงไม่อยากให้เป็นเเบบนั่น เเถมคงไม่มีใครอยากไปๆมาๆชั้นสิบตอนกลางคืนด้วย”
ก็คิดว่าเข้าใจเหตุผลของพวกเขาอยู่หรอกนะ คนขายเนื้อเสียบไม้คิด เเต่สถานการณ์เเบบนั้นจะนอนหลับกันได้งั้นเรอะ
“เอาเถอะ” ชายมีกล้ามพูดต่อพร้อมกับเคี้ยวเนื้อย่างชิ้นที่สองไปด้วย “จากที่พวกนั้นเล่ามา นักสำรวจคนที่เฝ้ายามอยู่ได้ยินเสียงระฆังเเว่วๆตอนประมาณเที่ยงคืน คิดว่าเสียงนั่นมาจากชั้นสิบ เเน่นอนว่าพวกเขาสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันเเน่จนอยากจะลงบันไดไปดูด้วยซ้ำ”
“เคยได้ยินไหมว่าความสงสัยฆ่าเเมวได้”
ชายมีกล้ามกลืนเนื้อลงคอเเละหัวเราะ “ตามนั้นเลย! เเต่ทว่านักสำรวจพวกนั้นก็เริ่มเเอบมองชั้นสิบทั้งๆที่กลัวจนขาสั่น เเละเเล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงระฆังที่ดังจนจนหูอื้อ มันเหมือนกับเสียงระฆังที่อยู่บนยอดโบสถ์มาจากทิศทางตรงกันข้ามกับบันไดไปชั้นสิบเอ็ด”
“ชั้นสิบมีโบสถ์ด้วยเรอะ เท่าที่ฉันรู้มันไม่มีอะไรเลยนอกจากสุสานนะ”
“ไม่เคยได้ยินว่ามีเหมือนกัน นักสำรวจพวกนั้นคิดว่ามีอีเว้นต์พิเศษบางอย่างเกิดขึ้น”
“อืม เข้าใจได้”
ถึงจะมีน้ำยาซึมซับก็ตาม คนที่จะไปชั้นสิบตอนกลางคืนมีเเต่คนบ้าเท่านั้นเเหละ นักสำรวจส่วนมากคิดเเบบนี้กันทั้งนั้น
“ระหว่างที่พวกนั้นกำลังคิดอยู่ เสียงระฆังก็หายไปอย่างกระทันหัน เหมือนเสียงถูกตัดออก”
.“หายไปงั้นหรอ ไม่ได้หมายความว่ามันดังจนจบใช่ไหม”
“จากที่พวกเขาพูด เสียงไม่ได้เบาลงเรื่อยๆเลยด้วย”
“น่าสนใจจริงๆ คงจะดีถ้ามีสมบัติโผล่ออกมา”
“ไม่ล่ะ มีเเค่เสียง”
ชายมีกล้ามโยนไม้เสียบลงถังเเละหัวเราะเเละเดินจากไป
“ทหารที่ตั้งเเคมป์ใกล้ทางออกชั้นเก้างั้นหรอ…” ชายขายหมูปิ้งเสียบไม้พึมพำกับตัวเอง
น่าจะเป็นผลจากหลายๆประเทศที่พยายามไล่ตามเป้าหมาย เเต่ถ้าเป็นเเบบนั้น เป้าหมายหายไปไหนกัน เเน่นอนว่าไม่ได้อยู่ที่ชั้นสิบ
ระหว่างที่เขากำลังเชื่อมโยงเรื่องระฆังโบสถ์เข้ากับออร์บเข้าใจภาษาต่างโลก สายลับของสำนักงานความปลอดภัยนอกเครื่องเเบบก็หยิบหมุปิ้งขึ้นมาย่าง
โยโยกิดันเจี้ยน, ชั้น 10
หลังจากทานข้าวเช้าเเล้ว พวกเราก็อัญเชิญเฮลฮาวด์ที่เหลือหน้าฐานเคลื่อนที่ของเรา
“จงออกมา เอเธลเลม!”
“จงออกมา เกลสซิค!”
“จงออกมา ดรัดวิน!”
ทุกครั้งหลังจากที่มิโยชิประกาศชื่อ จะมีวงเเหวนเวทย์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่พื้น เฮลฮาวด์ขนาดใหญ่ – ใช่เฮลฮาวด์จริงๆใช่ไหมนะ – ที่หน้าตาเหมือนคาวัลเป๊ะก็ปรากฏขึ้นบนวงเเหวนนั่น
มิโยชิลองอัญเชิญตัวที่ห้าเพื่อเป็นการทดลอง เเน่นอนว่าไม่เกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นเหล่าเฮลฮาวด์ที่ถูกอัญเชิญมาก็ไปล่าอันเดดที่อยู่ละเเวกนั้นอย่างร่าเริง ดูเเล้วพวกมันคงจะอยากเเข่งกัน มิโยชิก็เลยปล่อยให้ทำตามใจ ระหว่างนั้นคาวัลก็นั่งอยู่ข้างเธอเหมือนลูกหมาที่ซื่อสัตย์
“เเกทำอะไรเนี่ย เป็นบอดี้การ์ดรึไง” ผมถาม
“โฮ่ง” มันเห่า
พอได้ยินมันตอบ มิโยชิก็ลูบหลังคาวัลอย่างมีความสุข
“รุ่นพี่ไม่อยากอัญเชิญบ้างหรอ”
“เวทความมืด VI ของบาร์เกสต์มีคูลดาวน์สามวัน จะให้รอขนาดนั้นก็ยุ่งยาก เเถมฉันไม่ถูกกับสิ่งมีชีวิตตั้งเเต่ปล่อยให้ต้นกระบองเพชรเน่าเเล้ว เเต่พูดจริงๆ เรื่องนี้ฉันภูมิใจกับมันอยู่นะ..”
