ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 34 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (10)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 34 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (10)
โยโยกิดันเจี้ยน, ชั้น 10, ภายในดอลลี่
พวกเรารีบเอาฐานเคลื่อนที่ออกมาจากสโตเรจเเละตั้งมันไว้ที่ยอดเขาเหมือนครั้งที่เเล้วเเละวิ่งไปเข้าไปในรถโดยไม่สนใจอันเดดบางตัวที่กำลังไต่เขาขึ้นมา
“เฮ้อ เหนื่อยชะมัดยาด” ผมถอนหายใจ
“การสำรวจดันเจี้ยนนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆจริงๆ รู้สึกเหมือนเกือบตายเลย จริงๆนะ” มิโยชิตอบ
ผมถอดเกราะออกเเละนั่งลงที่โซฟา “เธอคิดว่าคฤหาสน์มันหายไปเพราะเราเจอจารึกรึเปล่า”
“บางทีนะ ฉันยังไม่ได้ตรวจสอบเวลาที่บันทึกไว้เลยยังตอบเเน่นอนไม่ได้ เเต่ระฆังนั่นดังตอน 23:59 ที่นั่นอาจจะหายไปตอนเที่ยงคืนตรงก็ได้”
“หรือก็คือคฤหาสน์จะอยู่ถึงเเค่วันที่มันปรากฏออกมางั้นหรอ ดีที่ใช้เวลาท้องถิ่นด้วย”
“น่าจะเป็นไปได้”
ผมรู้สึกเหนื่อยจึงไปหยิบเบียร์มาสองกระป๋องจากตู้เย็นเเละวางกระป๋องนึงไว้หน้ามิโยชิ ส่วนอีกประป๋องก็ของผมเอง “เวลาเเบบนี้ก็ต้องผ่อนคลายหน่อย ถูกไหม”
“ฉันคิดว่ารุ่นพี่ชิลเกินไปนะ เเต่ฉันเห็นด้วย”
พวกเราเปิดกระป๋องเบียร์ทำให้เกิดเสียงฟู่ หลังจากพูดคัมปายเเล้วพวกเราก็ดื่มเบียร์ คอของผมแห้งผากจากความตึงเครียดเมื่อกี้นี้ ทำเอานึกถึงตอนงานกีฬาสีสมัยมัธยมที่จัดขึ้นตอนหน้าร้อนที่อากาศนั้นร้อนระอุ ในตอนนั้น น้ำในกาน้ำที่ใส่น้ำเเข็งได้ช่วยผมไว้เหมือนกับเบียร์ในวันนี้
โลกกลับมาสดใสขึ้นอีกครั้ง
“ฮ่าา สดชื่นจริงๆ ถึงจะเกือบตาย เเต่ก็ได้สิ่งที่ต้องการมาเเล้วล่ะนะ”
ผมวางออร์บประเมินไว้หน้ามิโยชิ เธอยื่นมือมาที่ออร์บอย่างกล้าๆกลัวๆ อยู่ๆก็ตะโกนขึ้น “ฉันจะเลิกเป็นมนุษย์เเล้ว!”
