ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 29 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (5)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 29 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (5)
โมเรล, โยโยกิ-ฮาจิมัน
“เเล้วสุดท้ายเกิดอะไรขึ้นล่ะ” มิโยชิถาม
“โพชันน่ะหรอ? เราเจออีกขวดนึงหลังจากนั้น”
พวกเราทั้งสี่คนนั่งอยู่ที่เคาเตอร์บาร์ในร้าน โดยทั่วไปเเล้ว คอร์สอาหารจะเริ่มต้นด้วยบูยง(น้ำซุป)ก่อน หลังจากนั้นก็จะเป็นเซ็ป ชานเทอเรล เเละจีโรล เเละสุดท้าย พนักงานก็นำอาหารจานสุดท้ายในคอร์สมาเสริ์ฟ ดูผ่านๆเเล้วเหมือนจะเป็นจานธรรมดาๆ เเต่ทว่ามันทำให้ผมช็อคไปเลย
“มะ-มะ-มิโยชิครับ” ผมพูดสุภาพโดยไม่รู้ตัว “บอกฉันที สิ่งนี้มัน… เธอเห็นมันเป็นสีขาวหรือไม่?”
ของบางอย่างบางๆคล้ายหนังถูกหั่นเป็นกองวางอยู่บนไข่ เเผ่นบางๆเหล่านั้นส่งกลิ่นที่ผมไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก ขึ้นอยู่กับประสาทการรับกลิ่นของเเต่ละคน บางคนอาจจะบอกว่ามันมีกลิ่นเหมือนเเก๊ซโซลีนก็ได้
“ตอนนี้เป็นฤดูของมันนี่ เเล้วก็นะรุ่นพี่ เเขกของรุ่นพี่เป็นผู้หญิงสวยทั้งนั้นเลยนะ”
“โกหก! เธอเเค่อยากจะลองเท่านั้นเเหละ”
“เอาล่ะ ทีนี้เราก็ต้องเลือกไวน์อย่างระมัดระวังซะ-”
“อย่าเมินกันเซ่!”
มิตสึรุกิหัวเราะระหว่างที่ฟังเราคุยกัน “ฉันได้ยินมาว่า ปิเอมอน โบโรโล เเพร์เข้ากันดีกับไวท์ทรัฟเฟิลนะ พวกมันมาจากเเหล่งเดียวกัน”
“ลืมเรื่องพวกนั้นไปเลยนะ” มิโยชิตอบ “เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด ร้านอาหารเเค่อยากจะขายไวน์ราคาเเพงเท่านั้นเอง”
“เดี๋ยวก่อน เเต่ละคนก็มีรสนิยมของตัวเองนะ อย่าปัดข้อเสนอของเธอสิ”
“ที่จริงก็เป็นเงินของรุ่นพี่นะ จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ เเต่ฉันคิดว่าเราควรจะเลือกไวน์ที่มีรสชาติสดชื่นเเล้วก็สะอาด เซ็นต์โจเซป มาเซนน่าจะเป็นตัวเลือกที่มีเอกลักษณ์ดีเลย”
“ฟังดูฝรั่งเศสชะมัด”
“มาจากภูมิภาคโรนไง เหมือนว่ามันเข้ากันดีกับไวท์ทรัฟเฟิล ไว้ครั้งหน้ามาลองกัน”
“เอ่อ ไม่ล่ะ ดูจากสภาพการเงินเเล้ว นี่น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะกินทรัฟเฟิลกันในปีนี้”
“บู่!!”
