ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 33 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (9)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 33 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (9)
โยโยกิดันเจี้ยน, ชั้นสิบ, คฤหาสน์
หลังจากเตรียมตัวอย่างระมัดระวังเเล้ว พวกเราก็ออกจากฐานเเละนำมันไปเก็บไว้ในสโตเรจ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกลับมาที่นี่อีกได้ไหม
ตอนเเรกที่บนเขานี้มีมอนสเตอร์อันเดดอยู่เต็มไปหมด เเต่ตอนนี้กลับไม่พบอะไรเลย พวกเราสำรวจบริเวณรอบๆตัวอย่างละเอียดเเละลงเขาไปเพื่อมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์ ที่นั่น เราพบกับประตูเหล็กบานคู่ที่ขึ้นสนิมนิดหน่อย มันมีลวดลายสลับซับซ้อนเป็นรูปดอกไม้เเละเถาวัลย์สลักอยู่ในโลหะ อีกทั้งยังมีตัวหนังสือเเปลกประหลาดถูกเขียนไว้ตรงป้ายทางเข้า
“ดูคล้ายการเขียนเเบบคูนิฟอร์ม เเต่ก็ไม่น่าจะใช่” ผมพูด “ไม่น่าจะเป็นเฮียโรกริฟฟิคเหมือนกัน”
“เอาจริงๆนะ ตัวอักษรพวกนี้เหมือนหลุดออกมาจาก เรดริเวอร์ เลย”
“คืออะไรล่ะนั่น”
“มังงะที่เด็กสาวมัธยมปลายเดินทางกลับไปยังอดีตสมัยจักรวรรดิฮิตไทต์เเละกลายเป็นทาวันนานนา(ราชินี)อยู่ที่นั่น”
“‘งั้นก็เเสดงว่าตัวอักษรพวกนี้มาจากยุคเดียวกับสมัยจักรวรรดิฮิตไทต์งั้นหรอ อ๊ะ มีตัวเลขอราบิกเขียนอยู่ข้างใต้ด้วย”
มิโยชิถ่ายรูปด้วยมือถือของเธอ “ไม่เข้ากันเลยนะ”
ข้างใต้ตัวหนังสือที่อยู่บนป้ายทางเข้า มีตัวเลข 1000000000000066600000000000001 ถูกเขียนอยู่
อะไรอีกเนี่ย
“เป็นจำนวนเฉพาะอีกตัวน่ะ” มิโยชิบอก
“เดี่ยวนะ จริงเรอะ”
“ใช่ ตัวเลขนี้ดังมากในกลุ่มบางกลุ่มเลย ผู้ชายที่ชื่อ คลิฟฟอร์ด เอ พิคโอเวอร์ ตั้งชื่อตัวเลขนี้ว่า จำนวนเฉพาะของเบลฟากอร์ มันเป็นจำนวนเฉพาะพาลินโดรมที่มี เลข 666 อยู่ตรงกลางเเละขนาบข้างด้วยเลขศูนย์ 13ตัวทั้งสองข้าง”
“เบลฟากอร์งั้นหรอ…”
ในทางปีศาจวิทยา เบลฟากอร์เป็นหนึ่งในเจ็ดเจ้าชายจากนรก เหมือนว่าเขาจะช่วยทำให้ผู้คนค้นพบสิ่งต่างๆ
“ทั้งหมดนี่เป็นการอุปมาว่าจะมีอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นรึเปล่า”
“ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีอาจจะเพื่อเเค่สร้างบรรยากาศก็ได้ เหมือนกับเฟลเวอร์เท็กซ์ (ข้อความบรรยายเพื่อสร้างอรรถรส) ไง เเต่มันก็ทำออกมาได้ดีทีเดียวล่ะ ตอนนี้ฉันบอกได้เเค่นี้แหละ”