ต้นกระบองเพชรเป็นพืชที่ทนทานถึงเเม้กว่าจะปล่อยไม่ดูเเลเป็นระยะเวลานาน ผมไม่ได้ทำอะไรกับมันเลยทั้งฤดู วันนึงมันคงหมดความอดทนก็เลยเริ่มนิ่มเเละเหี่ยวลง น่าพิศวงจริงๆ
“ทำไมถึงภูมิใจกันเล่า พูดถึงการดูเเล คิดว่าลูกหมาพวกนี้กินอะไรนะ”
เมื่อวานคาวัลกินเเซนวิชเเฮมไป เเค่เฮลฮาวด์คงหาอาหารของมนุษย์ในดันเจี้ยนไม่ได้ทุกวัน ถ้าผมเริ่มคิดถึงส่วนประกอบของโปรตีนกับเอนไซม์ย่อยอาหารตอนนี้ คงมีคำถามไม่จบไม่สิ้นเเน่ มนุษย์สามารถกินเนื้อที่มาจากดันเจี้ยนได้ ถ้ามอนสเตอร์สามารถย่อยอาหารของมนุษย์ได้ก็คงไม่เเปลก เเถมบางทีมอนสเตอร์ก็กินมนุษย์ด้วย เเหวะ
“อืมม ถ้าเราปล่อยมันไว้ในดันเจี้ยนเป็นช่วงๆ เราก็ไม่ต้องหาอาหารให้ใช่ไหมล่ะ”
ได้ยินที่ผมพูด คาวัลก็เดินมาหาผมเเละส่ายหัวไปมา
“หา พวกนายอยากจะกินอะไรสักอย่างหรอ”
คาวัลพยักหน้า
“เหมือนนายจะชอบเเซนวิชเมื่อวานนี้นี่นา” มิโยชิพูด
คาวัลพยักหน้าอีกครั้ง
“ยังไงนะ พวกนายได้รับสารอาหารจากเเซนวิชแฮมด้วยหรอ”
พอได้ยินคำถามของผม คาวัลก็ไม่ยอมหันมาสบตาเเละมองไปยังที่ไกลๆ
“สรุปคืออาหารของมนุษย์ไม่จำเป็นสินะ พวกนายเเค่อยากจะกินบ้างเพราะมันอร่อยว่างั้น”
คาวัลยังไม่ยอมหันมาสบตาผม เเต่เหงื่อเริ่มผุดออกมาบนหน้า
“อย่าสิ รุ่นพี่ คาวัลกับเพื่อนๆเเค่อยากจะกินของอร่อยบ้างในบางที ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่นา”
คาวัลรีบวิ่งไปหามิโยชิเเละไปนั่งข้างๆเธอ มันพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ตาสีทองของมันส่องประกาย
“อยากจะกินอะไรก็กินนั่นเเหละฉันเเค่สงสัยเฉยๆ เเต่พวกกนายต้องปกป้องมิโยชิให้ดีนะ”
“โฮ่ง”
สัตว์อสูรอัญเชิญงั้นหรอ
ผมก็คิดอยู่หรอกว่ามันมีอยู่จริงๆ เเต่พอเราได้มาเป็นเจ้าของมันเเล้วเนี่ย จะต้องไปขอใบอนุญาตหรือลงทะเบียนกับJDAมั้ยนะ พวกภูมิคุ้มกันหรือวัคซีนจะเอายังไง มีเรื่องที่ไม่รู้เยอะเลย
ไว้ค่อยไปถามนารุเสะก็เเล้วกันถ้างั้น
เเล้วก็ถ้าพวกเฮลฮาวด์พวกนี้ตายจะเป็นยังไง ถ้าอัญเชิญมาใหม่จะเป็นการชุบชีวิตรึเปล่า หรือว่าจะได้มาเป็นตัวใหม่เลย ถึงผมจะมีข้อสงสัยมากก็เถอะ มิโยชิคงโกรธเเน่ๆถ้าผมอยากจะลองทดสอบดู
เเต่เดี๋ยวก็คงรู้เองนั่นเเหละ
ตอนนั้นเอง สกิลตรวจจับของผมก็เจอคนจำนวนหนึ่ง น่าจะเป็นนักผจญภัย
“รุ่นพี่มีอะไรหรอ”
“มีคนมา”
โชคร้ายที่เราน่าจะเด่นน่าดูเพราะอยู่บนเขา ก่อนที่พวกที่กำลังตามมาจะเห็นเรา พวกเราจึงเก็บกวาดพื้นที่บริเวณนี้เเละเอาดอลลี่เก็บเข้าสโตเรจ จากนั้นก็มุ่งไปที่สุสานโดยอ้อมเขาไปเพื่อที่จะไม่ให้พวกเขาเห็น
“พวกคนที่สะกดรอยตามเรานี่พยายามมากเลยนะ รู้กันได้ยังไงว่าพวกเราอยู่ที่นี่”
“นั่นสิ บางทีพวกคนที่สร้างความวุ่นวายเมื่อคืนอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้”
ตอนกลางวันของชั้นสิบนั้นไม่มีอะไรมาก มอนสเตออร์ส่วนมากจะเป็นซอมบี้ไม่ก็สเกลเลตัน เเต่เเค่จำนวนของพวกมันอย่างเดียวก็ทำให้นักสำรวจปกติมีอันตรายถึงชีวิตได้เเล้ว
ในตอนที่ผมไม่สามารถจัดการมอนเสตอร์ได้ในทีเดียวด้วยเวทมนตร์ มิโยชิจะสั่งให้พวกเฮลฮาวด์ของเธอโจมตีซ้ำปิดงาน ระหว่างที่มองซอมบี้ที่กรูเข้ามากันอย่างไม่ขาดสาย มิโยชิก็พูดขึ้น “ไม่เเปลกใจเลยว่าทำไมคนถึงเรียกที่นี่ว่าชั้นสิบเเห่งนรก”
ซอมบี้ที่น่าเกลียดน่ากลัวกำลังโถมเข้ามาหาพวกเราราวกับทะเลที่กำลังเกรี้ยวกราด เเถมไอเทมดรอปของพวกมันก็ไม่น่าสนใจเลยด้วย บวกกับเป็นพื้นที่สุสาน ทำให้ชั้นนี้ถูกขนานนามโดยนักสำรวจว่าเป็นนรก
“เเต่พวกที่ตามเรามาก็ดูไม่มีปัญหาอะไรนะ” มิโยชิพูด
พวกที่สะกดรอยตามเรามาอยู่บนถนนอีกฝั่งนึงของเขา ผมไม่รู้สึกว่าพวกเขาต่อสู้ เเต่กลับเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ บางทีกำลังระวังสิ่งรอบตัวไปพร้อมกับเดินหน้าไปด้วย
“น้ำยาซึมซับได้ผลกว่าที่ฉันคิดไว้อีก” มิโยชิพูด
“ถ้าเป็นตอนที่เดินบนถนนตอนกลางวันล่ะก็นะ”
ไม่มีใครมาที่ชั้นสิบตอนกลางคืออยู่เเล้ว เเต่ทว่าถึงจะมาเดินตอนกลางวันพวกอันเดดก็จะโจมตีคุณอยู่ดี พวกที่ตามเรามานั้นยังคนเดินทางบนถนนเเละไม่ได้ใช้ทางตรงขึ้นเขามาหาเรา ทำให้ตอนนี้เราเดินด้วยความเร็วเป็นสองเท่าของพวกเขาเพื่อหนีออกไปจากตรงนี้
ซอมบี้ไม่ดรอปอะไรเลย เเต่สเกลเลตันหนึ่งในยี่สิบห้าตัวจะดรอปโพชันระดับหนึ่ง
“มอนสเตอร์ที่ดรอปไอเทมทั้งหมดให้ค่าประสบการณ์มากกว่า 0.04SP” มิโยชิพูด
เธอพูดถูก ก๊อบลิน สไลม์ หมาป่าเเละโคบอลต์ไม่ดรอปไอเทมตามปกติไม่ว่าเราจะกำจัดมันมากขนาดไหน เพราะเเบบนี้ทุกอย่างจนถึงชั้นสี่ของโยโยกิจึงกลายเป็นที่ของมือใหม่หรือเอาไว้เพียงเพื่อสำหรับความสนุกเท่านั้น เพราะไม่มีไอเทมดรอป ก็ไม่สามารถทำงานเป็นนักสำรวจมืออาชีพได้
“ไม่รู้ว่ามีบาเรียอะไรกั้นระหว่าง 0.04SP กับ 0.05SP ไหม”
“ถ้าอย่างงั้นฉันจะปล่อยสเกลเลตันให้รุ่นพี่จัดการ ส่วนฉันจะกำจัดซอมบี้ก็เเล้วกัน”
“เข้าใจเเล้ว”
“อาเธอร์ส พวกนายก็จัดการเฉพาะซอมบี้นะ”
ผมได้ยินเสียงเห่าหลายเสียงจากรอบๆเงา คิดว่าพวกเฮลฮาวด์เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้นะ
“อาเธอร์สนี่หมายความว่ายังไง”
“เป็นชื่อทีมของลูกหมาพวกนี้ไง”
มิโยชิใช้ชื่ออาเธอร์สเรียกเฮลฮาว์ดที่อัญเชิญมาทั้งสี่ตัว
“เเล้วทำไมไม่เรียกว่าเพนดรากอนล่ะ”
“ก็เพราะพวกมันเป็นหมาน่ะสิ ไม่ใช่มังกร!”
