ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 27 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (3)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 27 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (3)
“มอนสเตอร์พวกนี้มันอะไรกันเนี่ย ไม่มีทางจะเป็นเชิจกริมเเน่ๆ!”
ชายคนหนึ่งกำลังเหวี่ยงพลองยาวสองเมตรครึ่ง ทำให้ศัตรูต้องล่าถอยออกมา ถึงมันจะมีขนาดใหญ่ เเต่ขนสีดำสนิทของมันนั้นก็กลืนไปกับความมืดรอบๆ เหลือเพียงเเค่ดวงตาสีแดงกับเขี้ยวเท่านั้นทีเป็นตัวบอกตำเเหน่ง
“จะไปรู้เรอะ” ชายร่างใหญ่คนหนึ่งตะโกน “ปกติเชิจกริมจะมาเเค่ตัวเดียวนี่นา เเต่เจ้านี่มัน โธ่เว๊ยย!”
มอนสเตอร์สีดำนั้นจู่โจมเข้ามาเป็นฝูง ชายคนนั้นฟันมันด้วยดาบสองมือ
“ฉะ-ฉันรู้มาว่าเฮลฮาวด์จะจู่โจมกันเป็นฝูงนะ” ชายถือพลองบอก
ด้านหลังชายสองคนนี้ มีชายร่างเล็กที่บาดเจ็บหนักนอนสลบอยู่ หญิงคนที่กรีดร้องมาอย่างต่อเนื่องนั้นเริ่มใจเย็นลงได้บ้าง เธอกำลังพยายามห้ามเลือดให้ชายที่หมดสติ
“ไม่ใช่ว่าเจ้าพวกนั้นอยู่ชั้น8กันหรอ” เธอพูด “เเล้วถ้าเป็นเฮลฮาวด์จริง หรือว่าจะมีบาร์เกสต์อยู่ด้วย?”
“หมอกดำนี่อยู่ๆก็โผล่มาด้วย”
“ชายสองคนที่ต่อสู้อยู่นั้นมองหน้ากัน”
“เฮ้ มิชิโระ ทิ้งโชตะไว้ที่นี่เถอะ” ชายคนเเรกพูดขึ้น
“หา? เธอพูดอะไร…”
“ถ้าไอนั่นมันเป็นบาร์เกสต์จริง มันจะมีเฮลฮาวด์อีก 8 ตัวอยู่ด้วย เราจัดการมันทั้งหมดไม่ได้เเน่ ไม่รู้ว่าจะหนีพ้นรึเปล่าด้วยซ้ำ”
“เธอเข้าใจที่เราพูดใช่ไหม” ชายอีกคนถาม
พวกเฮลฮาวด์กำลังดูท่าทีอยู่ห่างๆ ไม่ยอมโจมตีเข้ามา พวกมันเเยกเขี้ยวยิ้มเหมือนกับลังสนุกกับการโต้เถียงของมนุษย์
“บ-บ้าไปเเล้ว เธอจะให้ฉันทิ้งน้องชายตัวเองเเล้วหนีไปงั้นหรอ!” มิชิโระตะโกน
“ถ้าอยากจะตายไปด้วยกันก็เชิญเลย”
พอพูดเสร็จ ชายสองคนนั้นก็หนีไป
มิชิโระทรุดตัวลงกับพื้น เธอตะโกน “ไม่ อย่านะ รอเดี๋ยว อย่าทิ้งฉันไป”
ทั้งสองคนนั้นไม่ได้หันหลังกลับมา เเละข้างหลังเธอนั้นก็มีเสียงขู่ดังขึ้นหลายเสียง เธอกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจเเละหยิบลูกธนูขึ้นมาขึ้นสายกับธนูคอมพาวน์เตรียมยิง
เธอหันมาปล่อยลูกธนูใส่ตาของเฮลฮาวด์ตัวนึงที่กำลังโจมตีเข้ามา ถึงเสียงโหยหวนของมันจะทำให้เธอพอใจอยู่บ้าง เเต่พวกมันอีกสามตัวกำลังใกล้เข้ามา กรงเล็บของมันจะถึงตัวเธออีกในไม่กี่วินาที
เธอยอมเเพ้เเละหลับตา ความเจ็บปวดนั้นไม่ได้เข้ามาโจมตีเธอ เเต่ได้ยินเสียงเฉอะเเฉะเเทน พอเธอเปิดตาดูด้วยความกลัวก็เจอกับเเผ่นหลังของชายคนนึง เขาใส่อุปกรณ์ของมือใหม่ กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
“เดินไหวไหม?” เขาถามโดยไม่หันหลับมามอง
***
ทำไมผมต้องเจอเเต่ปัญหาตลอดด้วยนะ ค่าLUCก็สูงเเล้วนี่นา ผมอยากจะตะโกนบอกให้ค่าสเตตัสทำงานสักหน่อย
“เดินไหวไหม” ผมถามผู้หญิงคนนั้น
เธอมองชายที่หมดสติอยู่ข้างๆเป็นคำตอบ เขามีบาดเเผลฉกรรจ์ที่เเขน
“เธอปลุกให้เขาตื่น ตรงนั้นจะมีลำธารอยู่ ให้วิ่งไปจนกว่าจะข้ามลำธารนั่น” ผมชี้ไปทางที่ผมมา
จากตำนานของมัน บาร์เกสต์นั้นไม่สามารถข้ามน้ำไหลได้ จนถึงตอนนี้ดันเจี้ยนนั้นถูกออกเเบบมาให้อิงตามตำนานของโลกมนุษย์ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่น่าจะข้ามลำธารได้เช่นกัน
“เเล้วคุณล่ะ” เธอถาม
“ฉันจะอยู่ที่นี่จัดการลูกสุนัขพวกนี้หน่อย”
“ฉันจะช่วยส-”
“เกะกะเปล่าๆ”
เธอดูหมดกำลังใจไปชั่วขณะหนึ่ง เเต่พอเห็นร่างของเฮลฮาวด์ไร้หัวที่กระจายอยู่รอบบริเวณ เธอก็พยักหน้า อย่าน้อยเธอก็ตัดสินใจได้ดีล่ะนะ จะว่าไป ทำไมศพมอนสเตอร์พวกนี้มันไม่หายไปล่ะเนี่ย
ผู้หญิงคนนั้นหยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อเเล้วเอาให้ชายที่สลบอยู่ดม ชายคนนั้นร้องครวญครางเเละกลับมาได้สติอีกครั้ง หลังจากนั้นทั้งสองคนก็คุยกัน ฝ่ายชายพยักหน้าเเละลุกขึ้นยืน ถึงเขาจะยังร้องโอดโอยอยู่เเต่ก็เหมือนว่าจะยังยืนได้
“ไปสิ” ผมบอกเเละชี้ไปที่ลำธาร