ไซโต้เอามือวางไว้ที่เเก้มของเธอ ดูมีความสุข “ฉันพึ่งเคยมาที่นี่ครั้งเเรก ทุกอย่างอร่อยหมดเลย”
เธอคนนี้มีบุคลิคที่จะเป็นนักเเสดงที่มีชื่อเสียงได้เลยนะเนี่ย
“เห็ดหน้าตาเก่าๆซีดๆนี่อร่อยมากๆเลย เข้ากันดีกับกุ้งด้วย”
“อย่ามาว่าพวกมันเเบบนั้นนะ เเต่ชานเทอเรลก็หน้าตาเเย่จริงๆนั่นเเหละ”
“เหมือนโยชิมูระไง”
“รุ่นพี่ไม่ได้เก้งก้างขนาดนั้นหรอก”
“นี่พวกเธอยังจำได้อยู่ใช่ไหมว่าใครเป็นคนเลี้ยงมื้อนี้ห่ะ”
“สุดยอดเลยค่า”
“น่ารักที่สุด”
“เเบบนั้นก็ดี”
มิตสึรุกิฟังที่พวกเราพูดกัน เธอยิ้ม เเล้วก็นำเเก้วไวน์อัลเซสมาจรดริมฝีปาก
***
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมก็เอาโพชันเเรงค์หนึ่งทั้งสามขวดมาใส่ในท่ออคริลิคเเข็งเเรงเเล้วก็เอาเส้นหนังกวางหนาสามมิลลิเมตรมาพันด้านบนจี้พวกนัเ หลังจากนั้นผมก็ส่งเครื่องรางที่ดูคล้ายเครื่องประดับของชนเผ่าโบราณให้ผู้หญิงสามคน จี้เเค่ละอันนั้นมีคำอธิฐานขอให้ลูกศิษย์โชคดีอยู่
มิโยชิน่าจะไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องรางนี่หรอก เเต่ผมก็ทำให้เธออันนึงเผื่อเอาไว้ก่อน
ไซโต้นั้นเอาธนูคอมพาวน์ของผมไปเลยตามที่ผมคิดเอาไว้ ถึงเธอจะอ้างว่าเเค่ขอยืมก็เถอะเเต่ผมไม่คิดหรอกว่าเธอจะเอามาคืน ผมเลยตัดสินใจจะให้ธนูทั้งสองอันกับไซโต้เเละมิตสึรุกิเป็นของขวัญไปเลย
ยังไงดีล่ะ ไซโต้ทำให้ผมนึกถึงเด็กที่ชอบเเย่งของจากเพื่อนที่ชื่อไจเเอนท์
26 พฤจิกาบน 2018 (วันจันทร์)
โยโยกิ-ฮาจิมัน
หลังจากใช้เวลาเเสนพิเศษในคืนวันอาทิตย์ที่โมเรล สัปดาห์ใหม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น วันนี้ผมวางเเผลที่จะช่วยมิโยชิเพิ่มเลเวล
“ชั้นสิบหรอ” เธอถาม
“ใช่ ตอนนี้เธอน่าจะป้องกันตัวเองได้เเล้ว เเต่การจะเพิ่มสเตตัสทุกค่าพร้อมๆกันมันยากนะใช่ไหมล่ะ”
ที่จริงเราจะสู้ไปพร้อมกันเลยก็ได้ เเต่การจัดการมอนสเตอร์ชนิดเดียวกันติดต่อกันจะทำให้ค่าXPที่ได้ลดลง ระบบของดันเจี้ยนที่มันเหลือร้ายจริงๆ ขนาดฮาวด์แห่งเฮคาเต้ที่เป็นบอสยังให้ค่าประสบการณ์เเค่ 1.02 เเต้มเท่านั้นเอง ถ้าเป็นเเบบนี้เเล้ว “วิธีของมิตสึรุกิ” น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เเน่นอนว่าวิธีนั้นจะทำได้เเค่ที่ชั้นหนึ่งของโยโยกิที่มีสไลม์เยอะเเละคนน้อยเท่านั้น
“วิธีนั้นมันยากจริงๆนะ” มิโยชิเห็นด้วย “เเต่ว่าถ้าพยายามอย่างหนักเหมือนมิตสึรุกิ ถ้าใช้วิธีนั้นไปสักเดือนก็จะขึ้นไปอยู่เเรงค์สามหลักได้เเล้ว”
“ฉันใช้สกิลตรวจจับช่วยด้วย วันนั้นเธอจัดการไปได้ 300ตัวเลย รวมได้ทั้งหมด 6 เเต้ม ถ้าเดือนนึงก็จะเป็น 180 เเต้ม เท่านั้นก็จะอยู่ในระดับเลขสามหลักบนๆเเล้วล่ะ”