เเต่คิงอาเธอร์สก็ไม่ใช่มังกรเหมือนกันระ ถ้าเป็นชื่อทีม ผมคิดว่าเพนดรากอนเท่กว่านิดหน่อยนะ เเต่ก็ช่างเถอะ
หลังจากเดินทางไปอีกสักพัก พวกคนที่ตามเรามา ที่อยู่บนถนนอีกฝั่งของเขา ก็ออกไปจากระยะของสกิลตรวจจับ
“เพิ่งรู้ว่าเล่นซ่อนหาในดันเจี้ยนนี่มันเร้าใจชะมัด”
“เอ่อ เร้าใจงั้นหรอ เรามาหลบอยู่ในดันเจี้ยนเพราะต้องการหลักเลี่ยงสถานการณ์น่าปวดหัวจากการประมูลก็จริง เเต่ถึงเราไปเจอกลุ่มอื่นๆ ฉันก็ไม่คิดว่าจะต้องสู้กันหรอกนะ ตราบเท่าที่ไม่ใช่พวกรัสเซีย”
“ก็สกิลตรวจจับบอกไม่ได้ว่าใครกำลังตามเราอยู่ใช่ไหมล่ะ อาจจะมีคำสั่งลับจากหน่วยซอสลอนให้ตามเรามาก็ได้”
เเล้วเธอมาพูดอย่างสบายๆเบบนี้น่ะหรอ
ซอสลอนเป็นหน่วยรบพิเศษที่ขึ้นตรงกับหน่วยข่าวกรองของกองทัพรัสเซีย พวกเขาน่าจะเป็นหน่วยที่ลึกลับที่สุดในบรรดาหน่วยรบพิเศษของรัสเซีย
“เธอดูหนังมากไปเเล้วมิโยชิ” ผมส่ายหัว
“เรื่องที่จะพูดมีเเค่นี้หรอ”
“อ๊ะ ได้เวลาสำหรับออร์บใหม่เเล้ว”
ชั้นสิบมีศัตรูมากพอควร ในระหว่างที่พวกเราคุยกันไร้สาระ พวกเราก็กำจัดมอนสเตอร์ไปด้วย หน้าต่างเลือกออร์บโผล่ขึ้นมา คราวนี้เป็นตัวที่หนึ่งร้อยเป็นสเกลเลตัน
สกิลออร์บ : ตรวจจับ | 1/20,000,000
สกิลออร์บ : ต้านทานเวทมนตร์ (1) | 1/700,000,000
สกิลออร์บ : อันเดธ | 1/1,200,000,000
ผมจดเนื้อหาลงสมุดเเล้วส่งให้มิโยชิ
“ต้านทานเวทมนตร์เป็นสกิลที่มีบันทึกเเล้ว”
ตัวเลขอารบิคข้างหลังชื่อสกิลจะบอกเวลาของสกิล เเต่ถ้าเป็นตัวเลขโรมันจะบอกถึงหมวดหมู่ เพราะฉะนั้น ออร์บนี้จะเป็นต้านทานเวทเเบบที่อ่อนแอที่สุด ไม่น่าเเปลกใจที่หอกน้ำมีผลน้อยลงเมื่อโจมตีสเกลเกลตัน
“สกิลตรวจจับสิ่งมีชีวิตก็ดูเหมาะกับสเกลเลตันดีนะ คิดว่าเพราะเเบบนี้รึเปล่าพวกมันเลยกรูเข้าหาสิ่งมีชีวิตอย่างกับเเมงเม่าบินหาเเสงไฟ”
“ถ้างั้นน้ำยาซึมซับก็ช่วยให้รอดพ้นสกิลตรวจจับสินะ”
“เรื่องนั้นไม่เเน่ใจ สกิลของรุ่นพี่ก็ยังตรวจเจอคนพวกนั้นอยู่นี่”
เธอพูดถูก ถ้าเป็นเเบบนั้นคงมีเหตุลอื่น ถึงสกิลตรวจจับจะตรวจเจออันเดดเเค่จางๆก็เถอะ ไมไ่ด้ไม่มีผลซะทีเดียว
“อย่างอื่นนั้น สกิลอันเดธล่ะคือสกิลอะไรกันเเน่”
“มาใจเย็นๆกันก่อนนะ ถ้าออร์บนี้ดรอปจากเอลเดอร์ลิชหรืออันเดดคิงฉันก็พอเข้าใจได้ เเต่นี่มันดรอปจากสเกลเลตันโง่ๆนะ ต้องเป็นกับดักเเน่ๆ ถึงอันเดธจะเหมือนการเป็นอมตะ เเต่ถ้าให้เดา มันอาจจะเปลี่ยนคนใช้ให้กลายเป็นมอนสเตอร์วันฮาโลวีนก็ได้”
เเน่นอนว่าอันเดธเป็นสกิลที่ยังไม่มีการบันทึก เเต่ทว่าไม่มีอะไรจะต้องกลัว เพราะว่าพวกเรามีสกิลประเมินอยู่ยังไงล่ะ!