ผมสำลักเบียร์ ออร์บนั้นกระจายกลายเป็นเเสงเเละเข้าห่อหุ้มมิโยชิเริ่มที่มือเหมือนทุกครั้ง
“รุ่นพี่เป็นคนบอกให้ฉันพูดเเบบนั้นเองไม่ใช่หรอ”
เธอเช็ดละอองเบียร์ที่กระเด็นไปที่หน้าเธอ เม้มปากเเละจ้องเขม็งมาที่ผม
“โทษทีๆ มันกระทันหันน่ะ”
“คนบ้า”
ผมหยิบออร์บออกมาอีกลูก “เอาล่ะ อันต่อไป”
มันคือออร์บเวทมนตร์แห่งความมืด VI
“เเต่ถ้าเราเข้าใจผิดว่าออร์บนี้จะซัมมอนเฮลฮาวด์ มันก็จะกลายเป็นสร้างหมอกเเทนน่ะสิ” มิโยชิถาม
“ใช่ เธอเลยต้องใช้ประเมินก่อนไง”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง เเต่ทำยังไงล่ะ”
“ไม่รู้เเหะ ถ้ารู้เเล้วก็บอกละกัน”
“อืมมม”
มิโยชิจ้องอยู่ที่ออร์บ พึมพัมหลายๆอย่างกับตัวเอง
“อ้อ เเล้วนี่เป็นดรอปไอเทมที่เก็บมาได้จากคฤหาสน์”
ฮีลลิ่งโพชั่น (1)
ฮีลลิ่งโพชั่น (2)
ขน : มูนิน
หินเวทย์ : มูนิน
หินเวทย์ : การ์กอย x2
ออบซิเดียน : การ์กอย x3
หินคริสตัล : ลูกตา
นกยักษ์นั่นคือมูนินอย่างนั้นหรอ นกที่ชื่อ ‘ความทรงจำ’ อาศัยอยู่นอกคฤหาสน์พิศวง ก็เข้ากันดีนะ เเต่ถึงมูนินจะเป็นสัตว์ประหลาดที่มาจากตำนานเทพนอร์ส เเต่มันก็ยังร้องว่า ‘ไม่มีอีกเเล้ว’ ใส่พวกเรา นกนั่นสมควรได้รับรางวัลการเเสดงยอดเยี่ยมเเล้วล่ะ
มิโยชิหยิบดาบโค้งขึ้นมา ทำให้ดูเหมือนเป็นคนเปอร์เซีย
“ดูดาบที่น่าสงสารนี่สิ มันโค้งหมดเลย”
“มันเป็นปกติของดาบนั่นนะ เเล้วก็อย่าเรียกว่าดาบที่น่าสงสารสิ มันชื่อว่า ดาบโค้งเเห่งทะเลทราย”
“อ๊ะ”
ผมทำใจถามมิโยชิหลังจากที่เธอตะโกนออกมา “มีอะไร”
“รุ่นพี่ ฉันรู้วิธีใช้ประเมินเเล้ว”
ผมผ่อนคลายหลังจากที่ได้ยินดังนั้นเเละเอนตัวไปที่โซฟา “ดีนี่ เเล้วต้องทำยังไงล่ะ”
“ฉันเเค่มองไปที่ดาบโค้งนี่เเล้วก็คิดว่า ‘มันคืออะไร’ เเล้วสกิลก็ทำงานเลยล่ะ”
“หา เเค่นั้นหรอ”
“เเค่นั้นเเหละ เมื่อนาทีก่อน ฉันลองพูดคำภาษาอังกฤษตั้งหลายคำ พวกตรวจจับ! สังเกต! ค้นพบ! รู้สึกเหมือนคนบ้าเลย”
เข้าใจเลยล่ะว่าทำไมเธอทำอย่างนั้น
“ว่าเเต่ว่า คำว่าทะเลทรายนี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นสถานที่นะ”
“จริงหรอ”
ชื่อไอเทมก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษนี่ ผมเข้าใจอะไรผิดไปงั้นหรอ
“คำว่า ทะเลทราย (deserts) สามารถเเปลได้ว่า สิ่งที่สมควรได้รับ อย่างเช่นรางวัลหรือบทลงโทษเหมือนกัน ประมาณว่าเป็นดาบเเห่งการตอบเเทนน่ะ”
“ว้าว พึ่งรู้เลยนะเนี่ย”
มิโยชิเเลบลิ้น “มันเขียนอยู่ในคำประเมินน่ะ”
เธอเริ่มเขียนลงไปในสมุดบนโต๊ะ
ดาบโค้งเเห่งการตอบเเทน (Scimitar of Deserts)
เเดเมจ +40%
ความเร็วในการโจมตี +5%
มีโอกาส 5% ที่จะทำให้ตาบอกเมื่อโจมตีโดน
สะท้อนแดเมจทางกายภาพ 20%
ผู้ใดก่อให้เกิดหายนะ ย่อมพ่ายแพ้ต่อหายนะดั่งที่ตนก่อไว้ การลงทัณฑ์จะโปรยปรายลงมาเหนือหัวผู้ที่นำพาความพินาศมาสู่เจ้า