มิโยชิส่ายหน้า “ไม่มีทางที่ฉันจะฆ่าสไลม์ได้มากขนาดนั้นเเน่ๆล่ะ”
เธอน่าจะพูดถึงความเป็นจริงอันโหดร้ายที่เราจะต้องออกเเละเข้าดันเจี้ยนใหม่ทุกครั้งที่จัดการไปหนึ่งตัว ที่มิตสึรุกิทำเเบบนั้นได้ก็เพราะตอนนั้นเธออยู่ในระดับเลขสามปลายๆเเล้ว ก็เลยมีพลังกายเหลือเฟือที่จะทำได้ ถ้าไม่มีสเตตัสพวกนั้น เธอก็ไม่น่าจะทำได้เหมือนกัน การบังคับตัวเองให้เดินมากขนาดนั้นต้องทรมานน่าดู
“ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอฆ่าสไลม์ทีละนิดละหน่อยก็ได้”
“รุ่นพี่ยังจะให้ฉันทำอีกหรอ”
“เเน่นอน เธอยังไม่อยากตายใช่ไหมล่ะ”
“ฮืออออ”
ถึงเธอจะมีสเตตัสต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เเต่ว่าเธอก็มีสกิลฟื้นฟูสุดยอด เวทย์น้ำเเล้วก็ต้านทานกายภาพ สกิลพวกนี้น่าจะทำให้เธอเเข็งเเกร่งระดับนึง ถ้ามีใครบางคนพยายามจะฆ่าเธอ โดยพื้นฐานเเล้ว เธอก็เป็นเเค่ผู้หญิงธรรมดาๆคนนึง เพราะฉะนั้นการเพิ่มสเตตัสของเธอสักหน่อยเพื่อป้องกันไม่ให้เสียชีวิตทันทีที่โดนโจมตีน่าจะเป็นการดี
ผมชี้ไปที่บาร์เกสต์กับโมโนอายในรายการมอนสเตอร์ของชั้นสิบ “เรื่องนั้นพักเอาไว้ก่อน ตอนนี้เราจะไปล่ามอนสเตอร์สองตัวนี้กัน”
“มอนสเตอร์ที่รุ่นพี่กำจัดไปเมื่อวันก่อน ฮาวด์แห่งเฮคาเต้น่ะ เป็นบาร์เกสต์ชนิดนึงใช่ไหม”
“ใช่ เเล้วฉันก็สามารถเลือกออร์บเวทมนตร์ความมืด VI จากมันได้ด้วยนะ”
“หกหรอ เป็นสกิลที่ยังไม่ได้ถูกลงทะเบียนนี่นา”
“มันน่าจะเอาไว้ซัมมอนเฮลอาวด์น่ะ”
“ว่าไงนะ เท่าที่ฉันรู้ ยังไม่เคยมีใครรายงานเรื่องเวทอัญเชิญเลยนะ!!”
“เธอยังคิดว่าเรื่องพวกนี้มันน่าตกใจอยู่อีกหรอ เอาเถอะ ถ้าเธออัญเชิญเฮลฮาวด์มาป้องกันตัวเองได้ เธอจะอ่อนเเอนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร”
“บางทีนะ เเต่ถ้าต้องเจอคนระดับไซมอนหลายๆคนก็คงไม่ไหว”
“เเต่ว่าเวทอัญเชิญน่าจะถ่วงเวลาพอให้หนีได้”
“รุ่นพี่ไม่มีหลักฐานสักหน่อยว่าจะทำได้จริงๆ ว่าเเต่ทำไมถึงสนใจโมโนอายด้วยล่ะ”
“โมโนอายน่าจะต้องดรอปออร์บประเมินเเน่นอนเลย เธอว่างั้นไหมล่ะ”
สกิลประเมินเป็นสกิลพื้นฐานของนิยายต่างโลกเหมือนกับสโตเรจ
มิโยชิดูไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไร “ประเมินงั้นหรอ…”
ผมเลยลองราดน้ำมันเข้าไปในกองไฟสักหน่อย “ถ้ามีสกิลประเมิน เธอน่าจะสามารถวัดสเตตัสออกมาเป็นตัวเลขได้นะ”
“จริงหรอ! รุ่นพี่ต้องหามันมาให้ได้เลยนะ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม!”