ทั้งสองคนเริ่มลากขาเดินไปที่ทางนั้น มีเฮลฮาวด์สี่ตัวพยายามจะไล่ตามทั้งสองคนไป เเต่ว่ากรงเล็บของพวกมันก็ไม่สามารถไปถึงพวกเขาได้เพราะหอกน้ำของผมจัดการพวกมันเสียก่อน ผมโล่งใจที่หอกน้ำของผมยังใช้ได้ผลกับมอนสเตอร์ระดับนี้ ผมที่รู้สึกสบายใจขึ้นจึงกลับมาบอกจำนวนมอนสเตอร์ที่กำจัดไปกับมิโยชิ
“รุ่นพี่ฟังดูไม่เป็นกังวลเลยนะ”
“ก็นะ เวทมนตร์มันยังใช้ได้อยู่นี่นา”
“ฉันกำลังดูลาดเลาจากบนฟ้าผ่านโดรน ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างใหญ่ๆอยู่ข้างหน้านะ”
“น่าจะเป็นบาร์เกสต์ ฉันได้ยินเสียงลากโซ่อยู่”
พอเฮลฮาวด์ถูกกำจัด เสียงโซ่ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ผมยังได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ร้ายจากความมืดด้านหน้าอีกด้วย ในขณะเดียวกันนั้นก็มีวงเเหวนเวทย์ 9 วงปรากฏขึ้นที่พื้น เเละก็มีเฮลฮาวด์ปรากฏขึ้นมาใหม่ตามจำนวนวงเเหวนเวทย์นั้น
“โอ้ วันนี้เป็นวันโชคดีของฉันรึเปล่าเนี่ย”
“ทำไมล่ะ” มิโยชิถาม
พอมีเฮลฮาวด์ถูกซัมมอนออกมาตรงหน้า ผมก็เหมือนถูกครอบงำไปด้วยกิเลสของราชินีการค้า ระหว่างที่ช่วยชายหญิงสองคนนั้น ผมก็จัดการเฮลฮาวด์ไปเเล้ว 7 ตัว รวมทั้งหมดเป็น 76 ตัว พูดง่ายๆคือผมต้องจัดการลูกกระจ๊อกอีก23ตัว จากนั้นก็จัดการบาร์เกสต์เเละรอรับของรางวัลได้เลย
“คงต้องจริงจังสักหน่อยเเล้ว”
ผมถือโทมาฮอคด้วยมือทั้งสองข้างเเละเผชิญหน้ากับเฮลฮาวดฺ์ทั้ง 9 ตัว ก่อนที่พวกมันจะเข้ามาประชิด ผมใช้หอกน้ำระเบิดหัวของพวกมันอย่างต่อเนื่อง
เหลือเเค่ 14 ตัว!
พอเฮลฮาวด์อีก 9 ตัวที่พึ่งเรียกออกมาใหม่พบกับชะตากรรมเดียวกันกับพวกก่อนหน้า บาร์เกสต์นั้นก็ร้องขู่เเละพุ่งเข้าหาผม ตาสีเเดงของมันลอยอยู่กลางอากาศ ถึงมันเป็นสัตว์สี่ขาเเต่ก็น่าจะสูงเกือบ 3 เมตร
“เฮ้ เเล้วอีก 5 ตัวล่ะ รีบๆเรียกพวกมันออกมาก่อนเซ่!”
ผมมองซ้ายมองขวาพยายามจะหาออร์คหรือไนท์วูลฟที่อาจจะผ่านไปผ่านมา เเต่เหมือนหมอกหนานี้จะเป็นอาณาเขตของบาร์เกสต์ ถึงผมจะใช้สกิลตรวจจับสิ่งมีชีวิต เเต่ก็ไม่เจอมอนสเตอร์ที่อยู่ใกล้ๆเลย
กรงเล็บทรงพลังฟาดผ่านข้างตัวของผมไป ถึงมันจะดูเป็นเหมือนภาพช้าสำหรับผม เเต่มันก็ยังน่าเสียวไส้อยู่ดี ผมใช้โทมาฮอคที่ถืออยู่ในมือขวาฟันใส่ขาหลังของมันสุดเเรง มันกะเผลกหนีจากผมเเละเริ่มซัมมอนมอนสเตอร์ชุดใหม่ออกมา
“มันต้องอย่างงี้สิ!”
หวังว่าจำนวนหนึ่งร้อยจะนับจากลำดับที่ฆ่าได้ ไม่ใช่ลำดับที่โจมตีนะ ระหว่างที่ภาวนาอยู่นั้น ผมก็จัดการเฮลฮาวด์อีก 5 ตัวที่ใกล้เข้ามา ผมขยับหลบเฮลฮาวด์ที่เหลือเเละพุ่งเข้าไปด้านหน้าของบาร์เกสต์เเละก็ประเคนลูกเหล็กขนาด 8 เซ็นติเมตรใส่หัวของมันอย่างต่อเนื่อง
พอบอลลูกที่สามพุ่งเข้าใส่กรามด้านล่างจนทะลุหัวของมัน ตัวมอนสเตอร์ก็ล้มลงเสียงดังตุ๊บ
“อะ-อะไรกัน!”
หน้าต่างเลือกออร์บไม่ยอมโผล่ออกมา
“อย่าบอกนะว่ามันเรียกตามลำดับที่โจมตีน่ะ!”
ผมทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างสิ้นหวังถึงเเม้จะมีเฮลฮาวด์อีกสี่ตัวกำลังพุ่งเข้ามา พอผมคิดว่าจะยอมเเพ้ บาร์เกสต์ที่ล้มอยู่กับพื้นก็ส่งเสียงร้องออกมา
“อ๋อ มันยังไม่ตายนี่เอง”
ผมหลบการโจมตีของเฮลฮาวด์เเละยิงหอกน้ำหลายอันใส่บาร์เกสต์ พออันที่4ทิ่มไปที่เป้าหมาย รายการคุ้นตาก็ปรากฏขึ้นที่ตรงหน้า ผมกลั้นหายใจ ลืมเอลฮาวด์อีก 4 ตัวไปชั่วขณะ
สกิลออร์บ : เข้าใจภาษาต่างโลก | 1 / 1,000
สกิลออร์บ : เวทมนตร์ความมืด ( VI ) | 1 / 2,000,000
ผมจัดการเฮลฮาวด์ที่เหลืออีก 4 ตัวด้วยหอกน้ำ ทันใดนั้นหมอกก็จากหางไป มอนเสตอร์ที่ถูกกำจัดไปก็หายไปเหมือนปกติ ดูเหมือนว่าเวลาสู้กับบอส คุณจะสามารถเก็บดรอปไอเทมได้หลังจากที่จัดการบอสได้เเล้วเท่านั้น
“รุ่นพี่ ฉันเห็นว่าหมอกหายไปเเล้ว เเต่ว่ารุ่นพี่เป็นอะไรไหม”
“มิโยชิ รายการออร์บของบาร์เกสต์น่ะ..” พอผมกำลังเริ่มอธิบาย ก็มีออร์บสีรุ้งปรากฏขึ้นตรงหน้าผม
“เอ่อ.. อะไรเนี่ย”
รายการเลือกออร์บจากเมคกิ้งก็ยังเปิดอยู่ เเสดงว่านี่เป็นดรอปไอเทมสินะ ผมสัมผัสออร์บเเละพบว่ามันคือ ออร์บทำความเข้าใจภาษาต่างโลก
ลืมที่พูดไปเมื่อกี้นะLUC นายทำหน้าที่ได้ดีมาก!