“โหววว เท่ชะมัด เเล้วเฟลเวอร์เท็กซ์นี่มันอะไรกันเนี่ย”
“ดีมากเลยใช่ไหมล่ะ ตอนใช้ประเมินกับดาบ มันเขียนมาเเบบนี้น่ะ”
“อืม เเต่ว่าใครกันนะที่เป็นคนเขียน เอาเหอะ ที่สำคัญคือตอนนี้เธอมองเห็นสเตตัสไหม”
“เรื่องนั้น ก็มีอะไรบางอย่างเเสดงขึ้นมานะ เเต่ว่า…”
มิโยชิเขียนตัวเลขออกมาชุดนึง
โยชิมูระ เคโกะ
11.3
4.6
4
1
15
1
9
0
“สเตตัสของรุ่นพี่ออกมาเป็นเเบบนี้อ่ะ“”
“มันอะไรเนี่ย”
“พอฉันดูที่ตัวเอง มันเป็น 0 หมดเลย”
“อะไรนะ”
ตอนนี้สเตตัสที่ผมใช้ลงดันเจี้ยนจะเป็น
HP : 250
MP : 190
STR : 100
VIt : 100
INT : 100
AGI : 100
DEX : 100
LUC : 100
หลังจากนั้นผมก็ลองลดสเตตัสทั้งหมดเหลือ 30 ที่เป็นสเตตัสที่ผมใช้ในชีวิตประจำวันดู เเล้วให้มิโยชิประเมินใหม่อีกครั้ง
โยชิมูระ เคโกะ
9.9
26.1
6
3
13
8
4
0
ไม่รู้เรื่องเลยเเหะว่าคืออะไร
“รุ่นพี่คิดว่ายังไง”
“ไม่รู้เลย ถึงเวลาการทดลองเเล้วล่ะ”
พวกสายวิทย์อย่างพวกเราชอบการทดลอง ถึงตอนนี้จะเลยเวลาเที่ยงคืนมาเเล้ว เเละพวกเราก็ควรจะเหนื่อยกันเเล้วด้วย เเต่พอเห็นตัวเลขเเปลกประหลาดพวกนี้ พวกเราก็เข้าสู่โหมดเด็กเนิร์ดทันที ถ้าไม่ได้สกิลฟื้นฟูสุดยอด ป่านนี้คงหลับปุ๋ยกันไปเเล้ว
ผมหยิบกาแฟเเละเเซนวิชออกมาจากวอลท์ เเล้วก็เริ่มทำการตรวจสอบโดยการเพิ่มสเตตัสขึ้นทีละลำดับ
***
“อย่างนี้นี่เอง จะให้รู้เลยทันทีคงไม่ได้หรอก”
สุดท้ายพวกเราก็เจอเบาะเเส พอมิโยชิตรวจสอบสเตตัสของเธอ ค่าทั้งหมดคือศูนย์ ตอนเเรกพวกเราก็คิดกันไปว่าไม่สามารถดูสเตตัสของตัวเองได้
เเต่ที่จริงคือมันทำงานเเบบนี้ – พอใช้ประเมินกับคนอื่น มันจะนำค่าสเตตัlของตัวเองไปหารออกจากสเตตัสของคนอื่น จากนั้นกHจะเเสดงเศษของการหารที่ไม่ใช่ผลลัพธ์ของการหาร ในนิยายตัวละครจะไม่สามารถประเมินคนที่มีเลเวลสูงกว่าตัวเองได้ ผลก็เลยเป็นเเบบนี้ ทำให้ค่าเวลาประเมินตัวเองนั้นเป็นศูนย์ทั้งหมด เเต่ทว่าถ้าผมลดสเตตัสของตัวเองลงจนเหลือจำนวนน้อยๆอย่างเช่นหนึ่ง มิโยชิจะสามารถประเมินผมได้อย่างถูกต้อง นี่เป็นข้อพิสูน์สันนิษฐานของพวกเรา
พอใช้วิธีนี้ เราก็สามารถคำนวนสเตตัสที่ถูกต้องของมิโยชิออกมาได้เป็น
HP : 21.70
MP : 30.90
STR : 9
VIt : 9
INT : 17
AGI : 11
DEX : 13
LUC : 10
“ดูกระจอกมากเลยเนอะ” มิโยชิพูด
“ค่าเฉลี่ยของมนุษย์ผู้ใหญ่จะประมาณ 10 เพราะฉะนั้นสเตตัสของเธอส่วนมากก็ดีเลยนะ ฉันใช้ตัวเองก่อนเพิ่มสเตตัสเป็นตัววัดน่ะ”
“ถ้าเป็นเเบบนั้นก็ดี”
“เเต่ว่าผมลัพธ์มันเป็นเศษหารนี่สิ ถ้าเราสร้างเครื่องวัดสเตตัส อัลกอริทึ่มที่ใช้จะต้องถูกค้นพบได้โดยทันทีเเน่ๆ ถ้ามีใครใช้ประเมินคู่กับเครื่องวัดของเรา”
“ค่าที่วัดได้จะเเตกต่างกันไปตามความเเม่นยำของเครื่อง อีกอย่างประเมินก็เป็นสกิลหายากด้วย ทุกอย่างน่าจะโอเคนะ เเต่ทว่าเครื่องวัดจะต้องถูกนำไปวิเคราะห์เเน่ๆ ยังไงเราก็ต้องจดลิขสิทธิ์”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“จะว่าไป สกิลประเมินเห็นสกิลของฉันไหม”
