ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 26 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (2)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 26 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (2)
22 พฤจิกายน 2018 (วันพฤหัส)
โยโยกิดันเจี้ยน
“พร้อมไหมมิโยชิ”
“พร้อมเเล้ว จะว่าไปรุ่นพี่เตรียมอาหารมาเเล้วใช่ไหม”
“ไม่ต้องห่วง ฉันเอามามากเกินพอเลยล่ะ เอาล่ะ ไปกันเลยไหม”
“ไปกันเล๊ย”
นี่เป็นครั้งเเรกที่ผมใส่เครื่องป้องกัน ถึงจะเป็นเเค่ของสำหรับมือใหม่ เเต่ผมก็รู้สึกว่าร่างกายกระชับขึ้นกว่าปกติ พวกเรารู้สึกกระตือรือร้นกว่าเคยเเละก้าวลงไปยังโยโยกิดันเจี้ยนที่อยู่ใต้ดิน ผมกลัวว่าถ้าเข้าไปมือเปล่าจะเป็นที่ดึงดูดความสนใจ ผมเลยเอา LBA มินิชิลด์กับโทมาฮอร์คมาห้อยไว้ที่เอวด้วย
เราเดินตามกลุ่มคนลงไปยังบันไดสู่ชั้นสอง โดยจุดหมายของเราคือชั้น 14 ที่มีเผ่าจันทราอยู่ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือเราต้องบันทึกค่าประสบการณ์ – หรือค่าSP – สำหรับมอนสเตอร์เเต่ละตัวเอาไว้ด้วย ผมกับมิโยชิได้ศึกษาสภาพเเวดล้มของพื้นที่ที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในเเต่ละชั้นเอาไว้เเล้ว
จากที่รู้มา พวกกล้องแอคชันเเคเมรากับเซ็นเซอร์สามมิติที่ติดอยู่ที่หมวกนั้นสามารถใช้งานได้ เซ็นเซอร์นั้นจะทำการเรนเดอร์เเผนที่สามมิติของดันเจี้ยนโดยอัตโนมัติ เหมือนต้นเเบบของดันเจี้ยนวิวของJDAก็มาจากเซ็นเซอร์ตัวนี้เหมือนกัน
มิโยชิซื้อเเบตเตอรี่กองเท่าภูเขามาโดยให้เหตุผลว่า มูลค่าของข้อมูลนั้นมันประเมินค่าไม่ได้ เเน่นอนว่าเธอพูดถูก เเต่ถ้าไม่มีวอลท์หรือสโตเรจเเล้ว การใช้ไฟฟ้าต่อเนื่องขนาดนี้นั้นเป็นไปไม่ได้ คนส่วนมากอาจจะมองว่าความคิดนี้ไร้สาระ เเต่ตอนนี้เราไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นห่วง
“พวกเธอสองคนเป็นมือใหม่หรอ” ใครบางคนถาม
“โอ้ เอ่อ ใช่ครับ”
คนที่ถามคำถามนั้นอยู่ในปาร์ตี้ของผู้ชายสามคน เขาน่าจะดูเอาจากอุปกรณ์ของเรา
ถ้าที่เป็น VRMMO หรือไลท์โนเวลต่างโลก ผมน่าจะต้องกลัวว่าเขาจะมาปล้นเราเเล้ว เเต่เรื่องเเบบนั้นไม่ค่อยเกิดขึ้นในโยโยกิสักเท่าไร เพราะว่าคนญี่ปุ่นนั้นไม่ค่อยชอบใช้ความรุนเเรง เเถมJDAก็มีข้อมูลส่วนตัวของนักสำรวจทุกคนด้วย ทำให้การกระทำความผิดเเล้วไม่มีใครรู้นั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก ในสังคมสมัยใหม่ ความเสี่ยงที่จะโจมตีใครสักคนมันมีมากกว่ารางวัลที่จะได้รับ
ระหว่างทางลงไปชั้นสอง ชายคนนั้นเเนะนำตัวเองว่าชื่อโยชิดะ เขากำลังเล่าเรื่องพื้นที่ที่เหมาะกับมือใหม่ให้เราฟัง