เพราะว่าพวกเราอยากจะเก็บสะสมออร์บให้ครบ สุดท้ายก็เลยเลือกอันเดธมา
“เอาเลย มิโยชิ”
“เข้าใจเเล้ว”
ระหว่างนี้พวกอาเธอร์สก็รับหน้าที่กำจัดอันเดดที่พยายามเข้ามาโจมตีพวกเรา ผมก็คิดไว้เเล้ว เพราะเฮลฮาวด์ให้ค่าประสบการณ์มากกว่าสเกลเลตันตั้งสองเท่านี่นา
เเต่เดี๋ยวก่อน
พอพวกอาเธอร์สพุ่งใส่สเกลเลตัน สเกลเลตันก็เเตกออกเป็นเสี่ยงๆ เเละเเค่เหวี่ยงอุ้งเท้าใส่ตัวซอมบบี้ก็ขาดครึ่งเเล้ว
เอ่อ เฮลฮาวด์มันเเข็งเเกร่งขนาดนี้เลยหรอ
พอประเมินเสร็จ มิโยชิก็ส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ
สกิลออร์บ : อันเดธ
เจ้าจะได้รับร่างกายอันเป็นนิรันด์ ไร้วันดับสูญ
การเปลี่ยนเป็นอันเดธ (สเกลเลตัน)
ผู้ใดล่วงละเมิดกฎแห่งธรรมชาติ จักได้รับผลตอบแทนอันสาสม
“เอ่อ…นี่มันเลวร้ายสุดๆ”
“พูดตรงๆก็คือ ถ้าใช้ออร์บนี้จะเป็นอมตะ เเต่ผลของมันคือจะต้องกลายเป็นมอนสเตอร์อันเดดด้วย ในกรณีนี้คือสเกลเลตัน”
“ต้องเตือนคนอื่นๆเรื่องนี้นะ”
“เเต่คนก็จะถามเราว่ารู้ได้ยังไงใช่ไหม”
ถ้าเราปล่อยเรื่องนี้ไป ออร์บนี้อาจจะไม่มีใครค้นพบก็ได้เพราะดรอปเรทมันตั้งหนึ่งในพันสองร้อยล้าน เเค่อะไรก็เกิดขึ้นได้
“บอกไว้ว่าเราลองกับหมูก็เเล้วกัน เหมือนกับการเกิดก่อนกำหนดไง” ผมเสนอ
ถ้าเราทดสอบอันเดธกับหมูจริงๆ ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น เเต่ออร์บนี้มันก็ดรอปยากเหลือเกิน คงไม่มีใครสามารถมาทำการทดลองซ้ำได้ ตอนนี้เอาเเบบนี้ไปก่อนก็เเล้วกัน
“ตอนนี้ก็เก็บไว้เป็นคอลเลคชั่นในวอลท์ก็เเล้วกัน”
ผมก็เลยปิดตายออร์บอันเดธไว้ในวอลท์
***
“กัปตันมิมาซากะ เรากำลังจะไม่ไหวเเล้วนะครับ“
โนโระ ที่เป็นสมาชิกอีกหนึ่งคนของหน่วยสอดเเนม บ่นขึ้นขณะเผชิญหน้ากับฝูงอันเดดจำนวนมาก
“ใจเย็นๆ โนโระ” มิมาซากะตอบ “ยังสัมผัสพวกเขาได้ไหม”
“ไม่ครับ สัมผัสที่ได้จากมนุษย์คือมาจากพวกเราเเล้วก็คนข้างหลังเราเท่านั้น”
โนโระนั้นมีสกิลตรวจจับสิ่งมีชีวิต ถึงจะเป็นอย่างนั้น เเต่ความสามารถของสกิลนั้นก็แปรผันไปตามการฝึกฝนเเละความสามารถของผู้ใช้ โนโระนั้นได้รับการฝึกจนทำให้สามารถตรวจจับในทิศทางที่ตั้งใจเอาไว้ได้ ทำให้ระยะตรวจจับรอบทิศนั้นจะสั้นกว่าของโยชิมูระมาก อีกทั้งเพราะน้ำยาซึมซับนั้นมาสามารถเข้าถึงได้ง่าย ทำให้นักสำรวจส่วนมากไม่ค่อยเดินทางออกนอกถนน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้โนโระนั้นตั้งใจตรวจจับตามทิศทางของถนนเท่านั้น ดี-พาวเวอร์สก็เลยโชคดีไป
“คนข้างหลังงั้นเรอะ หมายถึงพวกที่ลงมาพร้อมๆกับเราใช่ไหม”
“น่าจะเป็นคนของสหราชอาณาจักร ทีมของอเมริกามุ่งไปที่ชั้นสิบเอ็ดเเล้ว” โนโระตอบ
น้ำยาซึมซับนั้นจะได้ผลอยู่ประมาณสี่ชั่วโมง เเต่ก็มีการผันผวนบ้าง ถ้ามองไปถึงขากลับด้วยพวกเขาจะไล่ตามไปได้อีกอย่างมากก็สองชั่วโมง ที่จริงก็สามารถใช้น้ำยาติดต่อกันไปเลยก็ได้ เเต่ประสิทธิภาพจะลดลง
“คิดว่าทีมจากจีนได้ไล่ยิงดีพาวเวอร์สรึเปล่าครับ” โนโระถาม
หน่วยของมิมาซากะนั้นตรวจสอบร่องรอยการต่อสู้ที่หลงเหลืออยู่ของทีจีนที่ไล่ตามดี-พาวเวอร์สเมื่อคืน เเถมๆนั้น ปลอกกระสุนDBP897กระจายอยู่โดยรอบ ถึงสิ่งที่มาจากนอกดันเจี้ยนจะหายไปในท้ายที่สุด เเต่ร่องรอยของมันก็ไม่สามารถหายไปได้ในชั่วข่ามคืน
“ยังไงก็เถอะ เราเเน่ใจว่าทางนี้ต้องเคยมีการต่อสู้เกิดขึ้นเเน่ๆ” มิมาซากะพูด
ผ่านไปได้ครึ่งวันเเล้วหลังจากที่ทีมสอดเเนมต่างๆได้คลาดสายตาไปจากเป้าหมายที่พวกเขาต้องจับตามอง อย่างน้อยๆมิมาซากะก็ไม่ได้รับรายงานว่าดี-พาวเวอร์สนั้นได้ไปที่ชั้นอื่นจากSDFหรือสำนักงานความมั่นคง ทั้งสององค์กรนั้นได้มีการจัดคนเฝ้าระวังทางเข้าเเละทางออกไว้เเล้ว
ตอนนี้หน่วยของพวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหาในชั้นสิบต่อไป
***
หลังจากที่ได้รับออร์บอันเดธเเล้ว สกิลตรวจจับก็ไม่เจอนักสำรวจคนอื่นอีก เราเลยใช้โอกาศนี้เดินทางต่อพร้อมกับกำจัดพวกอันเดดไปด้วย