จำนวนเฉพาะที่โผล่ขึ้นมาในโลกปริศนา การอ้างอิงถึงเบลฟากอร์ในที่ๆน่าจะซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว่ สุดท้ายก็คือลัคกี้นัมเบอร์ 666 กับ 13 ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ให้เห็น
ถ้ามันคล้ายๆกับวงเเหวนเวทย์ที่มิโยชิสลักไว้ในหีบออร์บ เเสดงว่าคนสร้างดันเจี้ยนจะต้องรู้เรื่องตัวเลขกับตำนานศาสนาอย่างละเอียดทีเดียวเลยล่ะ
ตอนนี้หมวกของเราก็กำลังบันทึกวีดีโออยู่ เเต่เพื่อเป็นการเผื่อเอาไว้ ผมจึงถ่ายรูปตัวอักษรนั่นด้วยมือถือของผม
ถึงเเม้ว่าตอนเเรกมันกำลังปิดสนิทอยู่ พอผมไปสัมผัสประตูเหล็ก มันก็ค่อยๆเปิดออกพร้อมกับมีเสียงเเสบเเก้วหูเหมือนวัตถุสองชนิดกำลังเสียดสีเข้าด้วยกัน เกือบจะเหมือนประตูกำลังเชื้อเชิญให้เราเข้าไปด้านใน
“ในเวลาเเบบนี้ ประตูที่มีเสียงดังเเอ้ดนี่มันเกร่อมากเลยว่าไหม” มิโยชิพูด
“เเบบมาพร้อมกับความเงียบเเล้วก็หมอกด้วย”
รู้สึกเหมือนเป็นตอนเปิดของ เดอะลีเจนด์ออฟเฮลเฮาส์เลย
คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือสนามหญ้ากว้างขวาง ด้านหน้าโอ่โถงด้วยความสูงถึงสองชั้น ประดับประดาด้วยยอดแหลมมากมาย ชวนให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่และสง่างาม มันอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่เกินจริง ทำให้ผมนึกถึงประโยคนึงจากนิยายสยองขวัญชื่อดัง
“บ้านบนเนินเขาผิดปกติ ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว กักเก็บความมืดมิดไว้ภายใน ใครที่จะเข้าไป เข้าไปคนเดียว”
พอเราเปิดประตูคฤหาสน์เเละแอบมองเข้าไป เสียงไวโอลินในฉากของ ‘เฮียสอีสจอห์นนี่’ จาก เดอะ ไชนนิ่งเวิลด์ก็เริ่มบรรเลง – ไม่ผิดเเน่
“รุ่นพี่ บางทีเราควรจะ…”
“เห็นด้วย”
อะไรบางอย่างในใจผมกำลังกรีดร้องให้ผมหันหลังกลับ
“จำเพลงเก่าเพลงนึงที่ชื่อว่า ‘สุราดะ บูชิได้ไหม’” ผมพูดเเละเดินไปที่สวนหน้าคฤหาสน์ “คิดว่าเพลงนี้พูดถูกนะ”
“ใช่ ฉันรู้ เเต่ฉันหยุดไม่ได้”เป็นเนื้อเพลงของเพลงนี้ที่ร้องโดย อุเอกิ ฮิโตชิในช่วงปี 1960
มิโยชิถอนหายใจเเละตามผมเข้าไป “…คิดไว้อยู่เเล้วล่ะนะ”
อยู่ๆนกสีดำตัวใหญ่ที่เกาะอยู่ที่ยอดรั้วหนามก็ส่งเสียงร้อง จากนั้นรูปปั้นเสือดำมีปีกที่ตั้งอยู่ทุกมุมของคฤหาสน์ชั้นสองก็เกิดมีชีวิตขึ้นมา เเละหันหน้ามาหาพวกเราพร้อมๆกัน