“เเล้วก็นะ” เขาพูด “ด้วยชุดเกราะนั้น ฉันไม่เเนะนำให้ลงไปลึกกว่าชั้น5นะ”
ตั้งเเต่ชั้น5เป็นต้นไป จะมีมอนสเตอร์ประเภทหมูป่าโผล่มา เเละจากที่โยชิดะเล่า อุปกรณ์มือใหม่นั้นป้องกันการพุ่งชนของมันไม่ได้
ชั้น5นั้นเหมือนเป็นกำเเพงเเยกมือสมัครเล่นกับมือโปรออกจากกัน ในโยโยกิ มอนสเตอร์ตั้งเเต่ชั้น1ถึงชั้น4นั้นจะไม่ดรอปไอเท็มทั่วไป เวลากำจัดมอนเสตอร์บางชนิดจะมีโอกาสดรอปไอเท็มทั่วไปได้ในเรทค่อนข้างสูง เเสดงว่าถ้าอยากจะหาเลี้ยงตัวเองด้วยการลงดันเจี้ยน คุณต้องลงไปที่ชั้น5ให้ได้
เเต่ว่าการเเบ่งมือโปรกับมือสมัครเล่นก็มีข้อดีเหมือนกัน อย่างเช่นความขัดเเย้งที่เกิดจากกการมีเเนวคิดในการลงดันเจี้ยนเเตกต่างกัน ถ้ามีสิ่งเเบ่งเเยกชัดเจนก็จะลดปัญหานั้นได้
“เข้าใจเเล้ว ขอบคุณสำหรับคำเเนะนำนะครับ”
พอผมขอบคุณเขาที่บันไดวนที่จะลงไปยังชั้นสอง มิโยชิกับผมก็เเยกกับปาร์ตี้ของโยชิดะ จากนั้นพวกเราก็เข้าไปที่ชั้นสองเป็นครั้งเเรก
“ถึงจะรู้อยู่เเล้วก็เถอะ เเต่พอมาเห็นเองเเล้วก็เเปลกจริงๆด้วย” มิโยชิพูด
ก็ดีนี่ที่มีท้องฟ้าอยู่ในดันเจี้ยนน่ะ
ผมคิดไปถึง โอคาโมโต้ ทาโร่ ในโฆษณาเก่าๆของเขาตัวนึงที่เขาพูดว่า “ก็ดีนี่ที่มีหน้าอยู่ก้นเเก้ว” เเน่นอนเขาก็มีคำพูดอีกว่า “ศิลปะก็คือระเบิด!” หวังว่าจะไม่มีอะไรระเบิดในดันเจี้ยนนะ
ดูจากท้องฟ้าบนหัวของเรา ผมเเทบไม่เชื่อว่าตอนนี้เราอยู่ในดันเจี้ยน เเถมมันยังมีทิวเขาเล็กๆ ทุ่งหญ้า เเม้เเต่ป่าก็ด้วย เหมือนว่าจนถึงชั้น9จะเป็นภูมิประเทศเเบบนี้ทั้งหมด
ผมหันหลังกลับไปมองบันไดทางเข้า ก็เจอว่ามันเป็นช่องอยู่ในเขาเเคบๆ พอผมมองเข้าไปข้างในก็ไม่เห็นยอดของบันไดวน พูดตรงๆก็คือตัวบันไดวนควรจะเจาะทะลุเขาขึ้นไปบนฟ้าเเล้ว เเต่มันก็ไม่ได้เป็นเเบบนั้น
“อืมม เเปลกจริงๆ”
ผมลบความคิดนั้นออกจากหัวเเละมองตรงไปข้างหน้า ในชั้นสองของโยโยกินั้นโดยทั่วไปเเล้วจะเป็นมอนเสตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ นั่นคือ ก๊อบลินเเละโคโบลต์ หรือว่าพวกสัตว์อสูรกายอย่างเช่นวูลฟ์
“เอาล่ะ มาลองตรวจสอบก๊อบลินกับโคโบลต์กันเถอะ”
ผมดูเเผนที่ที่ผมกับมิโยชิสร้างมาด้วยกันเเละเดินไปทางที่ไม่ค่อยมีคน มันตั้งอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของบันไดทางไปยังชั้นสาม ถึงมันจะไม่ใกล้กันมากเท่าชั้น1 เเต่บันไดไปยังชั้น3นั้นก็ยังค่อนข้างใกล้กับทางเข้าชั้น 2 อยู่ดี ฉะนั้นเลยไม่ค่อยมีใครเดินทางไปยังทิศตรงกันข้ามสักเท่าไร เเน่นอนว่ายิ่งเดินไปลึกเท่าไร ก็จะยิ่งเจอคนน้อยลงเรื่อยๆ
พอมาถึงพื้นที่โล่ง ผมก็เปลี่ยสเตตัสของผมกลับไปเป็นเต็มกำลังเเละลองออกวิ่ง
“เหวอออออออ!”