“ตอนนี้ไม่นะ โล่งเลยใช่ไหมล่ะ”
“จริง เอาล่ะ มาประเมินออร์บเวทมนตร์ความมืด VI กันเถอะ”
ผมหยิบออร์บออกมาอีกครั้ง
สกิลออร์บ : เวทมนตร์เเห่งความมืด VI
สกิลนี้จะทำให้สามารถอัญเชิญเฮลฮาวด์ได้ ค่าINT/4จะเป็นตัวจำกัดจำนวนซัมมอนที่สามารถเรียกได้
เจ้าจะเปิดประตูแห่งนรก เรียกเหล่าข้าทาสของเจ้าออกมา ในที่สุด เจ้าจะมิสามารถส่งพวกเขากลับได้ และพื้นพิภพจะกลายเป็นแดนสวรรค์แห่งความมืด
“‘งั้นมันก็ทำให้ฉันเรียกเฮลอาวด์ออกมาได้สินะ เเต่ว่า…”
“เอาจริงๆนะ ใครกันที่เป็นคนเขียนเฟลเวอร์เท็กซ์นี่เนี่ย”
ผมมองกระดาษที่มิโยชิเขียนมาให้ เอามาจากการ์ดเกมอะไรกันนะ
“ตอนนี้เธอสามารถอัญเชิญเฮลฮาวด์ได้สี่ตัว ลองใช้ดูสิ ฉันอยากจะทดสอบสกิลพวกนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“คิดว่าจะมาเป็นหมาเฝ้าบ้านให้ออฟฟิศของเราได้ไหม”
“น่าจะเป็นครั้งเเรกในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติเลยล่ะ”
มิโยชิเเตะไปที่ออร์บ “ถ้าเราให้ฉายากับเฮลฮาวด์ รุ่นพี่คิดว่ามันจะกลายเป็นมอนสเตอร์มีชื่อไหม” หลังจากนั้นเธอก็ตะโกนประโยคตามธรรมเนี่ยม “ฉันจะเลิกเป็นนั่นนี่เเล้ว!”
หลังจากที่ร่างกายของเธอดูดเเสงเข้าไปหมดเเล้ว มิโยชิก็ยืนขึ้นเเละยกฝ่ามือของเธอไปหาสวรรค์
“คาวัล ฉันขออัญเชิญนาย”
“ใจเย็นๆก่อนนะ มิโยชิ”
วงเเหวนเวทย์เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสามเมตรเเผ่ไปทั่วบริเวณรถเหมือนกับล้อเล่นกับความเหนื่อยใจของผม รถนี่มันก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรอยู่เเล้ว
“อะ-อะไรเนี่ย” ผมร้อง อะไรบางอย่างสีดำสนิทปรากฏขึ้นมาจากวงเเหวนเวทย์ “โหห นี่คือเฮลฮาวด์หรอ”
สัตว์ประหลาดนี่ตัวใหญ่กว่าเฮลฮาวด์ปกติมาก ถึงจะดูเเบบคร่าวๆก็น่าจะสูงประมาณ 1.5 เมตร ส่วนความยาวก็น่าจะเกิน 3 เมตรได้เลย เจ้าตัวนี้มันคืออะไรกันเเน่ เสือเบงกอลเรอะ
“ว้าว ฉันอัญเชิญมาได้จริงๆด้วย” มิโยชิดีใจเเละถูหน้าของเธอเข้ากับเฮลฮาวด์ “ขนนุ่มสุดๆเลย”
เหวอ ปากของมันสูงพอดีกับหน้ามิโยชิเลย
สุนัขตัวใหญ่ยักษ์นั่นอยู่ในร่างของหมาป่าอันสง่างาม มีขนสีด้านที่กลืนไปกับความมืด เเต่ว่าตาของมันไม่ใช่สีเเดงเหมือนเฮลฮาวด์ปกติ มันใกล้เคียงกับสีทองมากกว่า
“ว่าเเต่ ชื่อคาวัลนี่มาจากไหนนะ”
“เป็นสุนัขของคิงอาเธอร์ไง ตั้งเเต่รุ่นพี่บอกให้ฉันอัญเชิญ ฉันก็คิดเรื่องชื่อมาตลอดเลย ถ้าเรียกอีกสามตัวได้ก็จะใช้ชื่อ เอเธลเลม เกลสซิค เเล้วก็ ดรัดวิน”
“ฉันจำไม่ได้หรอกนะ ตั้งชื่อว่า สปอท บัดดี้ สโนว์ สเกาท์ เถอะ”
“พูดอะไรเนี่ย สโนว์น่ะไม่ได้อยู่เเล้วไม่ใช่หรอ ต้องตั้งชื่อสัตว์เลี้ยงให้เหมาะกับรูปร่างสิ เฮลฮาวด์เป็นสีดำสนิทนะ จงชื่นชมร่างกายอันเเสนสง่างามของคาวัลนี่ซะ!”