“รุ่นพี่ เกิดอะไรขึ้น”
“โอ้ กล้องเธอยังใช้ได้อยู่ไหม บาร์เกสต์ดรอปออร์บมาน่ะ”
“หรือ ออร์บอะไรล่ะ”
“จงฟังเเละบูชาซะ ออร์บทำความเข้าใจภาษาต่างโลกไงล่ะ”
“จริงหรอ!!”
เธอฟังดูตกใจอย่างที่คิดไว้ เเต่ว่าถ้าดูจากรายการเเล้ว ออร์บเเปลภาษาต่างโลกนั้นมีอัตราดรอปอยู่ที่หนึ่งในหนึ่งพัน ถ้าดูจากข้อมูลตรงนี้ก็เเสดงว่าบอสอื่นๆนั้นน่าจะมีโอกาสดรอปออร์บนี้ได้เหมือนกัน มันเหมือนกับว่าดันเจี้ยนนั้นพยายามจะให้มนุษยชาตินั้นอ่านจารึกนั่นให้ได้ สักวันนึงเราน่าจะเห็นออร์บนี้ดรอปออกมาเยอะขึ้น
“เราควรจะเลือกออร์บนี้มาอีกอันเเล้วโก่งราคาซะดีมั้ย หรือว่าจะเลือกเวทมนตร์ความมืดดี” ผมถาม
“รุ่นพี่ เเสดงว่าออร์บภาษาต่างโลกก็มีให้เลือกในรายการด้วยหรอ”
“ใช่ มีโอกาสดรอปหนึ่งในพัน”
“ไม่ว่ารายการที่เหลือจะเป็นอะไร รุ่นพี่ต้องเลือกออร์บเเปลภาษานะ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม” มิโยชิสั่ง
“ทำไมล่ะ เรามีที่ดรอปมาเเล้วลูกนึงด้วยนะ”
“ฟังนะ ถ้ามีเเค่ 2 คนในโลกที่มีสกิลนี้ จะต้องมีการโต้เถียงกันไม่รู้จบเเน่ๆว่าใครเป็นฝ่ายถูก”
เข้าใจละ เธอพูดถูก
ถ้าดูจากความสามารถของบอสบาร์เกสต์ เวทความมืด 6 นั้นน่าจะสามารถเรียกหมอกเเละซัมมอนเฮลฮาวด์ได้ เเต่ว่าบาร์เกสต์ธรรมดาก็สามารถใช้ความสามารถพวกนี้ได้เหมือนกัน เเสดงว่าพวกบาร์เกสต์ที่ไม่ใช่บอสก็น่าจะดรอปออร์บเเบบเดียวกันนี้ด้วย
“ถ้ารุ่นพี่ไม่ยอมเลือกออร์บเเปลภาษา ฉันจะบีบคอรุ่นพี่เเน่ๆ”
“โห นี่เป็นเดดเเฟลคของฉันหรือเนี่ย”
ผมหัวเราะเเละเลือกออร์บเข้าใจภาษาต่างโลกจากกรายการ โชคดีที่มือผมไม่ลื่น ตอนนี้เรามีออร์บภาษาต่างโลกสองลูกเเล้ว
เเถมรอบตัวผมก็ยังมีไอเทมดรอปอยู่อีกด้วย ไม่ว่าคุณจะกำจัดมอนสเตอร์ที่ไหน ดรอปไอเทมจะปรากฏอยู่รอบๆตัวเสมอ เเละพอสัมผัสมัน คุณก็จะรู้ชื่อของไอเทมได้ ออร์บก็จะเป็นเเบบเดียวกัน
ฮีลลิ่งโพชั่น (5) x2
เคียวโพชัน (7)
เขี้ยวเฮลฮาวด์ x8
หนังเฮลฮาวด์ x3
ลิ้นเฮลฮาวด์
หินเวทย์เฮลฮาวด์ x8
หนังของฮาวด์เเห่งเฮคาเต้
เขาของฮาวด์แห่งเฮคาเต้
หินเวทย์ของฮาวด์แห่งเฮคาเต้
“วัตถุดิบกับไอเทมงั้นหรอ ไม่เคยเห็นพวกนี้เลยนะ ว่าเเต่ทำไมมอนสเตอร์จากต่างโลกถึงอ้างอิงจากเฮคาเต้ล่ะเนี่ย”
ผมไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่รู้สึกตอนนี้ยังไง ก็เลยเอาทุกอย่างเก็บใส่วอทต์
***
ผู้หญิงที่ถือธนูกำลังเรียกผมจากอีกฝากของลำธาร
“คุณเป็นอะไรไหมคะ”
“หือ อ๋อ ไม่เป็นไรๆ” ผมยิ้มเเหยๆเเล้วล้างมือในน้ำ “ว่าเเต่เพื่อนร่วมทีมของเธอเป็นยังไงบ้าง”
ผมกระโดนข้ามลำธารเเละเข้าไปหาทั้งสองคน ชายคนนั้นนอกตะเเคงอยู่ เหงื่อออกท่วมตัว เเขนของเขาสภาพย่ำเเย่มาก
“ฉันห้ามเลือกเอาไว้เเล้ว เเต่ว่า…” เธอพูดไม่จบเเละหันไปมองชายคนนั้นด้วยความเป็นห่วง
พวกเขาเป็นคู่รักกันรึเปล่านะ
ผมสองจิตสองใจเลือกไม่ถูก ผมคิดว่าจะฝากพวกเขาไว้กับกลุ่มที่อยู่บริเวณทางเข้าชั้น 5 เท่านั้น โดยไม่อยากจะพาพวกเขามาที่ฐานของพวกเรา ถึงเเม้ว่ามิโยชิจะเตรียมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเอาไว้ เเต่เฮลฮาวด์นั้นกัดเเขนขวาของชายคนนั้นเกือบจะขาด ด้วยเเผลที่สาหัสขนาดนี้ เเม้เเต่หมอก็น่าจะต้องตัดเเขนออกเเล้วค่อยทำการรักษา อุปกรณ์ปฐมพยาบาลคงช่วยอะไรไม่ได้
“เหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกสินะ” ผมถอนหายใจ
“อะไรหรอคะ?”