เมื่อวาน เราต้องระวังอยู่สองอย่าง อย่างเเรกคือการโจมตีเเบบไม่คาดคิดจากพวกซอมบี้ที่คลานเข้ามา อย่างที่สองคือพวกที่หลบอยู่หลังป้ายสุสานที่จะมองเห็นได้ยาก เเต่ทว่าตอนนี้พวกสุนัขเฝ้ายามของมิโยชิได้จัดการพวกนี้ให้ ทำให้พวกเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่นานผมก็ได้รับออร์บครบทุกเเบบจากสเกลเลตัน เเละก็ได้โพชันเป็นระยะๆด้วย
ตอนนี้ยังเร็วเกินไป ผมเลยลังเลที่จะจัดการสเกลเลตันตัวที่ 373 เเต่ถ้าเทียบกันเเล้ว เราจัดการซอมบี้ไปน้อยกว่ามาก เเถมสเกลเลตันก็มีจำนวนน้อยกว่าด้วย เคยคิดว่าไม่น่าจะถึงจำนวนนั้นง่ายๆ
“ดูจากตอนนี้ การฆ่ามอนสเตอร์ชนิดเดียวกัน 373 ก็ไม่ยากเลยใช่ไหม”
“ใช่ ไม่ยากเลย เเค่ต้องหาวิธีที่รวมมอนสเตอร์ชนิดเดียวกันมารวมอยู่ที่ๆเดียวกัน พอเที่ยงคืนปุปก็เริ่มจัดการมันโดยมีเวลา 24 ชั่วโมง”
ถ้าเกิดพวกมอนสเตอร์พืชกินคนมีอยู่จริง มันอาจจะดรอปไปเทมหรือสกิลที่เอาไปล่อมอนสเตอร์ก็ได้
“ตอนนี้ถ้าเราอยากจะทดสอบก็ต้องเป็นสไลม์ที่ชั้นหนึ่งนี่เเหละง่ายที่สุด”
“ใช่ ถ้าทดลองที่ชั้นหนึ่งน่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
เมื่อวันก่อน มิตสึรุกิทำสถิติจัดการสไลม์ไปได้สามร้อยตัวในหกชั่วโมง ถ้าเราจะจัดการไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องเข้าๆออกๆก็น่าจะเป็นไปได้
เพราะว่าซอมบี้นั้นมีมากกว่าสเกลเลตัน ผมเลยใช้พวกมันในการปรับจำนวนการฆ่า ในขณะเดียวกันมิโยชิก้ใช้บอลเหล็กโจมตีต่อไปเรื่อยๆ พลังทำลายของมันในชั้นสิบนั้นได้ผลดียิ่งกว่าผมเสียอีก เเถมการเอาของออกจากสโตเรจเหมือนจะไม่เสียMPด้วย
“ถ้าใช้วิธีนี้ไปเรื่อยๆ MPอาจจะหมดก็ได้นะ เเต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนว่าจำนวนที่ฟื้นฟูมันมากกว่าจำนวนที่ใช้ไปน่ะ”
เพราะฉะนั้นเธอเลยใช้ท่านี้ได้โดยไม่ต้องกัวลว่าMPจะหมด เเต่ก่อนจุดอ่อนของเธอก็คือศัตรูที่เข้ามาในระยะใกล้ เเต่ตอนนี้มีสัตว์อัญเชิญสี่ตัวมาช่วยเเก้ปัญหาเเล้ว ตราบเท่าที่บอลเหล็กของเธอยังไม่หมด หรือไม่ก็มอนสเตอร์พิเศษไม่โผล่ออกมา เธอจะจะสามารถจัดการชั้นสิบคนเดียวได้เลย
“ปัญหาจริงๆคือราคาต่างหาก”
“หมายความว่าไง”
“รุ่นพี่ ถึงเราจะใช้บอลเหล็กกันสนุกมือ เเต่เเบบ6เซ็นติเมตรราคา 6000 เยน ส่วนเเบบ 8 เซ็นติเมตราคา 12000เยนเลยนะ”
“จะ-จริงดิ เเพงกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลย”
น่าตกใจจริงๆ เเบบนี้ต้องเก็บบอลเหล็กกลับมาเท่าที่ทำได้เเล้วล่ะ ไม่งั้นขาดทุนเเน่
“อันเล็กมันถูก เเต่อันใหญ่น่ะเเพง ฉันเคยคิดอยากจะให้ใครสักคนตัดมันเป็นรูปสี่เหลี่ยมอยู่หรอก เเต่โชคไม่ดีที่ไม่มีใครทำนี่สิ”
ก็คนเขาจะใช้เหล็กสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ไปทำอะไรล่ะ เเถมถ้าเอาไปยิง มันไม่น่าจะพุ่งไปตรงๆอยู่ดี
“เเถมฉันก็ลองใช้บอลเหล็กขนาด 2.5 เซ็นติเมตรเเบบความเเม่นยำต่ำเเล้ว ราคาเเค่ 200 เยนเท่านั้นเอง เเต่มันเเทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเก็บกลับคืนมา ถ้ายิงซอมบี้ด้วยเจ้านี่สักสามลูก จะรู้สึกเหมือนยิงด้วยกระสุนลูกปรายเลยล่ะ”
วิธีนี้ใช้กับสโตเรจก็ได้อยู่ เเต่ถ้าจะปาด้วยมือคงยาก
“ถ้าใช้นิ้วดีดน่าจะได้อยู่นะ” ผมพูด
ประมาณว่า เป็นปืนนิ้วมือไง ปิ๊วๆ
ผมลองใช้ดูในทันที เเต่นอกจากเรื่องเเรงเเล้ว มันยังพุ่งไปไม่ตรงกับที่ผมตั้งใจ อาจจะต้องใช้เวลาฝึกหน่อย
***
ชายสี่คนสวมชุดออกรบมัลติเเคมกำลังเดินไปหาบันไดลงไปยังชั้นสิบเอ็ด ระหว่างนี้พวกเขาก็คอยสอดส่องอันเดดที่อยู่รอบๆด้วยความขยะเเขยง
“บ้าเอ๊ย พอย้ายออกมาจากป้อมเเบรกก็ต้องมาอยู่ในสุสานน่ารังเกียจนี่ที่เต็มไปด้วยซอมบี้น่าเกลียดน่ากลัว ห่วยเเตกชะมัด”
“ป้อมเเบรกงั้นหรอ พวกนายเป็นหน่วยเดลต้าฟอร์ซเรอะ”
เเน่นอนว่า รี๊ด เเชปเเมนนั้นย้ายมาจาก หน่วยปฏิบัติการรบพิเศษที่หนึ่ง หรือ หน่วยเดลต้า เเต่ว่าพอถูกถามโดยคนที่พึ่งรู้จักกันนั้นได้ปลุกสัญชาตญาณนักฆ่าในตัวเขาขึ้นมา