“ถ้าการ์กอยพวกนั้นเป็นของที่เหมือนกับบนโลกล่ะก็ มันจะต้องโฉบลงมาใส่พวกเราทันทีที่เราเข้าไปข้างในคฤหาสน์เเน่ๆ ว่างั้นไหม เเล้วนกตัวนั้นก็น่าจะเป็นอีกา” ผมพูด
“เดี๋ยวอีกไม่กี่วินาที มันจะต้องเริ่มพูดว่า ‘ไม่มีอีกเเล้ว!’ เเน่ๆ พนันได้เลย” จากนั้นมิโยชิก็พูดด้วยความขยะเเขยง “ที่สำคัญกว่านั้น ดูที่ขอบชายคานั่นสิ…”
ชายคานั่นมีอะไรเรอะ
ผมขนลุกทันทีที่เห็นมัน มีมอนสเตอร์รูปร่างกลมจำนวนมากดิ้นอยู่บนชายคาชั้นสอง พอมองดูดีๆ พวกมันดูคล้ายลูกตา เเละทั้งหมดนั่นก็กำลังมองมาที่เราเหมือนกับเสือดำ เหมือนกำลังรอดูว่าพวกเราจะทำอะไรต่อ
“อี๋ เเต่ว่านั่นคือโมโนอายส์รึเปล่า”
“ไม่ใช่ว่าโมโนอายส์จะบินได้ด้วยตัวเองหรอ ไอนั่นมันเหมือนเป็นอาณานิคม เหมือนพวกมันตัวติดกันอ่ะ”
“ระวังตัวด้วยนะ ถ้ามันโจมตีมาเราจะหนี”
“หนีไปไหนล่ะ”
เป็นคำถามที่ดี เราไม่รู้ว่าข้างในคฤหาสน์มีอะไร ฉันไม่อยากถูกโรสเรดกลืนเหมือนในนิยายของสตีเฟนคิงหรอกนะ เเต่ถ้าเราหนีออกไปที่ประตู พวกลูกตาอาจจะตามเรามาเเล้วผมก็ไม่เเน่ใจว่าเราจะหนีพ้นไหม
“อืม พอเธอพูดเเบบนั้น เราไม่มีที่ให้หนีจริงด้วย”
มิโยชิจ้องผมเหมือนกับผมเป็นเด็ก “นี่รุ่นพี่…”
“ตอนนี้ ถ้าจำเป็น เราจะหนีออกไปข้างนอกก็เเล้วกัน”
ถ้าผมคอยโจมตีพวกมันตอนกำลังหนีก็น่าจะเปิดทางได้อยู่ หวังว่านะ
“…ก็ได้” มิโยชิถอนหายใจ
พวกเราเดินต่อไปอย่างเงียบๆท่ามกลางสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนของมอนสเตอร์ที่กำลังจ้องพวกเราอยู่บนหลังคา สุดท้ายเเล้วก็เหลืออีกเพียงไม่กี่เมตรจะถึงประตูคฤหาสน์
“นี่ มิโยชิ”
“ว่าไง”
“ยุคกลางมีประตูอัตโนมัติไหม”
“มีเรื่องของเฮรอนเเห่งอเล็คซานเดรียสร้างมันขึ้นในอียิปต์ก่อนปีคริสศักราชอยู่นะ”
“น่าสนใจนี่”
พอเราเข้าใกล้คฤหาสน์ ประตูคู่นั้นก็เปิดออกโดยไร้เสียง เหมือนมันกำลังรอให้เหยื่อบูชายันต์ผู้โชคร้ายเข้าไป
“เฮ้ มิโยชิ” ผมพูดอีกครั้ง
“อื้อ”
“บางทีเราควรจะกลับจริงๆด้วย”
พอผมหันหลัง ก็เจอกับเรื่องไม่คาดคิด นกสีดำตัวใหญ่นั่นได้บินมาเกาะที่ป้ายตรงประตูเเละกำลังดูเเลขนของมันอยู่ ตาของมันไม่มีสีขาวเเละเป็นสีดำสนิท ผมสามารถเห็นภาพสะท้อนของโลกทรงกลมบิดเบี้ยวจากนัยตาของมัน
“ไม่มีอีกเเล้ว!” นกตัวนั้นร้องเสียงดัง
“เห็นไหมล่ะ นกนั่นกำลังบอกให้พวกเราออกไปตอนที่ยังออกได้อยู่”
“รุ่นพี่ ถ้าเราถอยกลับตอนนี้ ต้องมีอะไรบางอย่างโจมตีเราเเน่ๆ ฉันรู้ได้เลย”