โทษทีนะมิโยชิ
ผมหยิบโพชันขวดนึงออกมาจากวอลต์โดยทำให้ดูเหมือนว่าผมหยิบออกมาจากเป้
“อยากจะใช้ไอนี่ไหม”
เธอสัมผัสไอเทมเเละร้องออกมาด้วยความตกใจ
“อะ-อะไรกัน ฮีลลี่งโพชัน! เเถมยังเป็นระดับห้าด้วย”
ชิบหายละ ผมยังไม่ทันได้ตรวจสอบระดับ ระดับห้านี่มันสูงเเล้วรึยังไงเนี่ย
“ระดับห้าหรอ!” มิโยชิตะโดนใส่ผมจากทางหูฟัง
เธอมองสลับกันไปมาระหว่างโพชันเเละชายคนนั้น เหมือนตัดสินใจไม่ถูก “ตะ-เเต่ว่ามันเเพง…”
“ถ้าเธอไม่ใช้ตอนนี้ สถานการณ์จะยิ่งเเย่ลงนะ จริงไหม”
เธอฟังผมพูดเเละก็ดูเหมือนจะตัดสินใจได้เเล้ว
“ขอบคุณมากค่ะ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ฉันจะหาทางมาจ่ายคืนให้ได้”
เธอวิ่งไปอยู่ข้างชายคนนั้นเเละให้เขาดื่มโพชันทีละนิด
อ๋อ เเสดงว่าโพชันก็สามารถดื่มได้เหมือนกันสินะ ว่าเเต่ถ้าเอาไปเทราดตรงบาดเเผลจะไม่ได้ผลกว่าหรอ
ผมหาวเสียงดังระหว่างที่กำลังคิดอยู่ ถึงจะมีสกิลฟื้นฟูสุดยอดก็ตาม เเต่ผมก็ยังสามารถที่จะง่วงได้ถ้ารู้สึกผ่อนคลาย ไม่งั้นก็คงเป็นโรคนอนไม่หลับเเน่ๆ
ผมมองดูทั้งสองคนไปเรื่อยๆ เเม้ว่าผลของมันจะไม้ได้ดูอลังการเหมือนตอนอาช่า เเต่มันก็ยังดูน่าทึ่งอยู่ดี กล้ามเนื้อทั้งด้านในเเละด้านนอกของชายคนนั้น รวมถึงกระดูกที่หายไปบางส่วนเริ่มพองขึ้นต่อหน้าต่อตาผม ผ่านไปสักพักชิ้นส่วนที่สร้างขึ้นมาใหม่ก็กลับสู่สภาพเดิม พอมาเห็นกับตาเเล้วก็สุดยอดจริงๆ
เขาฟื้นตัวโดยสมบูรณ์เพราะว่าดื่มโพชันหมดเเล้ว เขาได้สติเเละมองไปที่เเขนอย่างสงสัย
“หือ พี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
อ้อ เป็นพี่น้องกันหรอกหรอ
“โชตะ!” ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้เเละเข้าไปกอดน้องชาย
เหมือนจะสนิทกันดีนะ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น เเขนของผม มันต่อกันเองงั้นหรอ”
“ผู้ชายตรงนั้นน่ะ…” ผู้หญิงคนนั้นเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฝั่งน้องชายฟัง
“โพชันระดับห้าหรอ!” น้องชายตะโกน
เขาฟังเรื่องที่เล่าอย่างเงียบๆมาตลอด เเต่พอรู้ระดับของโพชันเเล้วเขาก็ตะโกนออกมา จ้องเขม็งมาที่ผม
เอ่อ..อะไรหรอ ไม่ใช่ว่าตรงนี้ต้องขอบคุณผมงั้นเรอะ
“ฉันไม่ได้ขอให้นายช่วย เเล้วบาดเเผลก็ไม่ได้เเย่ขนาดนั้นตั้งเเต่เเรกเเล้ว”
“ชะ-โชตะ!?”
เอ่ออ หมอนี่พูดถึงอะไรอยู่เนี่ย
“เเล้วอีกอย่าง นายไม่มีหลักญานด้วยว่าฉันใช้โพชันไป”
“ใจเย็นๆก่อน โชตะ! เธอพูดอะไรกันเนี่ย”
พูดตรงๆ ผมมีหลักฐานอยู่นะ เเต่จริงๆเเล้วผมก็ไม้ได้สนใจเท่าไรหรอก
“ขะ-ขอโทษนะคะ น้องชายเขากำลังสับสนอยู่”
“พี่ไม่ต้องไปขอโทษหรอก เขากำลังหลอกพี่อยู่นะ”
ฉันกำลังทำอะไรนะ?
“ตาลุงหื่นนั่นใช้โพชันระดับสูงเเบบไม่มีเหตุผลเลย เขาพยายามจะทำให้พวกเราติดหนี้เเล้วจะได้ทำอะไรก็ได้กับพี่ไง”
“โชตะ!”
ว้าวว พึ่งเคยได้ยินนี่เเหละ น่ากลัวชะมัด เฮ้อ ชักกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญเเล้วสิ
“เอาจริงๆฉันถ่ายวีดีโอไว้นะ” มิโยชิบอกผมผ่านหูฟัง ผมคิดภาพเธอกำลังกลั้นขำจนตัวสั่นออกเลย
“อืม พอเเล้ว ถ้าเธอตรงไปทางนั้นก็จะเจอบันไดกลับขึ้นไปชั้นสี่ มีหลายๆทีมตั้งเเคมป์อยู่ที่นั่น ถ้าอยู่กับพวกเขาจนถึงเช้าก็น่าจะกลับบ้านได้”
“หา”
“เเต่ว่าเรื่องโพชัน…”
“ช่างมันเถอะพี่ หมอนั่นบอกพอเเล้วงั้นเราก็ไปกันเถอะ เเต่ว่าซาไกกับโทมะล่ะ?”