“เอ่ออ เธอต้องมาด้วยกันกับฉันนะ รู้ใช่ไหม เเต่นั่นเเหละ เดี๋ยวฉันจะหาออร์บประเมินมาให้ ถ้าโมโนอายมันดรอปล่ะก็นะ”
“เดี๋ยวนะ ฉันต้องไปด้วยหรอ ไม่ใช่ว่าชั้นสิบมันมีมอนเสตอร์เยอะมากเลยหรอ เเถมฉันคิดว่ากลิ่นในชั้นนั้นจะต้องเเย่มากเเน่ๆเลย”
ที่จริงทางที่จะลงไปชั้น 11 นั้นไม่ค่อยมีมอนสเตอร์อยู่มากนักอยู่ เเต่พอมีการค้นพบน้ำยาซึมซับ คนปกติก็จะไม่สนใจอันเดดพวกนั้นเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้ทางนั่นก็จะมีพวกซอมบี้ สเกลเลตอนอะไรพวกนี้อยู่เต็มไปหมด
“เหมือนกับสไลม์ชั้นหนึ่งที่เหมือนมีอยู่อย่างไม่จำกัดหรอ”
“ประมาณนั้นเเหละ เเล้วเหมือนว่าพวกมอนเสตอร์ซอมบี้จะเข้าโจมตีมนุษย์ก่อนด้วย”
มิโยชิทำหน้ายี้ “รุ่นพี่มั่นใจนะว่าเราจะไม่เป็นไร”
ถึงจะมีผู้หญิงไม่น้อยที่ชอบหนังซอมบี้ก็เถอะ เเต่ส่วนมากคงไม่มีใครชอบของจริงหรอก
“จากที่ได้ยินมา ซอมบี้กับสเกลเลตอนจะมีอยู่ทั้งวัน เพราะฉะนั้นฉันจะใช้พวกมันเพิ่มจำนวนการฆ่า ตอนกลางวันฉันจะไปล่าโมโนอาย ส่วนตอนกลางคืนก็จะไปล่าบาร์เกสต์”
“คิดว่าเวทน้ำจะใช้ได้ผลไหม”
“ฉันมีINTตั้ง100 ถ้าเกิดมันไม่ป้องกันเวทย์โดยสิ้นเชิง ก็น่าจะใช้กำลังจัดการได้ อย่างน้อยๆก็คิดไว้อย่างนั้นนะ”
“เเล้วฉันล่ะ”
“ถ้าเวทน้ำไม่ได้ผลก็ใช้บอลเหล็กสิ”
“เข้าใจเเล้ว บอลเหล็กน่าจะได้ผลดีกับพวกสเกลเลตอน”
“ใช่ เเค่อย่ากระสุนหมดก็พอ”
มิโยชิยืดอกเเละยิ้มกว้าง “สโตเรจสามารถเห็บรสบัสได้ 20 คันเลยใช่ไหม พอเห็นว่ามันมีความจุเยอะขนาดนั้นเเล้ว ฉันก็ไปซื้อมาหนึ่งหมื่นลูกจาก ฟุนาเบะ เซโกะ รวมทั้งหมดเเล้ว 20 ตันเลยนะ”
ถ้าใช้วอลท์ ผมสามารถเก็บได้ประมาณ 500 ลูกเท่านั้นเองอย่างมาก ผมอาจจะต้องขอให้มิโยชิเเบ่งมาสักหน่อย
มิโยชิหัวเราะ “วางใจฉันได้เลย เเต่ว่าเรามีปัญหานิดหน่อย บริษัทบอกมาว่าไม่สามารถส่งสินค้าทั้งหมดให้ได้ภายในทีเดียวน่ะ”
“ปัญหาใหญ่เลยไม่ใช่เรอะ!”
“ก็นะ ถ้าสินค้าล๊อตเเรกที่มาส่งมีจำนวนเยอะหน่อยก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ถ้ากระสุนไม่พอจริงๆ เราไปหาเวทไฟจากเลสเซอร์ซาลามันดอร่าที่ชั้นสิบเอ็ดก่อนไหม ถึงไม่เเน่ใจก็เถอะว่ามันจะมีเวทย์ไฟจริงๆ”
“น่าจะดรอปนะ งั้นเรารีบไปกันเลยไหม ยังมีพวกเสบียงเหลืออยู่จากครั้งที่เเล้วอยู่ด้วย”
“หา ตอนนี้เลยหรอ ไม่ได้หรอก วันนี้เราจะได้รับคำตอบจากJDAนะ จำได้ไหม”
“อ้อ จริงด้วย จะว่าไป ฉันไม่ได้บอก JDAนะว่าเรามีออร์บภาษาต่างโลกสองลูก”
“นารุเสะก็ไม่ได้บอกหรอ”
“ไม่ได้บอก”
“เธอจะต้องร้องไห้เเน่ถ้ารู้”
ผมยักไหล่ “ไม่ช้าก็เร็ว เดี๋ยวออร์บเข้าใจภาษาต่างโลกจะต้องโผล่มามากขึ้นเเน่ๆ ตัวดันเจี้ยนเองวางแผนเอาไว้เเล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องรีบไถเงินจากรัฐบาลให้เยอะที่สุด ในฐานะของราชินีการค้า”
“ในฐานะของราชินีการค้า นี่เป็นทางของฉันล่ะ!”