ผมมองไปที่หลังคาเเล้วก็ยิ้ม “บังเอิญจัง ฉันก็คิดเเบบเดียวกันเลย”
การทำตัวตลกอาจจะช่วยระงับความกลัวได้บ้าง เเต่พวกเราก็ไม่สามารถจะอยู่ในที่ๆทำให้จิตตกไปได้ตลอด พวกเราคอยระวังพวกลูกตาด้านบนเเละเข้าไปในคฤหาสน์ ข้างในนั้น เราเจอห้องว่างขนาดใหญ่ เเละไม่มีอย่างอื่นอีก
“ไม่ใช่ว่าห้องโถงของคฤหาสน์เเบบนี้จะมีบันไดวนคู่เพื่อขึ้นไปที่ชั้นสองหรอ” มิโยชิถาม
“อะไรคือบันไดวนคู่นะ”
“บันไดสองส่วนที่มารวมกันเป็นวงไง”
“อ้อ ที่เห็นในหนังบ่อยๆ”
เรามองไปรอบๆเเละเจอกับห้องที่มีเพดานสูงเเละทำจากหิน มันค่อนข้างกว้างมากเลยทีเดียว อาจจะประมาณ 30 ตารางเมตร มีชั้นหนังสือสูงอยู่ติดกำเเพง ถึงผมจะเห็นไม่ค่อยชัดจากทางเข้า เเต่เหมือนมันจะเต็มไปด้วยหนังสือ
ทำไมถึงมีตู้หนังสืออยู่ในห้องโถงนะ
มีรูปปั้นที่คล้ายคลึงกับรูปปั้นประหลาดของนอเทรอดามตั้งอยู่ที่สี่มุมของห้อง พวกมันจ้องมาที่ตรงกลาง เหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาถ้ามีใครขยับไปทางนั้น
“เป็นการ์กอยอีกชนิดรึเปล่า”
“ถ้าเป็นในเกม พวกมันน่าจะเริ่มขยับถ้าเราเข้าไปใกล้ใจกลางห้อง บางทีเราควรจะกำจัดมันตั้งเเต่ตอนนี้นะ” มิโยชิพูด
“ส่วนมากรูปปั้นพวกนี้จะทำลายไม่ได้ถ้ามันยังไม่มีชีวิตนี่สิ”
“ลองก่อนก็ไม่เสียหายอะไรนี่” มิโยชิพูดพลางทำให้รูปปั้นกระเด็นไปในอากาศ ดูจากเเรงเเล้ว เธอน่าจะใช้ลูกเหล็กขนาด 9 เซ็นติเมตร
“เอ๋ บางทีมันอาจจะเป็นรูปปั้นหินอ่อนธรรมดาก็ได้…”
พอมิโยชิเเลบลิ้นเเละขยิบตาให้ผม ประตูด้านหลังเราก็ถูกปิดด้วยเสียงดัง
“อุ๊บ ฉันไปทำให้ใครโกรธรึเปล่านะ”
“ถ้าเธอบุกเข้าไปในบ้านคนเเปลกหน้าเเล้วไปทำลายข้าวของเขา เป็นใครก็ต้องโกรธอยู่เเล้ว!”
ผมคอยระวังรอบๆตัวเเละเดินถอยหลับไปที่ประตูทางเข้า มีวงเเหวนเวทย์สามวงปรากฏขึ้นบนพื้นเเละมีมอนสเตอร์โผล่ออกมา
“สเกลเลตันเอ็กซีคิวชั่นเนอร์งั้นหรอ!” ผมร้อง
มอนสเตอร์พวกนั้นเป็นสเกลเกลตันตัวใหญ่ที่ลากดาบขนาดยักษ์ไปตามพื้นตอนเดิน ปกติเเล้วพวกมันจะค่อนข้างช้า เเต่ว่าจะพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเวลาโจมตี เเละเหวี่ยงดาบไปรอบๆ ทำให้เป็นปัญหาตอนคุณถูกมันต้อนจนมุม เเถมนี่น่าจะเป็นครั้งเเรกด้วยที่พวกมันโผล่มาในโยโยกิ
“โจมตีอย่างรวดเร็วเเละหนักหน่วง!”
ผมใช้เวทย์น้ำอย่างเคยเพื่อกำจัดมอนสเตอร์สามตัวนั้น อย่างน้อยก็พยายามกำจัด..
“อะไรกันเนี่ย!”