“มันก็รูปร่างดีจริงๆ เเต่เธอจะเดินไปไหนมาไหนด้วยกันได้หรอ มันไม่ต่างจากเสือเบงกอลเลยนะ”
มิโยชิเยิ้มเเละลูบคาวัลที่หลัง “ไม่ต้องเป็นห่วง มันเป็นสัตว์ประหลาดแฟนตาซี คาวัลสามารถหดตัวเองได้อยู่เเล้ว”
ถึงจะเป็นหมาก็เถอะ ผมเห็นว่ามันทำหน้า “เหงื่อเเตกผลั่กๆ” อยู่ เเถมมันก็มองมาที่ผมเหมือนจะขอร้องว่า “จะทำยังไงดี” ผมก็มองตอบไปด้วยสายตาที่สื่อความหมายว่า “ฉันเอาใจช่วยนายนะ เพื่อนยาก”
มันส่งเสียงร้องหงิงเเละพยายามขดตัวเป็นลูกบอลกลมๆเเต่ก็ไม่สำเร็จ
เอ่อ ผมก็คิดงั้นเเหละ มันอาจจะเป็นพันธ์หายาก เเต่ผมไม่คิดว่าเฮลฮาวด์จะมีความสามารถในการหดตัว
“น่ารักสุดๆเลย!” มิโยชิร้องเเละพุ่งตัวไปกอดคาวัลที่กำลังขดตัวอยู่
เธอเป็นทีมหมาหรอเนี่ย
“เเล้วเธอทำให้มันหายไปได้ไหม” ผมถาม
ถึงจะพอมีที่ เเต่ตอนนี้เรากำลังอยู่ในรถRV ขนาดตัวของคาวัลนั้นกินพื้นที่ของห้องไปมากจนพวกเราขยับไม่ได้ เเถมดูเหมือนมันจะออกไปข้างนอกผ่านประตูก็ไม่ได้ด้วย
“ไหนลองดูซิ” มิโยชิพูดเเละทำท่าทางอีกครั้ง เธอตะโดนเป็นภาษาอังกฤษ “รีรีส!”
ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งห้อง คาวัลเริ่มเหงื่อตกอีกครั้ง ดูเหมือนจะเป็นอย่างงั้นน่ะนะ
“เอาล่ะ ไม่เวิร์คแฮะ”
“เอ้อใช่ เฟลเวอร์เท็กซ์เขียนไว้ว่ายังไงนะ ‘เจ้าจะเปิดประตูแห่งนรก เรียกเหล่าข้าทาสของเจ้าออกมา ในที่สุด เจ้าจะมิสามารถส่งพวกเขากลับได้ และพื้นพิภพจะกลายเป็นแดนสวรรค์แห่งความมืด’”
เพราะว่ามันไม่มีประโยชนฺสำหรับบาร์เกสต์ที่จะส่งเฮลฮาวด์กลับน่ะสิ
“อะไรนะ! ระ-ระ-ระ-รุ่นพี่ ฉันจะทำยังไงดี”
“เอ่อ โทษที คิดไม่ออกเหมือนกัน”
ผมคิดถึงตอนที่สู้กับบาร์เกสต์ ถึงเราจะฆ่าคาวัลไป ศพก็จะไม่หายไป ถ้าเป็นเเบบนั้นมันอาจจะอยู่เเบบนี้จนมิโยชิตายไม่ก็มีอะไรสักอย่างมาอัญเชิญมันอีกครั้ง เเน่นอนว่ามิโยชิคงไม่ยอมทำสองข้อนี้หรอก
เดี๋ยวก่อนนะ เฮลฮาวด์สามารถใช้เวทความมืดได้นี่ อย่างน้อยๆคาวัลก็น่าจะเข้าไปอยู่ในเงาได้นะ
“นายใช้เวทได้ใช่ไหม” ผมถามคาวัล
เฮลฮาวด์พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น มันดูไม่เหมือนมอนสเตอร์อีกเเล้ว
“งั้นนายจะต้องมีที่ให้ซ่อน นายสามารถเข้าไปซ่อนในเงาหรืออะไรทำนองนั้นได้ไหม”
คาวัลเอียงหัวใหญ่ๆของมัน เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้น มันก็ละลายเข้าไปในเงาของมิโยชิ หายไปจากสายตาพวกเรา
“เหวออ!” ผมกับมิโยชิร้องออกมาพร้อมกัน
หลังจากนั้นคาวัลก็โผล่หัวออกมาจากเงา เอียงหัวอีกครั้งเหมือนจะถามว่า ‘เเบบนี้เป็นไง’
“สุดยอดไปเลย”
เธอนั่งคุกเข่าอยู่หน้าหน้าคาวัลเเละลูบหัวมัน เเละก็เอาเเซนวิชเเฮมให้กิน เเน่นอนว่ามันเป็นวิธีฝึกสุนัขที่ถูกต้อง เเต่ว่ามันก็เข้าใจภาษามนุษย์อยู่เเล้วนะ ยังจะต้องฝึกอะไรอีกหรอ แถมเฮลฮาวด์สามารถย่อยเเซนวิชได้รึเปล่า ผมมีอีกล้านคำถาม เเต่ว่าสัตว์เลี้ยงกับเจ้าของดูเหมือนกำลังสนุกกันอยู่ ผมก็เลยเงียบปากเอาไว้
“เอาล่ะ เรามาเรียกเวทมนตร์นี้ว่า ‘ซ่อนเงา’ กันเหอะ” ผมพูด
“ดีเเต่ไม่ถึงกับเยี่ยม”
“ฉันชอบชื่อ ‘เย็นเฉียบ’ด้วย”
“มาจากไหนเนี่ย”
“เป็นชื่อนิยายดั้งเดิมของ โรเบิร์ท บี ปาร์คเกอร์” ผมอธิบาย “ในญี่ปุ่น ชื่อเรื่องจะถูกเปลี่ยนเป็น คาเกะนิฮิโซมุ ที่เเปลว่า แฝงตัวในเงามืด”
“ดีเเต่ก้ยังไม่ถึงกับเยี่ยม”
“ถ้างั้นเป็น “เอตนโนะจุตสึ‘ ล่ะ ไม่ก็ ‘อินตนโนะจุตสึ’ ทั้งสองคำแปลว่า ศิลปะการซ่อนตัวในเงามืด ให้ความรู้สึกเป็นนินจาก็เท่ดีว่าไหม”
เเต่ถ้าเราเรียกสกิลเป็นภาษาญี่ปุ่น ก็อาจจะต้องเปลี่ยนชื่อเฮลฮาวด์เป็น ‘จิโกกุ อินุ’
“ฉันว่าพอเเค่นี้ดีกว่า ตอนนี้เรียกว่าซ่อนเงาละกัน”
มิโยชิโบกมือเป็นทำนองว่า ‘ใครสน’ เเล้วกันไปหาคาวัล “ถ้างั้น นายโอเครึเปล่าถ้าจะขอให้ไปซ่อนในเงาจนกว่าฉันจะเรียกน่ะ” เธอถาม
คาวัลพยักหน้าอย่างกระตือรืนร้นเเล้วพุ่งลงไปในเงา
“น่ารักจริงๆน้า~”