“ทำอะไรน่ะรุ่นพี่ รอฉันด้วยสิ”
ผมรู้สึกว่าร่างกายผมเองเบาอย่างกับขนนก เเละผมก็สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อสุดๆ ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถบังคับร่างกายได้อย่างใจเพราะความรับรู้เวลามันดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น
“สเตตัสนี่น่าทึ่งจริงๆ”
ณ ตอนนี้ ยังไม่มีรายงานการพบกับดักในโยโยกิ ที่จริงก็ยังไม่เคยมีใครเจอกับดักในดันเจี้ยนทั่วโลก ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เเตกต่างกับพวกนิยายเรื่องเเต่ง เเน่นอนว่าถ้าเกิดมันมีกับดักขึ้นมาจริงๆ ก็จะมีคำถามตามมาอีกว่า ใคร ที่เป็นคนวางกับดักนั่น
ลองนึกว่าตอนคุณเดินสำรวจคฤหาสน์ธรรมดาเเล้วดันไปกดปุ่มที่อยู่หลังภาพวาดเข้า เเล้วกำเเพงก็เปิดออกไปสู่อีกห้องที่เป็นที่ซ่อนกระสุน ถ้าเรื่องพวกนี้มีจริง คนสร้างดันเจี้ยนที่ต้องมีความคิดไม่ปกติเเน่ๆ
คุณสามารถเคลื่อนไหวได้เต็มที่ในดันเจี้ยน เเต่ก็ชึ้นอยู่กับว่าชั้นนั้นมีภูมิประเทศเเบบไหน เเต่การเคลื่อนที่เร็วเกินไปอาจจะเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะชนกับมอนสเตอร์ที่หัวมุม เเละตกหลุมรักได้
เเน่นอนว่ามิโยชิตามผมไม่ทัน
“รุ่นพี่ อย่างน้อยถ้าจะวิ่งเร็วเเบบนั้นก็เเบกฉันไปด้วยสิ”
อืม ไม่ล่ะ ถ้าไม่ใช่ตอนฉุกเฉิน ผมไม่ทำเเน่ งั้นเดินปกติเอาก็ได้
หลังจากที่เดินมาสักพัก พวกเราก็เจอมอนสเตอร์รูปร่างคล่ายมนุษย์ตัวเล็กๆที่ตรงสุดทาง
“จะเป็นก็อบลินตัวเเรกของเรารึเปล่านะ” ผมพูดขึ้นพร้อมหยุด
“น่าจะนะ ลองเช็คค่าประสบการณ์ก่อน”
“ได้”
ผมเปิดเมคกิ้งขึ้นมา เเละเอาบอลเหล็กออกมาจากวอลท์ โชคร้ายที่ผมไม่สามารถเพิ่มความเร่งให้กับวัตถุที่เอาออกมาจากวอลท์ได้เเต่ทว่ามิโยชิทำได้ บางทีวิธีใช้งานเเบบนี้อาจจะมีเเค่ในสโตเรจก็ได้ เพราะว่าในวอลท์เวลามันหยุดนิ่ง การจะเพิ่มความเร่งให้มันคงเป็นไปไม่ได้ เเน่นอนมันอาจเป็นเพราะความสามารถเรามันต่างกันก็เป็นได้ เเต่ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงผมคงต้องร้องไห้เเน่ๆ
ยังไงก็เถอะ ผมหยิบบอลขนาด 6 เซ็นติเมตรออกมาเเละขว้างใส่ก๊อบลิน ทันทีที่บอลออกจากมือผม หัวของมอนสเตอร์ก็หายไปพร้อมกับเสียงตู๊ม
“เอ่อ อะไรเนี่ย”
“ว้าวววว”
ผมยืนงงอยู่ครู่หนึ่ง ผมพึ่งเห็นผลของสเตตัส 100 ทุกค่ากับตาครั้งเเรก มาคิดดูเเล้วสเตตัสของผมน่าจะมากกว่าทีมไซมอนที่พิชิต 31ชั้นในอีเเวนส์ดันเจี้ยนซะอีก