มีบาเรียที่มองไม่เห็นสกัดหอกน้ำของผมเอาไว้ ทำให้หอกพวกนั้นหายไป
“รุ่นพี่ ใช้บอลเหล็ก!” มิโยชิตะโกน
ผมเอาบอลเหล็กออกมาเเละโยนไปที่มอนสเตอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดเต็มเเรง มีกระเเทกดังตามมา มอนสเตอร์นั้นหงายหลังไป เเต่ทว่าการโจมตีของผมไม่สามารถกำจัดมันได้
สเกลเลตันพวกนี้ทนบอลเหล็กได้ด้วย!?
เเต่ทว่าการโจมตีทางกายภาพก็ดูจะให้ผลดีกว่าเวทมนตร์ ผมเขวี้ยงบอลใส่มันอีกครั้งหวังว่าครั้งที่สองจะสามารถทำลายมันได้ พอบอลพุ่งไปโดนหัวของมัน เข่าของมันก็เเตกกระจาย
“เอ่อ อะไรเนี่ย”
มิโยชิตะโกนตอบ “การโจมตีมอนสเตอร์พร้อมกันสองที่จะช่วยลดเเรงต้านนะ”
พอผมยิงบอลเหล็กใส่หัวของมอนเสตอร์ มิโยชิก็ยิงบอลอีกลูกใส่เข่าของมัน
“สวย มิโยชิ เเต่ถ้าเธอไม่หลบอยู่หลังฉันจะยอดเยี่ยมไปเลย”
“เอาน่า รุ่นพี่เป็นคนถือโล่นี่ จะให้ฉันไปอยู่ที่ไหนล่ะ”
ก็จริง เเต่ต้องจัดการอีกสองตัว
“อ๊ะ ชิบหายเเล้ว” ผมตะโกน “ทำไมฉันโง่อย่างนี้เนี่ย!”
มิโยชิดูตกใจที่ผมร้องขึ้นมา “หา! เกิดอะไรขึ้น”
“เราเจอบอสเเล้ว เเต่ไม่มีพวกลูกกระจ๊อกเลย เเบบนี้จะทำให้จำนวนตรงร้อยยังไงเนี่ย!”
มิโยชิพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจในขณะที่ยิงมอนสเตอร์ยิงสองตัวที่เหลือด้วยบอลเหล็ก “รุ่นพี่ดูผ่อนคลายจังเลยนะ”
ทันใดนั้น สเกลเลตันก็เริ่มหมุนตัว
“มิโยชิ ไปที่มุมเร็ว” ผมตะโกน
สเกลเลตันเอ็กซีคิวชั่นเนอร์โจมตีเป็นวงกลม ในพื้นที่กว้างอาจจะอันตราย เเต่ว่าที่นี่เป็นห้องสี่เหลี่ยม-
“ที่มุมน่าจะปลอดภัยใช่ไหม”
พวกเรายืนอยู่บนรูปปั้นที่ถูกทำลายไปที่มุมห้อง การโจมตีของมอนสเตอร์นั้นถากกำเเพงไปเเต่ก็ไม่ถึงตัวพวกเรา
“”ตู้หนังสือไม่เป็นอะไรเลยเเฮะ”
“หน้าต่างตรงทางเข้าก็เหมือนกัน” ผมเห็นด้วยกับเธอ
ถ้ามอนเสตอร์ทำลายสิ่งของต่างๆตามทางได้จะเป็นอันตรายอย่างมาก เเต่ว่าทั้งกำเเพงกับประตูนั้นเเข็งเเรงพอที่จะไม่ถูกทำลาย ทำให้ดาบของมันมาไม่ถึงตัวพวกเรา
หลังจากที่พวกมันหยุดหมุนตัว เราก็ถอยออกห่างจากมอนสเตอร์ เเละพวกเราก็โจมตีมันสองที่พร้อมๆกันอีกครั้ง สุดท้ายเเล้วก็สามารถกำจัดพวกมันได้