“ตอนนี้ก็ได้อยู่หรอก เเต่ถ้าเธอทำเเบบนี้กับเฮลฮาวด์ที่เป็นศัตรู มันกินเธอเเน่ๆ” ผมเตือน
“โธ่ รุ่นพี่ เเค่นั้นฉันรู้อยู่เเล้วน่า ไม่ใช่เด็กซะหน่อย”
“เเน่ใจนะ” ผมคิดอย่างนั้น เเต่ก็รู้ดีเกินกว่าที่จะพูดออกไป
มันเป็นวิธี….เอ่อ อะไรนะ เข้ากับคนอื่นล่ะมั้ง
“ว่าเเต่ฉันไม่รู้เลยว่าเฮลฮาวด์ใช้เวทมนตร์เเบบนั้นได้ด้วย” ผมพูด
ถ้าเฮลฮาวด์สามารถซ่อนอยู่ในเงาตอนสู้เเละโผล่ออกมาโจมตีโดยไม่ให้รู้ตัว น่าจะสร้างปัญหาให้เราไม่น้อย เเต่ตอนนี้ไม่มีเฮลฮาวด์ตัวไหนที่เราสู้ด้วยทำเเบบนั้นเลย หรือว่ามันไม่ใช่ลักษณะพิเศษของเผ่าพันธุ์ จากที่คาวัลทำหน้างงในตอนเเรก มันอาจจะเพิ่งสามารถใช้เวทนี้ได้ก็ได้ ดูจากสีตาเเล้ว อาจจะไม่เหมือนเฮลฮาวด์ทั่วๆไปด้วย
“ฉันลองอัญเชิญตัวอื่นๆดีไหม”
“ไม่ เดี๋ยวก่อน ไปข้างนอกจะดีกว่า”
ถ้าเกิดมีตัวที่ใหญ่กว่านี้โผล่มา เราต้องถูกทับตายเเน่
“เเต่ตอนนี้มันตอนกลางคืนบนชั้นอันเดดนะ!” มิโยชิบ่น “พอเปิดประตูปัป พวกมันจะต้องพุ่งเข้ามาเเน่ๆ”
“งั้นรอจนถึงพรุ่งนี้ก็เเล้วกัน”
“ก็ดี”
“ตอนนี้เรามาประเมินไอเทมที่ได้มากันดีกว่า อันนี้ดูเหมือนเป็นหน้าหนังสือ”
ผมหยิบไอเทมออกมาวางที่หน้ามิโยชิ หลังจากเธอจ้องไปที่หน้าหนัสืออย่างไม่วางตา เธอก็จดสิ่งที่สกิลประเมินบอกลงกระดาษ
“เหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของ ‘หนังสือเเห่งนักพเนจร”” เธอพูด
หนังสือเเห่งนักพเนจร (เศษเสี้ยว I)
ความลับที่ลึกที่สุดของดันเจี้ยนนั้นอยู่ภายในคัมภีร์นี้ มีหนึ่งเดียวที่เป็นต้นฉบับ ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในคฤหาสน์พเนจร จารึกในดันเจี้ยนนั้นเป็นเพียงเเค่สำเนาของข้อความนี้เท่านั้น เศษเสี้ยวอื่นๆนั้นมีอยู่เเละมีใจความต่างกัน
ความบ้าคลั่งจะครอบงำผู้ใดก็ตามที่ได้สัมผัสกับปัญญานี้
“ถูกควบคุมด้วยความบ้าคลั่งงั้นหรอ เรื่องหลุดโลกเเบบนั้นทำให้นึกถึงตำนวนคธูลูเลย”
“น่าเสียดายที่ประเมินไม่ได้ทำให้เข้าใจเนื้อหาข้างในหน้าหนังสือ รุ่นพี่คิดว่าคฤหาสน์ที่เราสำรวจไปคือคฤหาสน์พเนจรรึเปล่า”
“น่าจะใช่ พอกำจัดมอนสเตอร์ชนิดหนึ่งไป 373 ตัว เศษเสี้ยวของหนังสือต้นฉบับจะอยู่ในคฤหาสน์ที่ปรากฏขึ้นมา”
ฟังดูเหมือนง่ายนะ เเต่ว่าสำหรับนักสำรวจส่วนมาก การจัดการมอนสเตอร์ชนิดเดียวกัน 373 ตัวในวันเดียวเนี่ยยากพอดู บางบริเวณของโยโยกิอย่างเช่นชั้นหนึ่งกับชั้นสิบนั้นไม่ค่อยมีคน ทำให้มอนสเตอร์ไม่ได้ถูกกำจัด เเต่นอกเหนือจากบริเวณพวกนั้น การจัดการ 373 ตัวนั้นยากพอดู
“สำเนาจากต้นฉบับมีเเค่ชุดเดียว งั้นก็หมายความว่า…”
“ถ้าไปล่ามอนสเตอร์ตัวเดิมอีก คฤหาสน์จะไม่โผล่ออกมา ไม่ก็ข้างในห้องนั่นจะไม่มีอะไร ฉันคิดว่าเเบบนี้นะ”
“พวกเราต้อง…รายงานเรื่องนี้ใช่ไหม?”