ก๊อบลินนั้นให้ค่าประสบการณ์ 0.03 มากกว่าสไลมม์หน่อยเดียว
ผมลองใช้หอกน้ำ ที่เป็นหนึ่งในรูปแแบบของเวทย์น้ำใส่ก๊อบลินตัวต่อไปที่เจอ พวกเรามีบอลเหล็กจำกัด เเละการไปตามหาบอลเหล็กที่ขว้างไปเเล้วในป่ามันยุ่งยากด้วย
ในบรรดาออร์บเวทมนตร์ทั้งหลาย จะมีบางชนิดที่มีตัวเลขโรมันอยู่ด้วย ออร์บที่มีตัวเลขพวกนี้จะทำให้ผู้ใช้สามารถใช้เวทย์ในเลเวลนั้นๆได้ทันที เเต่ในขณะเดียวกัน ผู้ใช่ก็จะไม่สามารถเรียนรู้สกิลอย่างอื่นได้จากออร์บนั้นๆได้อีก
ออร์บที่ไม่มีตัวเลขนั้นสามารถให้เวทมนตร์เเบบเดียวกันกับออร์บที่มีตัวเลขได้จากประสบการณ์เเละการฝึกฝน คุณสามารถเรียนรู้เวทต้นฉบับได้ด้วย เเต่การจะใช้ทุกรูปแแบบให้เชี่ยวชาญนั้นก็น่าจะทำได้ยาก
ออร์บทุกชนิดที่ดรอปจากสไลม์นั้นเป็นเเบบไม่มีตัวเลขทั้งหมด
ด้วยการไปศึกษาออร์บเวทมนตร์ที่มีตัวเลข ทำให้ผมกับมิโยชิเรียนรู้เวทมาสองบทนั่นคือ เวทย์สร้างน้ำ กับเวทย์หอกน้ำ เวทน้ำนั้นใช้MPหนึ่งหน่วยต่อการสร้างหอกหนึ่งอัน ถึงเอฟเฟคจะไม่น่าตกใจเท่ากับใช้บอลเหล็ก เเต่อย่างน้อยมันก็กำจัดก๊อบลินได้เหมือนกัย
“‘ง่ายดีนะว่าไหม”
***
หลังจากนั้น ผมก็ใช้หอกน้ำไปเรื่อยๆ เเถมเวทน้ำยังไม่ส่งผลเสียกับป่าด้วย ไม่เหมือนเวทไฟ
ในไลท์โนเวล ยิ่งเราใช้เวทมนตร์อะไรมากเท่าไร ผมของมันก็จะเเข็งเเกร่งขึ้นเท่านั้น เเต่ว่าในเกม ความเเรงของมันเพิ่มขึ้นน้อยมาก ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นเเบบไหน
เมื่อผมปรับสเตตัสให้เต็มก็จะมีMP190 เเละจากที่ผมดูจากเมคกิ้ง MPจะฟิ้นฟูเป็นจำนวนเท่ากับค่าINT ทุกๆหนึ่งชั่วโมง ผมไม่รู้ว่านี่มันปกติหรือว่าเป็นผลจากออร์บฟื้นฟูสุดยอด เดี๋ยวมิโยชิคงลงรายละเอียดทีหลังล่ะมั้ง
ผมจดบันทึกเรื่อยๆ ก๊อบลินตัวที่สองให้ XP 0.015 อย่างที่คิด
ตามผลวิจัยที่พวกเราไปค้นคว้ามา ก๊อบลินนั้นอาศัยอยู่เป็นกลุ่ม เเละด้วยความที่ที่บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนมา ทำให้ไม่มีใครคอยจำกัดจำนวนพวกมันด้วย ภายในสองชั่วโมงผมก็ฆ่าพวกมันไปเกือบจะร้อยตัวเเล้ว ระหว่างทางก็มีจัดการวูล์ฟด้วยหอกน้ำนิดหน่อย
อย่าดูถูกค่าINT 100 เชียวนะ
วูล์ฟตัวเเรกให้ค่าประสบการณ์ 0.03 เเต้มเหมือนกับก๊อบลิน เเต่ตอนนั้นก๊อบลินให้เเค่ตัวละ 0.003 เเต้มเท่านั้นเอง เเละจากวูล์ฟที่ผมกำจัดไป การลดลงของXPนั้นคิดเเยกกันระหว่างชนิดของมอนสเตอร์
หลังจากที่ผมกำจัดก๊อบลินตัวที่ 91 บางอย่างก็เกิดขึ้น
“หือ?”