“…นายถามทำไม” เเชปเเมนตอบกลับ “ที่ป้อมเเบรกมีหน่วยอื่นอีกเยอะ รู้ใช่ไหม”
“ไม่ต้องทำหน้าน่ากลัวก็ได้ เเค่ได้ยินมาว่า หน่วยรบของ USDD คือ SMU”
ในจำนวนหน่วยรบพิเศษนั้น หน่วยที่ภารกิจเเละความมีอยู่ถูกเก็บเป็นความลับนั้นจะถูกเรียกว่า หน่วยภารกิจพิเศษ (SMU) ในทางกลับกันคนที่เคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยกับสาธารณะชนจะถูกเรียกว่าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ(SOF) หน่วยที่มีชื่อเสียงก็อย่างเช่น กรีนบาเรต
ทหารอีกคนนึงพูดขึ้น “ถ้าเราไม่ออกห่างจากถนน เราน่าจะยังปลอดภัยอีกสามชั่วโมง”
“นายชื่อดันเเคนใช่ไหม” เเชปเเมนถาม “มาจากไหนล่ะ”
“ทหารรับจ้าง หมอนี่ที่มากับฉันก็เป็นทหารรับจ้างเหมือนกัน”
เพิ่งมาถามเอาตอนนี้เนี่ยนะ ดันเเคน เลน คิดพร้อมกับชี้นิ้วโป้งไปที่ชายร่างเล็กที่ไม่ค่อยพูดอีกคน
มีผู้ใช้สกิลพิเศษถูกส่งมาจากหน่วยทหารรับจ้าง (PMC) เพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะ ชายร่างเล็กที่ชื่อ เเรท นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เเชปเเมนรู้สึกเหมือนว่าเขาล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งทำให้เขารำคาญ มีทหารรับจ้างจากPMCสองคนที่เพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อนเข้าร่วมทีมด้วย เต่ทว่างานก็คืองาน
“เเล้วคิดว่าไงล่ะ คุณเรดาห์มนุษย์” เเชปเเมนถาม “เจอเป้าหมายไหม”
เเรทดูเหมือนจะไม่สนคำล้อเลียนจากเเชปเเมน เขาเเค่ส่ายหัวตอบ
จากการเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นเเละอังกฤษ พวกเขาก็น่าจะคลาดสายตาจากเป้าหมายเช่นกัน เเต่เหมือนเป้าหมายนั้นมุ่งหน้าไปในทางทีมจีนถูกทำลายไปก่อนหน้านี้ เเต่ทว่าเเชปเเมนก็ไม่อยากจะเข้าใกล้ที่ๆมีอะไรก็ไม่รู้ซ่อนตัวอยู่ ถ้าไม่เจอเป้าหมายเเล้วก็ควรจะหลีกเลี่ยงอันตรายจะดีกว่า
ในขณะที่ทีมอเมริกากำลังเดินหน้าไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆเเรทก็เงยหน้าขึ้นมา ราวกับนักล่าที่เจอร่องรอยของเหยื่อ
***
พวกเรายังคนเดินทางต่อไปในเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคน ค่อยๆกำจัดอันเดดทีละตัวในสุสาน
“งั้น เรื่องออร์บลูกต่อไปน่ะ…” มิโยชิพูดขึ้น
“ลูกต่อไปงั้นหรอ ถ้าพูดถึงในเเง่ของนิยายเเล้ว ก็จะต้องเป- เอ๊ย เหวออ”
มีลูกธนูพุ่งเข้ามาที่หัวผมอย่างไม่ทันตั้งตัว เเต่ทว่าก่อนที่มันจะมาโดนผม ก็มีจุดสีดำปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา ขนาดของมันประมาณเเค่ไม่กี่เซ็นติเมตร ลูกธนูพุ่งเข้าใส่จุดนั่นเเทนเเละหายไป
“อะไรเนี่ย-”
ระหว่างที่ผมตกใจอยู่ มิโยชิก็จัดการกับสเกลเลตันอาเชอร์
“จริงด้วย มีมอนสเตอร์พวกนี้ด้วยสินะ”
“ลูกธนูเฉี่ยวหัวฉันไปตอนอยู่บนดอลลี่ ตอนนั้นกลัวเเทบเเย่”
“เค้าบอกกันว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนจะเกิดขึ้นตอนที่คุณคุ้นเคยกับการขับรถเเล้ว”
“เคยได้ยินมาเหมือนกัน เเต่ว่าจุดสีดำเมื่อกี้มัน…” ผมหันไปหาคาวัล ที่ดูเหมือนกำลังยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ
“ฝีมือนายงั้นหรอ”
“โฮ่ง”
“เห็นฝีมือฉันรึยังล่ะ” เหมือนมันกำลังจะบอกเเบบนี้ ถึงผมกำลังกลั้นหัวเราะอยู่ เเต่ก็เป็นเรื่องจริงที่มันเพิ่งช่วยผมไว้
“ขอบคุณนะ นานๆทีให้กินอาหารมนุษย์บ้างก็ดีเหมือนกัน”
“โฮ่ง โฮ่ง”
“เขาบอกว่า เฮ้ เเค่นั้นยังไม่พอหรอกนะ” มิโยชิเเปล
“อย่าได้ใจไปหน่อยเลยน่า”
คาวัลร้องหงิงเสียงต่ำ
เเต่ว้าว ผมไม่รู้เลยว่าเฮลฮาวด์จะทำแบบนี้ได้ พวกมันจะทำเเบบนี้กับกระสุนปืนได้ด้วยมั้ยนะ
“เมื่อกี้คุยกันถึงไหนนะ”
“ออร์บลูกต่อไปไง
“อ้อ ใช่ หลังจากประเมินกับไอเทมบอกซ์ ต่อไปก็ต้องเป็นเวทฮีลใช่ไหมล่ะ เเต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีมอนสเตอร์อะไรมีออร์บเเบบนั่นรึเปล่า”
“ฉันมั่นใจว่ามีนะ”
“หือ เป็นสกิลที่มีการบันทึกไว้เเล้วเหรอ”