“ถูกต้อง!”
เราสองคนหัวเราะกันอย่างชั่วร้าย เหมือนช่วงหลังมานี้ผมได้รับอิทธิพลมาจากท่านราชินีไม่น้อย ต้องระวังซะเเล้วสิ
ผมทำท่าไอกระเเฮ่มเพื่อควบคุมตัวเอง “หลังจากที่เราขายออร์บลูกนึงเเล้ว เราค่อยมอบอีกอันให้นารุเสะ โอเคไหม”
คนสองคนที่มีสกิลภาษาต่างโลกอาจจะอ้างถึงเรื่องคนละอย่างกันก็ได้ เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าฝ่ายไหนพูดจริง เราจึงต้องให้ออร์บลูกที่สามกับนารุเสะไป ผมตั้งใจจะบอกเธอว่า “ชะตาของโลกนี้อยู่ในมือเธอเเล้วนะ” สถานการณ์มันก็เหมือนกับมีพรรคการเมืองสองพรรคกำลังเเย่งชิงความเป็นใหญ่ เเล้วอยู่ๆก็มีพรรคขนาดเล็กกว่าเเทรกขึ้นมาตรงกลาง ผมหวังว่านารุเสะจะทำได้ดีนะเพราะเสียงของเธอจะเป็นตัวตัดสินในเรื่องนี้
“เอาจริงๆมันฟังดูเหมือนเป็นเเค่เจตนาร้ายมากกว่าเป็นผู้ร้ายนะ เเต่ตอนประมูลครั้งที่สองเธอทำเงินให้JDAไปตั้ง สองพันสี่ร้อยล้านเยน เเค่นี้เธอจัดการได้อยู่เเล้ว” มิโยชิพูด
เอ่ออ เธอรู้ใช่ไหมว่านั่นไม่ใช่เงินของนารุเสะนะ
พอผมคิดเเบบนั้นก็มีเสียงกริ่งดังขึ้น
“ตายยากจริงๆ” มิโยชิพูด
เธอตรวจสอบคอมพิวเตอร์ว่าใครมาจากกล้องที่ติดอยู่ที่ทางเดิน
มิโยชิปลดล็อคประตู “นารุเสะ เข้ามาได้เลย”
***
วันนี้นารุเสะดูท่าทางนอบน้อมมาก เธอเข้ามาในบ้านเเละก้มหัวให้พวกเรา
“ขอโทษด้วยนะคะ!” เป็นคำเเรกที่ออกจากปากเธอ
“เดี๋ยวก่อนสิ อยู่ดีๆก็มาขอโทษเลย ฉันยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น” ผมพูด
เธอเงยหัวขึ้นมา ยังมีสีหน้าสำนึกผิดอยู่ เเล้วเธอก็เริ่มพูด เหมือนเเต่ละคำที่พูดออกมามันยากเย็นเหลือเกิน “ตอนนี้ ถึงพวกคุณจะหาออร์บแปลภาษามาได้ พวกเราก็ไม่มีงบที่จะซื้อค่ะ”
ผมประหลาดใจเล็กน้อย ผมไม่คิดว่าJDAจะยอมทิ้งโอกาสของตัวเองในการครอบครองออร์บนี้ ผมคิดว่าพวกเขาจะต่อรองราคาให้เหลือถูกที่สุดซะอีก เเต่ทว่าJDAกลับละทิ้งประโยชน์ของชาติ พวกเบื้องบนรู้เรื่องนี้รึเปล่า
“นั่นเป็นการตัดสินใจที่…กล้าหาญดีนะ ฉันไม่คิดว่ารัฐบาล SDF กับรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทจะเห็นด้วยกันทั้งหมดหรอก”
นารุเสะกระสับกระส่าย เหมือนเธอมีอะไรบางอย่างจะพูดเเต่ไม่กล้าพูด หรือเรื่องมันมีมากกว่านี้นะ
“เธอรู้อะไรมาอีกล่ะ เรื่องพวกนี้มันไม่ได้มาจากเธอเองนะ ไม่ต้องกลัวที่จะพูดขนาดนั้นก็ได้”
เธอเปลี่ยนท่าทางเป็นเหมือนคนปลงเเล้ว เเละเริ่มพูด “พวกเขาพูดเเบบนี้ค่ะ ถ้าพวกคุณทั้งสองคนเป็นคนญี่ปุ่นที่จงรักภักดี คุณต้องมอบออร์บให้รัฐฟรีๆค่ะ”
เวรเอ๊ย เป็นคำพูดที่สั่นคลอนพื้นฐานของทุนนิยมจริงๆ ผมน่าจะรู้ตั้งเเต่เเรกเเล้ว!