“มีอะไรหรอ” มิโยชิถาม
สกิลออร์บ : DEXxHP+1 | 1 / 5,000,000
สกิลออร์บ : การเกิดก่อนกำหนด | 1 / 10,000,000
สกิลออร์บ : การเติบโตก่อนกำหนด | 1 / 800,000,000
สกิลออร์บ : เร่งการเติบโต | 1 / 1,200,000,000
สกิลออร์บ : การตายก่อนกำหนด | 1 / 2,000,000,000
ก่อนที่ผมจะลงดันเจี้ยน ผมไปจัดการให้จำนวนมอนสเตอร์ทั้งหมดที่ผมฆ่าไปลงท้ายด้วย 00 เเล้ว เเต่ว่า ผมพึ่งจัดการก๊อบลินไป 91ตัว เเล้วก็วูล์ฟ 9 ตัว
“‘งั้น เเสดงว่าหน้าจอเลือกออร์บจะปรากฏขึ้นมาตอนที่ฆ่ามอนสเตอร์ทุกๆ100ตัวโดยที่ไม่สนว่าเป็นชนิดเดียวกันรึเปล่าสินะ”
เรื่องนี้สำคัญมาก ผมจะได้ไม่ต้องไปจัดการชาเเมนเผ่าจันทราถึง100ตัว เป็นข่าวดีจริงๆ
“ว้าวว” มิโยชิร้อง
ตาเธอกลายเป็นหน่วยเงินเยน เเล้วก็เต้นไปมาเหมือนอยู่ในสวอนเลค “ถ้ารุ่นพี่พยายามนับเเล้วก็จัดการจำนวนให้ดี เราอาจจะสามารถฟาร์มออร์บจากบอสได้เลยนะ”
ก็จริง เเต่ก่อนอื่นเราต้องจัดการบอสให้ได้ก่อนนะ จะว่าไป รายการออร์บที่มีให้เลือกนี่บ้าชะมัด อะไรคือการตายก่อนกำหนดเนี่ย คิดไม่ออกเลยว่าถ้ามีคนสูงอายุใช้ไปเเล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ผมอ่านรายชื่อออร์บให้มิโยชิฟัง
“เร่งการเติบโตกับการตายก่อนกำหนดเป็นสกิลที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน” เธอบอก
มิโยชิดาวโหลดฐานข้อมูลสกิลไว้ในเเท็บเลตของเธอ
นักสำรวจเเทบทุกคนต้องเคยจัดการก๊อบลินกันมาเเล้ว ถ้ามีคน 100ล้านคนที่มีดี-การ์ด เเล้วเเต่ละคนจัดการก๊อบลินไป 12 ตัว จะมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่ดรอปออร์บเร่งการเติบโต เเต่ทว่า…
“คนส่วนมากจะกำจัดมอนสเตอร์หนึ่งตัวเพื่อที่จะเอาดี-การ์ด หลังจากนั้นก็จะเริ่มหาเหยื่อที่เก่งกว่าก๊อบลินกัน เเถมก๊อบลินก็ไม่ดรอปอะไรที่ขายได้ด้วย”
“ก็ว่างั้น”
ผมเองก็ไม่อยากจะล่าก๊อบลินไปตลอดเหมือนกัน มันให้ค่าประสบการณ์เท่าสไลม์ เเละจนมาถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เคยได้ยินเลยว่ามันดรอปของอะไรด้วย
“เหมือนนักสำรวจจะล่าก๊อบลินเพื่อของที่มันสะสมไว้ในรัง”
“ทำไมเธอไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ”
จนมาถึงตอนนี้ ผมเห็นหลายที่เหมือนกันที่ดูคล้ายรังของมัน เเต่ไม่ได้เข้าไปค้นหาอะไร
“เราต้องตามหามันถึงจะเจอ ไม่เหมือนกับดรอปไอเทมที่โปล่มาเอง อ้อ เเล้วก็อีกอย่าง รังของมันเค้าเรียกกันว่า GTBs”
“ว้าว ย่อมาหีบสมบัติของก๊อบลินหรอ ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย เธอน่าจะบอกให้เร็วกว่านี้นะ”
“ไม่ว่าจะหาเท่าไร ก็ไม่มีอะไรที่ดีเป็นพิเศษหรอกนะ อย่างมากก็จะเจอโพชั่นระดับหนึ่ง ฉันว่าไม่ต้องสนใจมันเเล้วไปตามทางของเราต่อดีกว่า”
“เเต่มันฟังดูเหมือนการล่าสมบัติเลยนี่นา”
“เอาไว้สำหรับมือสมัครเล่นน่ะสิ”
การไปตามหาหีบสมบัติจะถือเป็นการเดทที่น่าสนใจไหมนะ
“ฉันไม่เเนะนำให้เดินกำจัดก๊อบลินตอนไปเดทหรอกนะ” มิโยชิเตือน “ผู้หญิงส่วนมากจะกรีดร้องเเล้ววิ่งหนีมากกว่า”
“เธออ่านใจฉันรึไง”
“ป่าว เเต่ตอนรุ่นพี่คิดถึงเรื่องผู้หญิง รูจมูกจะขยายใหญ่ขึ้นน่ะ”
“จริงดิ!”