“เปล่า ยังไม่มีหรอก เเต่ว่า…เคยได้ยินเรื่องสตรีศักดิ์สิทธิ์ไหม”
อยู่ๆมิโยชิก็เปลี่ยนเรื่องทำให้ผมตั้งหลักไม่ทัน เเต่ก็จริงที่ว่าเวทฮีลส่วนมากในนิยายจะเป็นของสตรีศักดิ์สิทธิ์
เธอไมไ่ด้พูดถึงคุโนอิจิที่ชื่ออุเมมุระ ซาวาโนะใช่ไหม ในบันทึกโบราณที่สืบทอดต่อกันมาของมัตสึชิโนะได้พูดถึงเธอว่าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ เเต่ว่า… ไม่ล่ะ ไม่น่าจะเกี่ยวกัน
“อย่างโจนออฟอาร์ครึเปล่า” ผมถาม
“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก… เเต่บางทีอาจจะเหมือนนิดหน่อยก็ได้มั้ง”
มิโยชิเอียงคอเล็กน้อยเเละพูดถึงอะไรบางอย่างที่เธอเพิ่งไปหาข้อมูลมา
“สมาคมลับงั้นหรอ”
“อะไรทำนองนั้นเเหละ เป็นสมาคมที่รู้กันผ่านข่าวลือ เเต่บางทีก็ได้เห็นบนสังคมออนไลน์”
มีคนมาโพสบอกเป็นช่วงๆว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์” ได้ช่วยเหลือพวกเขาราวกับปาฏิหารย์ เเต่เรื่องเล่าพวกนี้ส่วนมากเเล้วก็ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งนั้น
“เขาใช้โพชั่นมาหลอกคนรึเปล่า”
“ถ้าเป็นเเบบนั้นต้นทุนจะเเพงเกินไป เเถมมีเรื่องที่เล่าว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์สามารถฮีลผู้คนได้เเค่การยกมือด้วย”
จริงดิ ถ้าที่มิโยชิพูดเป็นจริง มันจะน่าทึ่งเอามากๆ เเต่ถ้าดูจากหลักเหตุผลเเล้วมันฟังดูน่าสงสัยสุดๆ
“โพสพวกนั้นน่าจะไม่มีใครสนใจใช่ไหม”
“ก็ใช่ เเต่มีคนดังบางคนหลุดปากเรื่องชื่อโบสถ์ออกมา”
“เหมือนกับเป็นการโฆษณาที่เตี๊ยมกันไว้ก่อนเลยนะ โพสเเบบนั้นน่าจะถูกลบทันทีรึเปล่า”
“ก็อาจจะใช่ เเต่ว่า…รุ่นพี่นี่มองโลกในเเง่ร้ายชะมัดเลย”
“เอาเถอะน่าา”
ระหว่างที่ยิงหอกน้ำใส่สเกลเลตอนที่อยู่ไกลออกไป ผมก็พยายามใช้คาราเต้ช๊อปใส่หัวมิโยชิจากทางด้านหลัง เเต่เธอก็กระโดดหลบออกด้านข้างพร้อมกับหัวเราะไปด้วย
“เเค่นั้นทำอะไรฉันไม่ได้หรอกนะ!”
เชอะ เก่งนี่
“เเล้วก็ มีคนไปสืบสวนเรื่องนี้ ฐานของพวกเขาอยู่ที่ฝรั่งเศสเเหละ” มิโยชิพูดต่อ
ก็ต้องไปคนไปสืบล่ะนะ ในยุคดิจิตัลนี่ใครๆก็เป็นนักสืบได้
“ดูเหมือนว่าองค์กรนั่นได้ยื่นรายงานกับสถาบันกฏหมายของฝรั่งเศด้วย”
ในฝรั่งเศษ องค์กรทางศาสนาถือว่าเป็นองค์กรที่ไม่เเสวงหาผลกำไร เพราะฉะนั้นก็สามารถสร้างขึ้นจากฏหมายขององค์กรไม่เเสวงหาผลกำไรได้ ปกติเเล้วองค์กรเเบบนี้จะไม่ต้องใช้รายงานหรือการอนุญาติอะไร เเต่ทว่าถ้าองค์กรทางศาสนาอยากจะเป็นนิติบุคคล องค์กรนั้นจะต้องส่งรายงานไปยังสถาบันกฏหมายที่เรียกว่า คองเซล เดอ แอร์ต ยิ่งเป็นองค์กรคาทอลิคเเล้วด้วย ยิ่งต้องได้รับการอนุมัติ เพราะองค์กรคาทอลิคเคยมีประวัติการต่อต้านรัฐบาลมาก่อน เลยมีกฏหมายออกมาเพื่อควบคุมในเรื่องนี้
“ยิ่งดูยิ่งเหมือนจะเป็นการโฆษณาทางอ้อมนะ เเล้วสตรีศักดิ์สิทธิ์นี่ก็ฮีลชาวบ้านไปเรื่อยหรอ”
“เห็นว่าเป็นงั้นนะ”
“เรื่องทำนองนี้ก็เจอได้ทั่วไปจากพวกองค์กรทางศาสนานี่ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม”
คนอาจจะคิดว่าเรื่องน่าเหลือเชื่อพวกนี้เป็นการโฆษณาเเบบปากต่อปาก เเต่สุดท้ายคนที่มีการศึกษาหน่อยก็จะเริ่มสงสัยอยู่ดี
เเต่เเน่นอนว่าตอนนี้มีดันเจี้ยนอยู่ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นเเหละ ผมเองยังเคยได้เห็นการฟิ้นฟูสุดยอดกับโพชันมาเเล้วเลย
“ฉันเข้าใจที่เธอจะสื่อเรื่องสตรีศักดิ์สิทธิ์เเล้ว เเต่มันเกี่ยวยังไงกับเวทฮีลล่ะ”
ถึงจะไม่นับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองลูร์ด เเต่เรื่องปาฏิหารย์พวกนี้ก็เกิดขึ้นทั่วโลกอยู่เเล้ว
“โบสถ์นี่มีชื่อว่า อัทลัม โฟรามินิส”
“โฟรามินิส แปลว่าหลุมใช่ไหม”
ภาษาอังกฤษก็มีคำนี้หมือนกัน
มิโยชิพยักหน้า “พวกเขายังถูกเรียกว่าโบสถ์แห่งห้วงลึกอีกด้วย ถ้าเป็นโบสถ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับดันเจี้ยนเลย ก็คงมีชื่อแปลกน่าดู”