ฮีลลิ่งโพชั่น (3) x 2
หินเวทย์ : เเบร์โรว์ ไวท์(ภูติผีแห่งหลุมศพ) x 2
ดาบโค้งทะเลทราย
เหมือนพวกมันจะถูกเรียกว่า เเบร์โรว์ ไวท์ นะ ไม่ใช่สเกลเลตันเอ็กซีคิวชันเนอร์
“เอามาจากงานของโทลคีนงั้นหรอ ดันเจี้ยนนี่รู้ไปหมดทุกเรื่องเลยนะ เเต่ถ้าเป็นเเบบนี้ คฤหาสน์นี่ก็คือสุสานงั้นสิ เเล้วดาบนั่นเป็นของโฟรโดใช่ไหม”
มิโยชิชี้ไปที่ดาบโค้งไร้ปลอกที่ตกอยู่ที่พื้น ที่ด้ามจับมีอัญมณีสีฟ้าเข้มฝังอยู่ ผมหยิบดาบขึ้นมา บนใบดาบมีเงาของผมสะท้อนอยู่
“พึ่งเคยเห็นอาวุธดรอปนี่เเหละ เเล้วก็ไม่ใช่อาวุธที่อยู่ในเเคตตาล็อกของคู่มือนักสำรวจด้วย เเต่ดาบของโฟรโดไม่ได้ชื่อสติงรึไง”
“นั่นมันดาบที่เขาได้จากบิลโบ” มิโยชิตอบ “ราชามนต์ดำแห่งแองมาร์ทำลายดาบที่โฟรโดได้มาจากเเบร็โรว์-ดาวน์ส เเล้วเขาก็ลืมเอามันไปซ่อมที่ริเวนเดล สุดท้ายเเล้วเขาก็ใช้สติงเเทน น่าเศร้าจริงๆ”
“เอ่อ น่าเศร้าเหรอ…”
งั้นดาบนี่ก็ชื่อว่าดาบโค้งเเห่งทะเลทรายสินะ เพราะคำว่า ‘ดาวน์ส’ มาจากคำว่า ‘ดูน’ บางทีคำว่าทะเลทรายจะเหมาะกว่า แต่ตอนนี้เราอยู่ในคฤหาสน์นะ
“รุ่นพี่ ดูสิ!”
พอผมเก็บไอเทมดรอปเสร็จ อะไรบางอย่างก็ปรากฏขึ้นที่กลางห้อง ผมเตรียมตัวรับมือการโจมตีของมอนสเตอร์เเต่ทว่าก็มีเเท่นอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากพื้น
“จารึกงั้นหรอ” ผมพูด
บนเเท่นนั่นมีอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายกับหนังสือที่ตกเเต่งอย่างปราณีตวางอยู่ ตัวหนังสือที่ถูกเขียนอยู่บนเเท่นนั้นเป็นตัวอักษรเดียวกับที่อยู่ตรงประตูทางเข้า หลังจากที่ถ่ายรูปเเท่นนั่นด้วยมือถือของพวกเราเเล้ว พวกเราก็มาจ้องเขม็งที่สิ่งที่ดูคล้ายหนังสือที่วางอยู่บนเเท่นนั่น
“ไม่ล่ะ อ่านไม่ออก” ผมพูด
“ก็ต้องอ่านไม่ออกอยู่เเล้ว” มิโยชิตอบเเละเดินไปทางชั้นหนังสือ “เเท่นนั่นก็น่าสนใจเหมือนกัน เเต่ฉันสนใจหนังสือบนชั้นนี้ด้วย”
“อย่าเดินไปมามากนักสิ อาจจะมีกับดักก็ได้นะ”
พอผมหยิบจารึกขึ้นมา ก็มีเสียงระฆังดังขึ้นจากยอดอาคาร หลังจากนั้นก็มีความรู้สึกแปลกๆพุ่งเข้ามาที่ผม เหมือนว่าห้องทั้งห้องกำลังถูกวาร์ป
“มิโยชิ!!”