“อยากรู้จริงๆรึไง?” มิโยชิไม่ยอมตอบ
อืม ถ้าจริงนี่ผมมีปัญหาเเน่ๆ
DEXxHP+1 เป็นออร์บที่คนเรียกกันว่าออร์บโง่ เเต่จากที่เคยคุยกับมิโยชิ มันน่าจะมีความสำคัญในอนาคต แถมถ้ามันมีอัตราการดรอปที่หนึ่งในห้าล้าน นักสำรวจทั่วโลกน่าจะดรอปออร์บนี้่มาพอควรเเล้ว
“สกิลการเกิดก่อนกำหนด จะช่วยลดเวลาการตั้งครรภ์ เพราะชื่อมันเเปลกๆ เลยมีการทดลองใช้กับหมูก่อน”
ถ้ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์กำจัดมอนสเตอร์ได้ ดี-การ์ดก็จะปรากฏขึ้นมาเหมือนกัน เเต่ส่วนมากการ์ดของพวกสัตว์ป่าสุดท้ายก็จะหายไป เเละบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าสัตว์ส่วนใหญ่นั้นไม่มีชื่อ การ์ดก็เลยไม่เเสดงชื่อหรือเเรงค์ เเต่ผมอดสงสัยไมไ่ด้ว่าถ้ามีสัตว์เลี้ยงของใครสักคนได้รับดี-การ์ดเเละกลายเป็นักสำรวจเเนวหน้า จะรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นสัตว์ถ้าเราไม่เคยเห็นมันมาก่อน
เเน่นอนว่าสัตว์ที่มีดี-การ์ดก็สามารถใช้ออร์บได้ ผมได้เเต่เดาว่ามันจะได้รับสกิลยังไง เเต่ในกรณีของหมูที่ว่า พวกเขาให้มันกินออร์บลงไป
หลังจากท้องเเล้ว เเม่หมูที่มีสกิลเกิดก่อนกำหนดก็ออกลูกมาในอีก 12 วันให้หลัง สกิลนี้ลดเวลาการตั้งครรภ์ลงเหลือเเค่หนึ่งในสิบของเวลาปกติ เเต่ดูเหมือนตัวเเม่จะอ่อนเเออย่างมาก เพราะว่าต้องใช้พลังงานมากกว่าปกติถึงสิบเท่าในสิบสองวัน ตอนนี้หมูตัวนี้ถูกใช้ทดลองอยู่ว่าความสามารถสกิลจะถูกส่งถ่ายโดยพันธุกรรมได้หรือไม่
“จนมาถึงตอนนี้ มีออร์บเติบโตก่อนกำหนดดรอปมาเเล้วสองลูก เหมือนมันจะเป็นการเร่งการเติบโตของคนหรือสัตว์ภายในดันเจี้ยน”
“ถ้าดูจากชื่อ มันน่าจะถึงขีดจำกัดเร็วพอดูนะ”
ตอนสิบขวบ คุณอาจจะเป็นอัจฉริยะ ตอนสิบห้า คุณอาจจะเป็นคนมีพรสวรรค์ พอผ่านยี่สิบไปคุณก็จะกลายเป็นเเค่คนธรรมดา
“คนส่วนมากคงไม่อยากใช้ออร์บนี่หรอก”
สุดท้ายเเล้ว ออร์บ DEXxHP+1 น่าจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดในรายการนี้
“จะว่าไป เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการตายก่อนกำหนดเลยนี่…มันคืออะไรล่ะนั่น เอาไว้ลอบสังหารหรอ”