“ใช่ เราจะรายงาน เเต่ทว่าพวกเราได้เเค่เดาว่าคฤหาสน์จะปรากฏมาเมื่อไรเเละจะหายไปเมื่อไร ไม่รู้ว่าพวกเราจะเอายังไงกับรายละเอียดดี เเล้วก็ยังมีตัวหนังสือบนเเท่นนั่นด้วย”
“อ้อใช่ ตัวหนังสือจาก เรด ริเวอร์”
“เรื่องเรด ริเวอร์เอาไว้ก่อนก็เเล้วกัน เรื่องเเปลประโยคพวกนั้นจะเอายังไงดี ถึงเราจะรู้ว่าตัวหนังสือมันเเตกต่างจากจารึกก็เถอะ เเต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นภาษาอะไรอยู่ดี”
มิโยชิพยักหน้า “เเถมพวกเราก็ไม่รู้จักใครด้านศิลปศาสตร์ด้วย ลองถามนารุเสะดูดีไหม”
“ไม่มีทางเลือกเเล้วล่ะนะ”
ถึงตอนนี้ผมก็หาวเสียงดัง พอไม่ได้จดจ่อกับอะไร สกิลฟื้นฟูก็ไม่อาจจะช่วยป้องกันความง่วงได้ เเน่นอนว่าถ้าไม่เป็นเเบบนั้นก็คงเป็นโรคนอนไม่หลับเเน่
“ถ้างั้นก็ไปนอนกันเหอะ วันที่เหลือยังต้องล่าอีกเพียบเลย”
“รุ่นพี่คิดว่าพวกที่ตามเรามาเมื่อกี๊จะโอเคอยู่ไหม”
“พวกนั้นเป็นทหารที่ฝึกมาเเล้วของต่างชาตินะ ภาวนาให้พวกเขาหนีทันก็เเล้วกัน”
“คิดว่าพวกสอดเเนมกับพวกนหัวกะทิกำลังทำอะไรกันอยู่ล่ะ” มิโยชิถาม
“อาจจะกำลังล่ามอนสเตอร์สุ่มๆเเล้วก็พยายามคิดว่าจุดหมายของเราคือที่ไหนล่ะมั้ง พอพวกเขารู้ว่าเราจะไปที่ไหน พวกเขาต้องล่ามอนสเตอร์ทุกตัวในชั้นนั้นเพื่อหาออร์บเเน่ๆ”
เพราะว่าลองหาดูมันก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา
“คิดว่าทีมที่ตามเรามาส่วนมากจะเป็นสปายรึเปล่า” มิโยชิถาม
“ใช่ ต้องคิดว่าเรามาหาออร์บเอาไปประมูลเเน่นอน”
“เข้าใจได้”
ผมเริ่มคิดเเผนขึ้นมาในหัว “สุดท้ายเราอาจจะลงไปชั้นล่างสุดเเล้วช่วยพวกเขาพิชิตดันเจี้ยนนี้ก็ได้ เเต่กว่าการจะกลับไปยังพื้นโลกคงลำบากน่าดูใช่ไหม งั้นฉันจะไปโผล่ที่ชั้นเก้าเเล้วให้พวกเขาเริ่มล่าโคโลเนียลวอร์มก็เเล้วกัน”
“โหดร้ายชะมัด” มิโยชิหัวเราะ
“ถ้าพูดไปด้วยหัวเราะไปด้วยเเบบนั้นจะไม่มีคนเชื่อเอานะ เอาเถอะ พรุ่งนี้มาล่ากองทัพสเกลเลตันกัน จะได้มีโพชันระดับต่ำไว้ใช้ เก็บเอาไว้เยอะๆน่าจะสะดวกดี”
“เข้าใจเเล้ว”
“งั้นก็ เธอใช้เตียงข้างหลังนั่นก็ได้นะ ราตรีสวัสดิ์”
“ขอบคุณนะ ราตรีสวัสดิ์”