พวกนั้นที่หนีไปสินะ
“พวกเขาน่าจะอยู่เเถวๆบันไดเหมือนกัน เพราะพวกเขาก็หนีเหมือนกัน” พี่สาวตอบ
“งั้นเรารับไปที่นั่นกันเถอะ” ชายหนุ่มตะโกน
พวกนั้นที่ใช้พี่น้องคู่นี้เป็นตัวล่อเพื่อให้ตัวเองหนีไปอะนะ คนพี่ที่รู้เรื่องนี้ก็ดูจะสับสนอยู่ไม่น้อย
“นี่เป็นข้อมูลติดต่อของฉันค่ะ” เธอพูดเเละส่งนามบัตรให้ผม “ไม่ว่ายังไงฉันก็จะจ่ายคืนคุณให้ได้…ถ้าไม่เป็นการรบกวน ฉันขอถามชื่อได้ไหมคะ”
“ฉันไม่ได้เป็นคนสลักสำคัญอะไรถึงกับต้องบอกชื่อหรอก น้องเธอถูกกัด ก็เเค่นั้น ลืมเรื่องอื่นไปซะ”
“เเต่ว่า…”
เธอมองมาที่ผมเหมือนกำลังจะร้องไห้ ผมคิดว่าโดยพื้นฐานเเล้วเธออาจจะเป็นคนดีก็ได้ เเน่นอนว่าผมอาจจะทำตัวดีกับเธอได้มากกว่านี้ เเต่พอโดยคิดว่าเป็นตาลุงหื่นก็ทำให้ผมหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ถึงผมจะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของเธอก็เถอะ
“ทำอะไรอยู่น่ะพี่ รีบออกไปจากที่นี่กันเหอะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เเล้วก็ขอโทษทีที่พูดจาห้วนไปหน่อย ฉันมั่นใจว่าเราน่าจะเจอกันอีกสักที่”
“ขอโทษนะคะ กรณาติดต่อมาด้วยนะคะถ้าสะดวก”
พอผมพูดจบเธอก็วิ่งตามน้องชายไป
“เธอชื่อ มิชิโระ เอริ งั้นหรอ”
ผมเดินทางกลับมาที่ฐานเคลื่อนที่ของเรา โดยไปทางตรงกันข้ามกับสองพี่น้องนั่นเเละเก็บนามบัตรของเธอลงวอลท์
พอผมกลับถึงดอลลี่ มิโยชิก็พูดออกมาด้วยตาเป็นประกาย “รุ่นพี่ เมื่อกี๊สนุกชะมัดเลย”
ที่ผมทำเมื่อกี้ถ้าดูผ่านหน้าจอมอนิเตอร์เเล้วก็อาจจะเหมือนดูหนังเเอคชั่นอยู่เหมือนกัน เเต่ตอนนี้ผมเเค่อยากจะอาบน้ำ หาอะไรกิน เเล้วก็นอนเท่านั้น
“ว่าเเต่รุ่นพี่รู้ไหมว่าโพชันระดับห้าราคาเท่าไร”
“ไม่รู้สิ”
“ฉันก็คิดว่างั้น” มิโยชิหัวเราะเเละส่งขวดน้ำเย็นให้
“โพชันระดับหนึ่งราคาประมาณหนึ่งถึงสองล้านเยน”
“ว้าว”
นั่นก็คือฮีลลิ่งโพชันมีราคาสูง เเต่สำหรับพวกนักสำรวจมือโปรก็ถือว่าเเพงอะไรมากมาย
ผมดื่มน้ำหนึ่งอึก รู้สึกว่าความเย็นกำลังเเผ่กระจายไปทั่วร่าง ผมน่าจะเหนื่อยกว่าที่คิดไว้ซะเเล้ว
มิโยชิเริ่มอธิบายระดับโพชันเเละผลของมัน
โพชันระดับหนึ่งสามารถรักษาอาการกระตูกเเตกหรือร้าวได้ เหมาะมากสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บของพวกนักกีฬา เเถมสามารถซ่อมเเซมพวกเส้นเอ็นฉีกขาดได้ด้วย
โพชันระดับสองก็จะสามารถซ่อมเเซมอาการที่หนักขึ้นมาหน่อย พวกอาการบาดเจ็บที่ตา บาดเเผลที่ท้อง
ระดับสาม จะรักษาอาการไหม้รุนเเรง เเละสามารถเชื่อมอวัยวะที่ขาดออกจากกันได้
ระดับสี่ สามารถพื้นฟูอวัยวะที่ถูกบี้หรือถูกขย้ำจนไม่เหลือสภาพเดิมได้
สำหรับระดับห้า เเม้ว่าครึ่งนึงของร่างกายจะได้รับบาดเจ็บ ก็จะสามารถรักษาได้
ส่วนระดับหกก็สามารถรักษาร่างกายที่บาดเจ็บประมาณเเปดส่วนได้
ระดับเจ็ดสามารถฟิ้นฟูร่างกายส่วนที่หายไปได้ภายในเวลาไม่นาน
ส่วนระดับเเปดเเละสูงกว่านั้นยังไม่ถูกค้นพบ
ด้วยข้อมูลนี้ อาช่าจะต้องการโพชันอย่างน้อยระดับแปด โชคร้ายที่ยังไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน
“ตอนกำหนดราคาโพชันเเต่ละชนิด ผู้ขายจะใช้ราคาของโพชันระดับหนึ่งเป็นมาตรฐาน จากนั้นจะคำนวนจากความบ่อยที่โพชันนั้นดรอป โดยเจาะจงก็คือโพชันจะราคาเท่ากับระดับก่อนหน้าคูณกับระดับของตัวเอง”
“งั้นถ้าระดับหนึ่งราคา1ล้านเยน ระดับสองก็จะราคา 1คูณ2 เท่ากับสองล้านเยน ระดับสามก็จะเป็น 2คูณสามเท่ากับหกล้านเยนสินะ”
“อืม ถ้าตามสูตรนี้ โพชันระดับห้าจะราคา…”
“120ล้านเยน”
“คุณพระ”
ไม่เเปลกใจเลยที่สองพี่น้องนั่นจะตกใจขนาดนั้น
“ส่วนมากเเล้ว โพชันระดับห้าจะไม่ค่อยถึงมือประชาชนธรรมด-”
ผมขัดจังหวะมิโยชิด้วยการนำดรอปไอเทมออกมาวางไว้บนโต๊ะ
ฮีลลิ่งโพชั่น (5)
เคียวโพชัน (7)
เขี้ยวเฮลฮาวด์ x8
หนังเฮลฮาวด์ x3
ลิ้นเฮลฮาวด์
หินเวทย์เฮลฮาวด์ x8
หนังของฮาวด์เเห่งเฮคาเต้
เขาของฮาวด์แห่งเฮคาเต้
หินเวทย์ของฮาวด์แห่งเฮคาเต้
“รุ่นพี่… พวกนี้คือ”
“หยาดเหงื่อความพยายามของฉันยังไงล่ะ ทั้งหมดนี่มอบให้เธอเลย”
มิโยชิค้นกองไอเทมเเละสัมผัสทุกชิ้นเผื่อสำรวจพวกมัน
“โอเค เเต่ว่าอัตราการดรอปนี่มันเเปลกจริงๆ”
“ต้องขอบคุณค่าLUCสูงลิ่วของฉันยังไงล่ะ”
ตอนเธอสัมผัสไอเทมที่เป็นสีเหลืองเขียวซีดๆที่ดูคล้ายโพชัน เธอก็ลุกพรวดขึ้นมา
“ระ-รุ่นพี่ นี่มันเคียวโพชันระดับเจ็ดเลยนะ”
ผมไม่รู้มูลค่าของมันเท่าไร เเต่จากที่คุยกัน ค่าเเฟลคของเจ็ดจะเป็น 5040 อืม ก็น่าตกใจอยู่
“ทำไมถึงยังใจเย็นอยู่ได้ล่ะ เคียวโพชันจะใช้รักษาอาการป่วย ไม่เหมือนกับโพชันธรรมดา เเถมระดับเจ็ดสามารถรักษาได้เเทบทุกโรคที่รักษาไม่ได้เลย!”