“ใครเป็นคนพูดเรื่องบ้าๆนี่” ผมถาม
“คนที่พูดประโยคเมื่อสักครู่คือ ผู้อำนวยการมิซุโฮะค่ะ”
ไอเเก่นั่นที่พยายามจะบังคับเราให้ขายเทคโนโลยีรักษาออร์บในราคาสิบล้านเยนน่ะหรอ ทำไมคนเเบบนั้นถึงได้มาตัดสินใจในเรื่องเขย่าโลกนี้กันนะ
“ทำไมไอโง่คนนั้นถึงรู้เรื่องนี้ได้ล่ะ” มิโยชิถาม
ว้าว เธอพูดตรงๆเลยเเหะ เเต่นั่นเเหละ เขาเป็นไอโง่จริงๆ
“หลังจากที่ไซกะบอกเรื่องนี้กับเบื้องบน หน่วยงานดันเจี้ยนกับกระทรวงการคลังก็มาประชุมกันที่ JDAค่ะ เหมือนว่ามิซุโฮะจะเข้าร่วมการประชุมของผู้บริหารด้วย”
“ผู้บริหารหรอ อย่างน้อยๆก็น่าจะเป็นรองนายกรัญมนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนะ ทำไมเรื่องนี้ถึงได้อยู่เเค่ระดับผู้บริหารล่ะ”
“จากที่ได้ยินมา มิซุโฮะได้ไปพูดกับคนรู้จัก ก็เลยได้ไฟเขียวให้มาจัดการประชุมค่ะ”
จริงดิ ถึงผมจะเรียกเขาว่าเป็นไอโง่ก็เถอะ เเต่เขาจะไม่มีหัวคิดถึงขนาดนี้เลยหรอ ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเป็นถึงผู้บริหารได้
“เเล้ว ตอนมิซุโฮะพูดถึงเรื่องนี้ในที่ประชุม พวกหน่วยงานอื่นๆกับกระทรวงพวกนั้นก็เห็นด้วยหรอ”
“ใช่ค่ะ”
ผมต้องถามหน่อยล่ะ – ญี่ปุ่น – มันจะดีจริงๆหรอที่จะให้พวกผู้บริหารมาตัดสินใจเรื่องนี้ สำนักความปลอดภัยสาธารณะไม่ได้มาเกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำ ผมจะต้องเล่าให้สายลับทานากะฟังทีหลังซะเเล้ว
“ฉันมีหนทางอยู่ ถึงเราจะอยากให้ญี่ปุ่นเป็นคนซื้อออร์บนี้ไป เเต่พวกเขาก็ไม่เหลือตัวเลือกให้เราเลย มิโยชิ”
“ว่าไง”
“เอาออร์บไปประมูลกัน”
“เอาจริงหรอ คิดว่าจะดีหรอ”
ผมพยักหน้า “เพราะการประชุมนั่นจัดขึ้นโดยไม่ได้มีความระมัดระวังเเม้เเต่นิดเดียว รายละเอียดน่าจะรั่วไหลออกมาเเล้วล่ะ ฉันคงไม่เเปลกใจถ้าเกิดมีองค์การต่างๆมาสืบข้อมูลของเราในตอนนี้เเล้ว เรื่องนี้จะต้องทำให้มหาอำนาจของโลกจะต้องสั่นคลอน ฉันไม่เชื่อเลยว่าญี่ปุ่นจะเลือกทำเเบบนี้”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ” นารุเสะพูด
“ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก เเต่ฉันขอถามหน่อย จุดประสงค์ของการประชุมนั่นคือเพื่อตัดสินใจว่าญี่ปุ่นจะทำอย่างไรหลังจากเราหาออร์บเจอใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ อย่าบอกนะว่าคุณหา-”