80% ของฝรั่งเศษจะนับถือคาทอลิค เเถมฝรั่งเศษยังมีสนธิสัญญาคอนคอร์เเดตจนถึงเมื่อร้อยปีที่ผ่านมานี่เอง ถ้ามีลัทธิที่อยากใช้นามแฝงที่เกี่ยวข้องกับดันเจี้ยน ชื่อ ไปยังขุมนรก ก็น่าจะฟังดูเข้ากันดี ในพระวรสารนักบุญลูกา ปีศาจที่เข้าสิงลีเจี้ยนอยู่ได้ขอร้องพระเยซูไม่ให้ส่งมันไปที่นั่น ทำไมกลุ่มนี้ถึงใช้คำว่าหลุม เเทนที่จะเป็น ฮาเดส อาบีส หรือทาร์ทารัสกันนะ
“ดูจากเวลาเเล้ว มันทำให้นึกถึงกันเจี้ยนอยู่นะ”
”ใช่ไหมล่ะ”
”เเต่ฉันก็เพิ่งเคยได้ยินนี่เเหละ ทำไมไม่ทำตัวให้ให้โด่งดังกว่านี้กัน”
”ถ้ารุ่นพี่มีเวทฮีลจริงๆ รุ่นพี่อยากจะเป็นที่รู้จักงั้นหรอ”
”….ไม่เเน่นอน”
”ถ้าพวกเขาอยากจะปิดบังตัวตนของตัวเอง วิธีนี้ก็ฉลาดดี โดยการใช้องค์กรทางศาสนาเป็นฉากหน้า เเล้วก็ใช้เวทฮีลเป็นเครื่องมือให้บุคคลสำคัญมาหลงเชื่อเเละปกป้อง”
พอมาคิดดู ก็เหมือนกับผมเลยนี่นา ยกเว้นเเต่ว่ามิโยชิเองเป็นคนที่ปกป้องผม ไม่ใช่กลุ่มของบุคคลสำคัญ ฟังดูน่าสมเพศนิดหน่อยเเฮะ
”พวกเขาได้รับเงินบริจาคเยอะเเยะเลยด้วย!” มิโยชิร้อง
เงินบริจาคให้องค์กรศาสนาคริสต์ในฝรั่งเศสนั้นไม่ต้องจ่ายภาษี หากคุณบริจาคในนามบริษัท สูงสุดถึง 0.3 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายสามารถถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถหักลดหย่อนได้ โดยยอดที่เหลือสามารถนำไปหักลดหย่อนต่อเนื่องได้เป็นระยะเวลาห้าปี เเถมถ้าคนๆนั้นถูกฮีลเเละบริจาคเงินกลับไปเเทนที่จะ ‘จ่ายค่ารักษา’ ทั้งสองฝ่ายก็จะไม่ต้องเสียภาษีเเละได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า
“นั่นเเหละ เลยเป็นสาเหตุที่ฉันเชื่อว่าเวทฮีลมีอยู่จริง”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่มีเวทฮีลงั้นหรอ คิดว่าเธอจะได้สกิลมาจากดันเจี้ยนในฝรั่งเศสไหม”
“ไม่รู้สิ อย่างเเรก เวทฮีลยังไม่ถูกบันทึกไว้ในระบบ บางทีอาจจะได้รับสกิลมาโดยวิธีพิเศษอื่นๆ”
วิธีพิเศษอื่นๆหรอ อย่างเช่นทำเหล็กรีบาร์หล่นลงไปที่ใจกลางโลกอะไรเเบบนี้?
“จะว่าไป จำเรื่องที่เราคุยกันถึงมอนสเตอร์เผ่านึงตอนพึ่งรู้เรื่องออร์บเข้าใจภาษาต่างโลกได้ไหม”
“หืม จำได้สิ”
ผมคิดว่าชาเเมนของเผ่านั่นจะดรอปออร์บเกี่ยวกับภาษา
“ถ้ามันมีมอนสเตอร์ที่เป็นชาเเมน คิดว่าจะมีมอนสเตอร์ที่เป็นนักบวชด้วยไหม”
“ศาสนาของพวกมอนสเตอร์น่าจะเป็นเเบบดั้งเดิมโบราณๆใช่ไหมล่ะ อย่างเช่นการบูชาธรรมชาติ เเบบนั้นการจะมีมอนสเตอร์ที่ทำตัวเป็นชาเเมนคอยติดต่อกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติหรอถ่ายทอดคำพยากรณ์ก็เป็นไปได้ เเต่ว่านักบวชนั้นเป็นส่วนหนึ่งของระบบ เป็นข้ารับใช้พระเจ้า มันฟังดูสำหรับเกินไปหน่อยสำหรับวัฒนธรรมของพวกมอนสเตอร์”
“ถ้างั้นเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาล่ะ อย่างเช่นมอนสเตอร์ศักดิ์สิทธิ์”
“เเบบนั้นก็น่าจะเป็นไปได้นะ ถ้ายูนิคอร์นมีจริง มันก็น่าจะมีเวทฮีล ฉันนึกภาพไว้ว่าอย่างนั้นนะ”
ผมมั่นใจว่าโลกของดันเจี้ยนนั้นเกิดมาจากความเข้าใจเเละรับรู้ของมนุษย์ ถ้าคิดว่ามอนสเตอร์ตัวนั้นจะมีสกิลอะไรสักอย่าง มันก็จะมีจริงๆ
“มอนสเตอร์ศักดิ์สิทธิ์….ไว้ออกจากดันเจี้ยนเมื่อไร ไปค้นหาในฐานข้อมูลของ WDA กันเถอะ”
“ก็ดีน- เดี๋ยวก่อน อะไรน่ะ”
มีจุดสี่จุดปรากฏขึ้นบนหน้าจอของสกิลตรวจจับ เเถมพวกมันกำลังมุ่งหน้าตรงมาที่เราด้วย
“มีอะไรหรอ”
“มีคนสี่คนออกจากถนนเเละตรงมาที่ๆเราอยู่”
“หา ถ้าออกจากถนนจะไม่ถูกโจมตีหรอ”
ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงปืนเเว่วเข้าหู
“โดนโจมตีอยู่เเล้ว”
“ไม่บังเอิญใช่ไหม”
“ไม่ พวกเขามุ่งตรงมาที่เราเลย เเถมสองคนในนั้นก็เเข็งเเกร่งซะด้วย”
ไม่ได้เก่งระดับไซมอน เเต่สเตตัสของพวกเขาสูงกว่าพวกกลุ่มสอดเเนมที่พวกเราเจอมาจนถึงตอนนี้
“บันไดลงไปชั้น 11 อยู่ข้างหน้านี่เอง” มิโยชิพูด “เรารีบลงไปล่าเลสเซอร์ซาลามันดอร่ากันเถอะ”
“ก็ดี ไปกันเหอะ”
ระหว่างที่ผมปรับจำนวนการฆ่าไปด้วย พวกเราก็มุ่งหน้าลงไปยังชั้น 11 หนีจากจุดเเสงที่กำลังตามเรามา