“จริงดิ”
“มีรายงานว่าเคียวโพชันระดับเจ็ดสามารถรักษาได้เเม้เเต่ลูคิเมียกับสมองเสื่อมด้วย”
ผมเกือบจะสำลักออกมา ว่าเเต่เคียวโพชันถือว่าสมองเสื่อมเป็นอาการป่วยงั้นหรอ
“ไม่ใช่ว่าการรักษาเซลล์ประสาทจะเป็นหน้าที่ของโพชันธรรมดาหรอ” ผมถาม
เเล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับความทรงจำที่เสียไปเเล้วล่ะ เหมือนว่าคุณกำลังซ่อมฮาร์ดเเวร์ให้กลับมาใช้ได้ เเต่เซฟเดต้าจะยังอยู่ดีรึเปล่า
“เป็นคำถามที่น่าสนใจ อาจจะเป็นตามที่เราเคยคุยกัน เป็นเรื่องของการรับรู้ไง”
“ถ้างั้น เกิดเราคิดว่าสมองเสื่อมเป็นการบาดเจ็บของเซลล์ประสาท ก็จะสามารถใช้ฮีลลิ่งโพชันระดับหกรักษาได้หรอ”
“น่าจะเป็นไปได้ เเต่ไม่มีการทดลองเรื่องนี้ให้ทำมากนักนี่สิ ที่จริงอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้”
เเต่อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนมากที่อยากครอบครองโพชันระดับสูง สถานการณ์ไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้นักวิจัยทำการทดลองสักเท่าไร
“เคียวโพชันระดับต่ำกว่าสี่นั้นราคาไม่เเพงมาก เเละมันก็เป็นที่นิยมสำหรับคนทั่วไปมากกว่าด้วย ฮีลลิ่งโพชันนั้นจะเป็นที่นิยมสำหรับนักสำรวจ เพราะความต้องการต่างกัน เคียวโพชันก็เลยถูกกว่านิดหน่อย”
“ถูกที่ว่านี่คือขนาดไหนหรอ”
“อย่างน้อย เคียวโพชันระดับสี่จะมีราคาสิบเก้าล้านสองเเสนเยน”
ผมอดถอนหายใจไม่ได้ “นั่นถูกของเธอหรอ”
ถ้าเคียวโพชันใช้สูตรเดียวกันกับฮีลลิ่งโพชัน เคียวโพชันระดับหนึ่งจะมีราคาเเปดเเสนเยน
“ลองคิดถึงค่ารักษาโรคร้ายต่างๆดูสิ เปรียบเทียบกับเงินที่ต้องจ่ายค่าประกัน เคียวโพชันจะราคาถูกกว่ามากเลยในหลายๆกรณี กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ถึงขนาดเคยคิดว่าจะตั้งองค์กรเเจกจ่ายโพชันเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพเลยนะ”
ถ้ารัฐบาลใช้โพชันในการรักษาโรคร้ายที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงก็น่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้จริง ในอเมริกา ค่าใช้จ่ายฉุกเฉินของคิมไรอะ – ยารักษาลูคิเมีย – นั้นจะประมาณ 475,000 ดอลลาห์ ในญี่ปุ่นนั้น ยาตัวเดียวกันจะมีราคา 33ล้านเยน ไม่ว่าการรักษาจะสำเร็จหรือไม่ ถ้าคิดเเบบนี้เเล้ว 22ล้านเยนดูถูกกว่ามากๆ
“แบบนี้บริษัทยาจะไม่เเย่เอาหรอ”
“เพราะจำนวนโพชันนั้นยังมีน้อยอยู่ ตอนนี้เลยยังไม่เป็นปัญหา เเต่ถ้าเกิดมีเพิ่มขึ้นถึงจุดนึงก็อาจจะเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของบริษัทพวกนั้นได้เลย อย่างน้อยๆพวกเขาต้องไม่ยอมให้สร้างองค์กรเพื่อเเจกจ่ายโพชันเเน่”
พูดอีกเเง่คือ ถ้ามีใครบางคนพยายามที่จะเเจกจ่ายโพชันในระดับใหญ่ คนๆนั้นอาจจะเป็นอันตรายได้
“สำหรับโรคที่รักษาให้หายได้ยากมากๆนั้น ต้องใช้โพชันระดับห้าเป็นอย่างน้อย ซึ่งโพชันระดับนั้นหาไม่ได้ตามท้องตลาดหรอก เพราะมอนสเตอร์ที่ดรอปก็เเข็งเเกร่งตามกันด้วย”
อย่างนี้นี่เอง บริษัทยาต่างๆเลยยังไม่ต้องสนใจโพชันมากนักก็ได้
มิโยชิเริ่มสรุปบรรยายของเธอ “ถึงจะมีคนทุ่มเทเเรงกายเเรงใจในการพัฒนายารักษาโรคร้ายพวกนี้ ก็จะมีคนไข้จำนวนน้อยเกินกว่าที่จะทำกำไรได้ ถ้ามองจากมุมมองของมนุษยชาติ ถึงการรักษาพวกนี้จะเป็นเรื่องวิฌศษก็เถอะ เเต่ก็ไม่น่ามีใครยอมเข้าไปลงทุนอยู่ดี”
“เธอจะบอกว่าถึงโพชันระดับห้าขึ้นไปจะหาได้ง่ายขึ้น ก็จะไม่มีผลกับบริษัทยาอยู่ดีงั้นหรอ”
“เปล่า ตอนนี้ราคาของเคียวโพชันระดับเจ็ดคือ สี่พันสามร้อยยี่สิบล้านเยน เพราะว่าไม่มีใครสามารถหามันได้ ราคาก็เลยต้องอ้างอิงจากอัตราการดรอปเอา”
ถ้างั้น…
“ใครมันจะไปซื้อยาที่เเพงขนาดนั้นกัน”
“ไม่รู้สิ เศรษฐีที่ความจำเสื่อมเเล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะยกมรดกให้ใครมั้ง”
“อย่างนั้นหรอ…งั้นฮีลลิ่งโพชันระดับเจ็ดล่ะ ราคาเท่าไร”
“เกินห้าพันล้านเยน”
“ล้อกันเล่นรึปล่า!”