ผมเอานิ้วชี้ไปไว้ที่ริมฝีปากตัวเอง หยุดไม่ให้เธอพูดจนจบ
“มิโยชิ”
“อื้อ”
“หลังจากที่เริ่มการประมูลเเล้ว เราจะไปซ่อนตัวจนการประมูลจบ”
ผมคงทนไม่ได้ถ้าหากมีองค์กรหลายๆองค์กรมาเข้าหาเรา พวกเรามีศัตรูมากมายทั้งๆที่เรามีกันเเค่สองคน สุดท้ายเเล้วเราก็คงทนไม่ไหว บางประเทศนั้นเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ซะด้วย
“เอาจริงหรอ เหมือนสถานการณ์จะเริ่มเดือดขึ้นมาเลย”
ผมส่ายหัว “ถ้าเธอยังไม่เครียดฉันก็โล่งใจอยู่”
เเต่ถ้าเราออกเดินทาง เราน่าจะถูกสะกดรอย เเล้วถ้าโดนเจอตัว ผมว่าเราไม่น่าจะหนีพ้น
“ในดันเจี้ยนน่าจะปลอดภัยที่สุด” ผมพูด
“ถ้าเป็นอย่างนั้น เเผนที่เราคิดไว้เมื่อกี้ก็เอามาใช้เลยก็เเล้วกัน” มิโยชิพูด
ตามหาสกิลประเมินกับเสริมเเก่งมิโยชิสินะ
“ดีนี่”
นารุเสะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “เอ่อ…ถ้าพวกคุณไปดันเจี้ยนตอนนี้ คนอื่นจะไม่สงสัยหรอคะว่าพวกคุณจะพยายามไปตามหาออร์บ”
“เพราะเเบบนั้นเเหละ ประเทศที่ไม่มีออร์บจะได้ไม่ทำอันตรายกับเรา อย่างน้อยก็จนกว่าจะยืนยันได้ว่าพวกเรากำลังมุ่งไปที่ไหน”
เรื่องนี้ก็เป็นมาตรการป้องกันอย่างนึง เเย่หน่อยที่มันไม่น่าจะได้ผลกับรัสเซียที่เป็นประเทศเดียวที่มีสกิลนี้ในครอบครอง เเต่ว่านักสำรวจระดับหัวกะทิของพวกเขาไม่ได้มาที่ญี่ปุ่น หวังว่าพวกรัสเซียที่อยู่ตอนนี้จะเป็นพวกชั้นสองนะ
“นารุเสะ ถ้าเธออยากจะออกจากJDAหลังจากนี้ มาอยู่กับฉันก็ได้นะ”
“เอ๊ะ คุณกะ-กะ-กะ-กำลังขะ-ขอฉันเเต่งงานหรือคะ”
“เอ่อ..เปล่า…”
มิโยชิพ่นลม “จูบเธอเลยสิ รุ่นพี่”
ผมไม่สนใจที่เธอล้อเเล้วพูดต่อ “พอธุรกิจที่เธอจะทำกับมิโดริเริ่มต้นเเล้ว เธอตั้งใจจะสร้างบริษัทใช่ไหมล่ะ”
“ใช่ ฉันไม่อยากจะจ่ายค่าภาษีดันเจี้ยนเท่านั้นเเหละ”
“ถึงตอนนั้นเธอจะต้องการพนักงานที่เชื่อใจได้”
“ใช่เเล้ว พอมาคิดดูนะ เธอเหมาะมากเลยนารุเสะ หมายถึงว่า เธอเป็นพี่สาวของมิโดริด้วย เเถมเราก็มีเงินเยอะ จ่ายเงินเดือนได้สูงเลยนะ”
“เเต่ต้องหลังจากเริ่มธุรกิจเเล้วนะ” ผมเสริม
“ฉันคิดว่าต้องสำเร็จเเน่นอน!”
นารุเสะพยักหน้า “เเล้วฉันจะลองเอาไปคิดดูนะคะ”
พอเธอตอบ ผมก็ตบมือเป็นสัญญาณเเล้วพูดกับมิโยชิ “เอาล่ะ งั้นมาเริ่มการประมูลในวันขอบคุณพระเจ้ากันเลย นี่จะเป็นของขวัญจากดี-พาวเวอร์สู่มนุษยชาติ!”