ผมไม่เข้าใจว่าการตายก่อนกำหนดคืออะไร – มีเรทดรอปอยู่ที่หนึ่งในสองพันล้าน มันจะมีอะไรมากไปกว่าทำให้ชีวิตสั้นลงไหมนะ ถ้าเราดูจากสกิลเกิดก่อนกำหนด การตายก่อนกำหนดก็น่าจะเป็นการลดอายุขัยลงหนึ่งในสิบ เเต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าประโยชน์ของมันคืออะไร ถึงจะเอาไว้ใช้ลอบสังหาร เเต่มันก็ใช้เวลานานเกินไปอยู่ดี บางทีสกิลนี้อาจจะมีประโยชน์อย่างอื่นซ่อนไว้ก็ได้ อย่างเช่นเปลี่ยนผู้ใช้ให้กลายเป็นอัจฉริยะ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่มีวิธีจะทดสอบ เเละเเน่นอนว่าผมไม่อยากจะใช้ออร์บด้วยตัวเอง
“งั้นฉันจะเลือกออร์บเร่งการเติบโตละกัน”
ดังนั้นผมจึงมีออร์บใหม่เพิ่มมาหนึ่งลูก
เหมือนว่าจำนวนก๊อบลินจะไม่ลดลงไปสักนิด เเล้วMPผมก็ฟื้นคืนมาหนึ่งร้อยทุกชั่วโมงด้วย เราเลยล่ามันไปอีกสองชั่วโมง มิโยชิที่เก็บข้อมูลได้มากเกิดพอเเล้วก็เริ่มใช้หอกน้ำจัดการมอนสเตอร์บ้าง เธอสามารถฆ่าก๊อบลินได้ในทีเดียวจากการเร่งลูกเหล็กที่เอาออกมาจากสโตเรจด้วยเหมือนกัน เเต่ว่าลูกเหล็กมันมีจำกัด
“ใช้ลูกเหล็กมันรู้สึกดีกว่าตั้งเยอะ” เธอบ่น
พูดอะไรน่ากลัวชะมัด
ผมเจอโคบอลท์เเละจัดการมันเป็นมอนสเตอร์ตัวที่หนึ่งร้อย
สกิลออร์บ : AGIxHP+1 | 1 / 20,000,000
สกิลออร์บ : AGI+1 | 1 / 50,000,000
สกิลออร์บ : ตรวจจับสิ่งมีชีวิต | 1 / 1,200,000,000
สกิลออร์บ : เล่นเเร่เเปรธาตุเเลกเปลี่ยน | 1 / 16,000,000,000
“ทุกสกิลมีบักทึกไว้เเล้วยกเว้นเล่นเเร่เเปรธาตุเเลกเปลี่ยน” มิโยชิบอก
สามจากสี่ออร์บเคยถูกค้นพบเเล้ว สกิลตรวจจับสิ่งมีชีวิตอาจจะหายากในชั้นบนๆ เเต่เหมือนกับว่า มอนสเตอร์ประเภทวูล์ฟที่เป็นสายพันธ์พิเศษจะดรอปมันค่อนข้างบ่อยเลย
“เพราะคำว่าโคบอลท์นั้นมาจากคำว่าโคโบลด์ การเล่นเเร่เเปรธาตุก็สมเหตุสมผลอยู่ เเต่…คำว่าเเลกเปลี่ยนมันหมายความว่ายังไงกันนะ” มิโยชิถาม
“บางทีสกิลอาจจะต้องการสิ่งเเลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมก็ได้ เหมือนพวกในนิทานอีสปไง”
หนึ่งในหนึ่งหมื่นหกพันล้านมันหายากมากเลยนะ เเต่ว่า…
“ออร์บที่มาจากก๊อบลินกับโคบอลท์นี่เหมือนมันจะเเผ่รังสีชั่วร้ายเลยนะ ว่าไหม”
“ก็พวกมันเป็นเป็นพวกซุกซนชอบเเกล้งนี่นา”