“นักสำรวจน่ะเป็นสินทรัพย์นะ ถ้าตายไป สกิลก็จะหายไปด้วย นักสำรวจระดับเเนวหน้านั้นหลายๆประเทศมองว่าเป็นสมบัติของชาติเเละต้องพยายามทำทุกวิธีทางให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป”
“เงินห้าพันล้านเป็นจำนวนเงินที่ไม่เเพงสำหรับการรับประกันว่าชิ้นส่วนที่ไม่สามารถมีอะไรมาเเทนได้ยังคงอยู่งั้นหรอ”
มิโยชิพยักหน้า “ถึงจะรวมค่าซ่อมบำรุงเเล้วด้วยก็เถอะ มันยังถูกกว่าเครื่องบินรบลำนึกซะอีก”
“มุมมองเเบบนี้มันบิดเบี้ยวไปหน่อยสำหรับฉันเเฮะ”
“เเต่เอาจริงๆ โพชันมันหายากเเล้วก็ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงในการที่จะได้มันมานะ มอนสเตอร์ก็ไม่ค่อยง่ายเเบบนี้หรอกนะ”
เธอพูดถูก นักสำรวจปกติคงต้องลงดันเจี้ยนนับครั้งไม่ถ้วนเเน่ๆถึงจะได้เเบบนี้
“ถ้าเป็นเเบบนั้น ฉันสามารถ-”
“ถ้ารุ่นพี่อยากจะเป็นฮีโร่ก็เอาเลย ถึงรุ่นพี่จะพยายามเเค่ไหน ก็ทำได้เเค่ทำให้พ่อค้าคนกลางรวยขึ้นเท่านั้นเเหละ ราคาไม่น่าจะลดลงสักเยนเดียว ก็เพราะสินค้ามันมีไม่เพียงพอกับความต้องการนี่”
“ก็จริง”
ไอเทมพวกนี้ไม่มีวันหมดอายุเหมือนกับสกิลออร์บ มันอาจจะเป็นโอกาสให้พ่อค้าคนกลางกักตุนสินค้าได้
“เเล้วก็ ฉันไม่เเนะนำให้เเจกจ่ายโพชันกับคนที่ไม่สามารถหามันได้เองนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ลองคิดถึงพวกคนที่จะบอกว่า ‘ทำไมคนอื่นได้เเล้วฉันไม่ได้ล่ะ’ หลายๆคนทนไม่ไหวหรอก”
ผมไม่สามารถที่จะเเจกจ่ายโพชันให้ทุกคนได้ ถ้าเป็นเเบบนั้น ผมอาจจะต้องเป็นคนเลือกให้ใครอยู่หรือตาย เเน่นอนว่าคนที่ไม่ถูกเลือกจะต้องเเค้นผมเเน่ๆ
“เมื่อกี้นี้ก็เห็นผู้ชายคนเมื่อกี้เเล้วนี่ ฉันจะไม่บอกว่าที่เขาทำมันปกติหรอกนะ เเต่รุ่นพี่คิดไว้ได้เลยว่าต้องมีอีกหลายคนทำแบบนี้เน่ๆ”
ผมถอนหายใจ “ทุกอย่างคงไม่เป็นไปตามที่ต้องการสินะ”
“คิดซะว่าโพชันเป็นอัญมณีหรืองานศิลปะ รุ่นพี่จะได้ไม่ต้องรู้สึกเเย่มากนัก”
มิโยชิพึ่งได้เสมอเลยนะกับเรื่องเด็ดขาดพวกนี้
“งั้น” ผมเปลี่ยนเรื่อง “นอกจากพวกเขี้ยว เขา หนังเเล้ว พวกลิ้นกับหินเวทย์นี่เอาไว้ทำอะไร”
“หินเวทย์จะมีพลังงานสูง”
“หมายความว่ายังไงนะ เราสามารถใช้หินเวทย์เเทนน้ำมันได้อะไรเเบบนี้หรอ”
“มอนสเตอร์ที่เเข็งเเกร่งกว่าค่าเฉลี่ยนนั้นบางทีจะดรอปหินเวทย์พวกนี้ เรื่องนี้คนทั่วไปไม่ค่อยรู้หรอกนะ เเต่เหมือนว่ามีบางประเทศที่มีน้ำมันน้อยให้ความสนใจหินเวทย์มากๆเลย บางครั้งเขาก็เรียกมันว่า พลูโตเนียมสะอาด”
“มันมีค่าขนาดนั้นเลยหรอ”
ตั้งเเต่ดันเจี้ยนปรากฏขึ้นมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนเเปลงขึ้นทุกๆวัน มนุษยชาติจะต้องพึ่งพาดันเจี้ยนเหมือนกับที่พึ่งพาน้ำมันโดยไม่รู้ตัวเเน่ๆ บางทีเราอาจจะมาได้ครึ่งทางเเล้วก็ได้
“เเต่ก็มีกำเเพงหลายอย่างที่เรากั้นเราไว้ไม่ให้ใช้ประโยชน์จากหินเวทย์ เเต่ดูที่เรามีสิ เหมือนฮาวด์เเห่งเอคาเต้จะมีคุณภาพสูงมากที่สุดที่มีมาเลย”
หินเวทย์จากเฮลฮาวด์นั้นมีขนาดไม่ถึงสองเซ็นติเมตร เเต่ว่าของฮาวด์เเห่งเฮคาเต้ ที่ส่องเเสงเเพรวพราวอยู่นั้น ขนาดประมาณลูกซอฟต์บอล
“เเล้วลิ้นล่ะ”
“ไม่รู้สิ ฉันคิดว่าเป็นวัตถุดิบนะ เเต่…โอ้ หาเจอเเล้ว เอ่ออ อะไรเนี่ย!”
“ว่าไง”
“เอ่ออ….” มิโยชิลังเล “จากที่ค้นหามา มันเป็นอาหารน่ะ”
“อาหารที่ให้เรากินอะนะ!”
ผมมีคำถามสักล้านอย่างได้เกี่ยวกับความสะอาดเเละโครงสร้างของโปรตีน เเต่ใครมันจะไปกินชิ้นส่วนอวัยวะที่ไม่มีอยู่บนโลกเนี่ย เทียบกับอันตรายจากการกินผลิตภัณฑ์GMOs นี่มันอันตรายขึ้นไปอีกขั้นเลย
“เเล้วมาตรการทางสุขภาพกับความปลอดภัยของอาหารล่ะ”
“ก็เหมือนการป้องกันโรคระบาดจากดันเจี้ยนนั่นเเหละ คือไม่มีใครสนใจ เเต่ว่า…”
“ว่า”
“เหมือนลิ้นนี่เค้าบอกว่ามันโคตรอร่อยเลยล่ะ”
“ฟังนะ มิโยชิ…”
จริงอยู่ที่อาหารคือพระเจ้า เเต่เธอจะเสี่ยงกับการละทิ้งความเป็นมนุษย์ไม่ได้นะ
“อีกอย่างนึง”
“คือ”
“การกินของที่มาจากดันเจี้ยนส่วนมากจะช่วยเพิ่มความสามารถต่างๆด้วย”
“จริงดิ..”