“เอ่อ…อะไรนะ”
“เป็นอะไรล่ะ ยังทันเวลาสำหรับวันขอบคุณพระเจ้านี่”
ในอเมริกา วันขอบคุณพระเจ้าจะเป็นวันพฤหัสที่สี่ของเดือนพฤจิกายน
“เอ่อ โยชิมูระคะ” นารุเสะพูด เธอยืกยักเหมือนลังเล “วันเเรกของเดือนนี้เป็นวันพฤหัส เพราะงั้น..”
ไม่…อย่าบอกนะว่า
“รุ่นพี่ พฤหัสที่สี่มันสัปดาที่เเล้ว!”
“โอ้พระเจ้า” ผมอุทานเป็นภาษอังกฤษ “เร็ว ใครสักคนไปหาไก่งวงมาเร็ว”
มิโยชิถอนหายใจ “ถึงจะทำตัวเป็นคนอเมริกัน เเต่วันขอบคุณพระเจ้ามันจบไปตั้งนานเเล้ว”
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนญี่ปุ่นอย่างผมจะจำวันขอบคุณพระเจ้าผิด
“ปัดโธ่! ถ้างั้น วันที่ 28 เป็น… วันที่มัลริทาเนียประกาศอิสระภาพจากฝรั่งเศส!!”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับอเมริกาเลย!”
“ถ้าอย่างงั้น เป็นวันครบรอบการออกอากาศครั้งเเรกที่รัดเวีย อเมริกันสุดๆเลย ถ้าได้หนูหนัง บลูบราเธอร์สนะ”
“โอเค โอเค จะทำอะไรก็ทำเถอะ เเต่จะให้การประมูลเริ่มวันที่ 28 ใช่ไหม”
เราต้องการสองวันเพื่อให้เป็นที่รู้กันไปทั่ว
“ฉันจะให้เวลาทั้งวันประกาศให้ทั้งโลกรู้ เเต่บอกไว้ก่อนนะ…”
“ว่า”
“วันที่ 28 ที่จริงเเล้วเป็นวันพุธล่ะ” มิโยชิหัวเราะคิกคัก
“พอได้เเล้ว….”
สุดท้ายเเล้วการประมูลก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการขอบคุณพระเจ้า เพราะมันช้าไปหนึ่งอาทิตย์ เเต่เเล้วไงล่ะ
“งั้น พอเราประกาศเรียบร้อยเเล้ว…” ผมพูด
“เราจะหนีไปที่โยโยกิดันเจี้ยน” มิโยชิต่อให้จบ “จะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะซื้อของราคาเเพงเป็นการเตรียมตัวสักหน่อย”
“จะใช้เท่าไรก็ใช้ไปเลย”
“เเบบนี้เเหละถึงจะหาเเฟนสาวได้”
ผมหน้าเบ้ “ใช่ เเต่ไม่ใช่เเบบที่ฉันอยากได้หรอกนะ”
เเต่ว่า การเอาเงินไปฟาดซื้อไวน์เเล้วไปนั่งกินกับสาวนิ่งดริงค์ก็น่าสนุกเหมือนกัน เเต่ผมก็ไม่เคยไปหรอกนะ
“เราจะไปซ่อนตัวในดันเจี้ยนจนกว่าจะจบการประมูล เเต่ว่าเราจะตกอยู่ในอันตรายที่สุดตอนที่-”
“วันก่อนที่จะสิ้นสุดการประมูล ตอนที่เรากำลังจะไปส่งมอบออร์บ” มิโยชิต่อ
ผมพยักหน้าเห็นด้วย ตอนส่งมอบออร์บ เราจะต้องมีออร์บอยู่เเน่นอน ถ้าเกิดมีศัตรูอยากจะปล้นออร์บเราไป ก็ต้องเป็นตอนนั้นเเหละ
“ก็นะ การไล่ล่ากลางเมืองเป็นฉากที่ดีที่สุดในหนังนี่นะ” ผมพูด
นารุเสะพูดตอบผมที่กำลังตื่นเต้นจนเกินเหตุ “เอ่อ ถ้าเป็นเเบบนั้นโตเกียวก็จะกลายเป็นสนามรบของทหารที่จะพยายามเเย่งชิงออร์บ ขอร้องล่ะ ระวังตัวกันด้วยนะคะ”