ผมตะโกนเรียกเธอเเละพวกเราก็รีบวิ่งไปที่ทางเข้า โชคดีที่ประตูไม่ได้ล็อค พอพวกเราเปิดประตูออก ก็ไม่มีสัตว์ประหลาดจากต่างมิติมากลืนพวกเรา พอไปถึงส่วนด้านหน้า เจ้ากาขนาดใหญ่กับการ์กอยที่เคยอยู่บนป้ายเเละหลังคา ก็เริ่มเข้ามาโจมตี
ผมทำให้ความรับรู้เวลาช้าลงจนเหมือนจะคลาน นกกาตัวนั้นกำลังบินมาทางผม ผมจึงยิงบอลเหล็กใส่มันเเละปล่อยให้มิโยชิวิ่งนำไปก่อน ผมหยิบโล่ออกมาทำหน้าที่ป้องกันอยู่ด้านหลังเเละพยายามยิงหอกน้ำจากข้างหลังโล่
ถึงการ์กอยจะเสียปีก ขา เเละหัวไป พวกมันก็ยังคงพุ่งมาด้วยความเร็วเท่าเดิม เเต่ผมใช้ประโยชน์จากสเตตัสที่สูงลิบ โจมตีมันด้วยโล่อย่างชำนาญ มิโยชิก็ช่วยสนับสนุนด้วยขณะวิ่ง ด้วยการส่งการ์กอยบางตัวปลิวไป
พอเราจัดการการ์กอยทั้งหมดได้ ผมก็เริ่มผ่อนคลาย เเต่ทันใดนั้นมิโยชิก็ชี้ไปที่ชั้นสองของคฤหาสน์ ที่กำลังเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง
“รุ่นพี่!”
ที่เธอกำลังชี้ไปนั้น มีลูกตาจำนวนมากร่วงลงมาจากชายคา พอพวกมันตกลงมาที่พื้น ก็เริ่มคลานเข้ามาหาพวกเรา
“เเหวะ จะอ้วก อย่าเข้าม-” ผมพูด
ผมถอยหลังโดยไม่คิดเเละยิงหอกน้ำไปทางพวกลูกตาที่อยู่ด้านหน้า ระหว่างที่ผมกำลังถอยไปที่ประตูทางเข้าอยู่นั้น หน้าต่างเลือกออร์บของเมคกิ้งก็โผล่ขึ้นมาที่มุมสายตา เเต่ผมไม่มีเวลามาดูว่ามีอะไรบ้าง ผมไม่อยากถูกทับด้วยกองภูเขาลูกตาหรอกนะ
เสียงระฆังก็ยังดังไม่หยุด คฤหาสน์ก็กำลังสูญเสียรูปร่างไปเหมือนกับกำลังละลายไปพร้อมกับเสียง พื้นดินก็เริ่มยืดออกเเละประตูทางเข้าก็เริ่มยวบเหมือนกำลังละลายเช่นกัน ทำให้ตอนนี้วิ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆ กองทัพลูกตาข้างหลังก็เริ่มใกล้เข้ามา
เเต่ถึงยังไงพวกเราก็ยังคงวิ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา ผ่านประตูเหล็กด้านหน้า ในขณะนั้น เสียงระฆังที่เคยดังอย่างต่อเนื่องก็หยุดลงกระทันหัน ความกดดันด้านหลังพวกเราก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
“อะไรกันเนี่ย”
ผมหันหลังมามองด้วยความตกใจก็เจอกับไอเทมบางอย่างถูกทิ้งไว้ ตอนนี้เบื้องหน้าเรามีเเค่สุสานตอนกลางคืนที่เงียบเชียบ เหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรอยู่ตรงนั้นมาก่อน ความเครียดในตัวผมหายไป ผมจึงนั่งลงก้นจ้ำเบ้า ไม่เข้าใจสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น เเต่รู้เเค่ว่าตอนนี้เราปลอดภัยเเล้ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเเน่เนี่ย” มิโยชิถาม
“ใครจะไปรู้ล่ะ เเต่อย่างน้อยที่เราเสี่ยงชีวิตไปก็มีประโยชน์นะ”
สกิลออร์บ : เฟียร์ | 1/40,000,000
สกิลออร์บ : เฝ้าระวัง | 1/300,000,000
สกิลออร์บ : ประเมิน | 1/700,000,000
เฟียร์กับเฝ้าระวังก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน เเต่ตอนนี้ ผมเลือกออร์บประเมินที่เป็นเป้าหมายของพวกเราในตอนเเรกก่อน