เกี่ยวข้องกับสเตตัสด้วยงั้นหรอเนี่ย
ถ้ามีใครสักคนใช้อะไรบางอย่างเพื่อความสามารถ เพื่อที่จะเเข่งขันกันได้ คนอื่นก็จะต้องทำตาม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าประเทศศัตรูสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ประเทศของคุณก็จะต้องสร้างบ้าง ใช้ตรรกกะเดียวกันนี้เเหละ
การที่สเตตัสเพิ่มขึ้นอาจะเป็นการพัฒนาขึ้นอีกก้าวของมนุษย์ก็ได้ เเต่ไม่ใช่ว่าการพัฒนานี้จะพึ่งพาดันเจี้ยนมากเกินไปหรอ
“ทำไมไม่มีใครเป็นห่วงว่าจู่ๆดันเจี้ยนจะหายไปเลย” ผมถาม “เพราะตอนปรากฏขึ้นมาก็อยู่ดีๆก็โผล่มาเลย”
“องค์กรต่างๆไม่สนใจหรอก สิ่งที่สำคัญกว่าก้คือตักตวงผลประโยชน์ในตอนนี้ให้ได้มากที่สุด”
“เเละถึงจะมีใครสร้างอะไรบางอย่างเพื่อป้องกัน ก็ไม่มีใครจะมาสนใจหรอกถ้าปัญหามันไม่ใกล้จะเกิดขึ้นจริงๆ”
“ถูกต้องเลย”
ผมถอนหายใจ สุดท้ายเเล้วคนธรรมดาอย่างพวกเรากังวลไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
“เอาล่ะ ปล่อยปัญหาพวกนี้ไว้ให้คนมีอำนาจเขาจัดการละกัน ในตอนนี้เรามีออร์บเข้าใจภาษาต่างโลกเจ้าปัญหาสองลูกเเล้ว จะทำยังไงกับมันดี”
“ขายน่ะสิ จะเอาไปทำอะไรล่ะ หรือว่ารุ่นพี่อยากจะใช้สักลูกนึง”
“ไม่มีทาง เจ้านี่มันสามารถตัดสินชะตาชีวิตของโลกได้เลยนะ”
“ฉันอยากจะขายสักลูกนึง เเต่สุดท้ายอเมริกากับรัสเซียก็จะพยายามประมูลเเข่งกันไปมาไม่สิ้นสุดรึเปล่า”
“เรื่องนั้นน่ะ มันจะไม่เเพงขนาดนั้นตลอดไปหรอกนะ”
ผมเล่าเรื่องอัตราการดรอปของฮาวด์เเห่งเฮคาเต้ที่เป็นมอนสเตอร์หายากให้มิโยชิฟัง
มิโยชิฟังเเล้วก็ส่ายหัว “รุ่นพี่เข้าใจถูกเเล้ว จากอันตราการดรอปนี่ เหมือนใครสักคนกำลังขอร้องให้เราอ่านจารึกนั่นให้ออกเลย”
ปัญหาคือคนๆนั้นคือใครนี่เเหละ
ผมมีความคิดหลายอย่างอยู่ในหัว กฏของดันเจี้ยนเองที่เหมือนสร้างมาจากวัฒนธรรมบนโลก การที่มีจารึกบอกถึงทฤษฏีทางผ่านดันเจี้ยน เเละสุดท้ายผลกระทบที่ดันเจี้ยนมีต่อโลกของเรา ที่เริ่มเเพร่กระจายเหมือนยาเสพติด
บางทีทุกๆคนที่เกิดมาบนโลกนั้นอาจจะถูกจับตามองมาตั้งเเต่เกิด เเล้วความจริงนั้นพวกเราอาศัยอยู่ในซิมูเลเตอร์เเบบในเดอะเเมทริกซ์ก็ได้ ผมเกือบจะคิดว่าเอเจนต์สมิธจะเข้ามาโจมตีเราเมื่อไรก็ได้เเล้วเนี่ย
ด้วยความที่เป็นผู้ครอบครองเมคกิ้งเพียงคนเดียว ผมอาจจะต้องไปลอบสังหารผู้สมัครประธานาธิบดีเหมือนคริสโตเฟอร์ วอลเคนในหนังเรื่องเดดโซนก็ได้
“ยังไงก็เถอะ เเค่เอาไปประมูลก็รู้สึกเหมือนเราปัดความรับผิดชอบในฐานะพลเมืองชาวญี่ปุ่นเเล้ว เปลี่ยนเรื่องหน่อย ฝากรุ่นพี่เอาของพวกนี้เก็บไว้ในวอท์ทีนะ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปของพวกนี้จะเป็นยังไง เผื่อเอาไว้ก่อน”
“เข้าใจเเล้ว ฉันจะไปอาบน้ำ หาอะไรกินเเล้วนอนละ”
“อืออ เดี๋ยวฉันจะนอนบ้างหลังจากวิเคราะห์ข้อมูลของวันนี้เสร็จเเล้ว”
ข้อมูลที่ว่านั้นรวมถึงวีดีโอที่ถ่ายไว้ตอนสำรวจวันนี้ เเผนที่สามมิติที่กล้องของเราสร้างออกมา ค่าประสบการณ์ของมอนสเตอร์ เเล้วก็ตัวเเปรอะไรอีกหลายๆอย่าง
“มาคิดๆดูเเล้ว ข้อมุลพวกนี้จะต้องทำให้นักค้นคว้าทั่วโลกน้ำลายสอเเน่ๆ”
“ถ้าเธอกลัวขโมย ก็เอาทั้งPCใส่ไว้ในสโตเรจสิ เเล้วเอาออกมาเเค่ตอนจะใช้”
“ความคิดดีนี่นา เเต่งานที่ต้องทำนี่พอๆกับมนุษย์เงินเดือนเเล้วนะ”
“เธอจะโต้รุ่งอีกเเล้วหรอ เธอพักซะบ้างนะมิโยชิ เออเเต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เราติดตั้ง SECOM ไว้ที่ออฟฟิศจะดีไหม”
“ถ้ามีองค์กรอะไรสักอย่างมาตามตัวเราจริงๆ พวกเขาก็น่าจะผ่านพวกบริษัทรักษษความปลอดภัยพวกนี้ได้เเบบไม่มีปัญหานะ เเต่ตอนนี้หน้าต่างพวกเราป้องกันเลเซอร์ดักฟังเเล้วนะ”
ผมจำได้ลางๆว่าเคยคุยกันเรื่องนี้มาก่อน การจะรีโนเวทออฟฟิศเราน่าจะใช้เงินมากโขอยู่ ในตอนเเรกผมอยากจะใช้ชีวิตเงียบๆ เเต่ช่วงหลังมานี้ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากเเล้วล่ะ สถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนกับนั่งอยู่บนรถเข็นเเล้วไถลงภูเขายังไงอย่างงั้น เเถมพึ่งมารู้ทีหลังด้วยว่ารถเข็นมันไม่มีเบรค
“งั้นเราเอาของสำคัญมารวมๆกันไว้กันเถอะ ถ้าถึงเวลาจำเป็นขึ้นมาจะได้เก็บทีเดียวทั้งหมดเเล้วหนีได้ทัน”
“โอเค บางทีเราควรจะมีเซฟรูมนะ อาจจะช่วยถ่วงเวลาให้รุ่นพี่มาช่วยฉันได้ทัน”
“ฉันไม่อยากจะไปสู้กับพวกต่างชาติหรอกนะ”
“เดี๋ยวก่อนสิ รุ่นพี่จะไม่มาช่วยฉันหรอ”
“เหอะ ก็คงช่วยเเหละ”
มิโยชิหัวเราะ “รุ่นพี่นี่ทั้งยอดเยี่ยมเเล้วก็ยอดเเย่เลย”