ออร์บพวกนี้ดูอันตรายเกินกว่าที่จะเอาไปขายได้ เเล้วผมก็ไม่อยากจะทดสอบมันเองด้วย ผมไม่มีทางเลือกนอกจากจะกลับมาตรวจสอบอีกทีตอนที่มีสกิลจำพวกประเมินเเล้ว สุดท้ายผมก็เลือกตรวจจับสิ่งมีชีวิตมา
“เอาล่ะ เรารู้เเล้วว่ามอนสเตอร์พวกนี้ดรอปออร์บอะไร ไปกันต่อเลยไหม”
“เอาสิ” มิโยชิตอบ “เราจจะเจอวูล์ฟในชั้นล่างด้วย ตั้งเเต่ชั้นสองไปจนถึงชั้นสี่ในโยโยกิ ศัตรูจะค่อยๆเเข็งเเกร่งขึ้น ถึงรูปร่างจะเปลี่ยนไปบ้าง เเต่ส่วนมากก็จะเป็นสายพันธ์เดียวกัน ตอนนี้เราลงไปให้ถึงชั้นห้ากันเถอะ”
“งั้นก็ไปกันเลย”
“เดี่ยวก่อน เเถวนี้ไม่มีคนด้วย มากินข้าวกันเถอะ ฉันหิวเเล้ว”
“ก็ดีเหมือนกัน เธอจะเอาอาวุธลับของพวกเราออกมาไหม”
มิโยชิหัวเราะ “ถึงเวลาเเล้วที่จะเปิดตัวฐานเคลื่อนที่ของพวกเรา – เลดี้ดอลลี่!”
พอหาที่กว้างได้ มิโยชิก็นำรถRVออกมาจากสโตเรจ ผมปีนเข้าไปในรถเเละเอากล่องเบ็นโตะเเละเครื่องเคียงที่ซื้อจากห้างสรรพสินค้าออกมา จากนั้นก็ทานอาหารกลางวันกัน
***
หลังจากที่ทานข้าวเที่ยงเเละพักสักหน่อยเเล้วพวกเราก็มุ่งตรงไปยังชั้น 5 เพราะว่าชั้นต้นๆที่ใกล้กับบนพื้นดินนั้น เราสามารถมาสำรวจเมื่อไรก็ได้ ผมเลยไม่ได้สำรวจอย่างละเอียดมากนัก
พวกเราใช้หอกน้ำกำจัดมอนสเตอร์ในที่ๆไม่ค่อยมีคน เเต่ถ้ามีคนอยู่ พวกเราจะใช้บอลเหล็กเเทนเพื่อความรวดเร็ว ด้วยการใช้สองอย่างนี้ทำให้พวกเรามุ่งตรงไปยังจุดหมายด้วยเส้นทางที่สั้นที่สุด
ตอนเข้าไปที่ชั้น5 พวกเราพึ่งรู้ตัวว่าดึงดูดความสนใจจากคนอื่นมากกว่าที่คิด ตั้งเเต่ชั้นนี้เป็นต้นไป มอนสเตอร์ประเภทหมูป่าเเละออร์คจะเริ่มโผล่มา ทำให้นักสำรวจที่ใช่อุปกรณ์สำหรับมือใหม่ไม่กล้ามาที่ชั้นนี้กัน
“รุ่นพี่ พวกเราหลบจากสายตาคนอื่นไม่ได้เเน่ๆ”
“ใช่ ฉันน่าจะเตรียมผ้าคลุมมา จะได้ซ่อนอุปกรณ์ของเรา”
ชั้นที่ 5 ถึง 8 นั้นจะเป็นป่า ถึงชั้น 2-4 จะเป็นป่าเหมือนกัน เเต่ป่าของที่นี่มันทึบเเละหนาเเน่นกว่ามาก เเถมยังมีถ้ำที่มอนสเตอร์ใช้เป็นรังอยู่หลายจุดด้วย
“ออร์ค หมูป่าเเล้วก็วูล์ฟจะเริ่มโผล่มาที่ชั้นนี้เเล้วนะ” มิโยชิอธิบายขณะที่กำลังดูเเท๊ปเลต “เเล้วก็ในตอนกลางคืนก็จะมีเชิจกริมกับไนท์วูล์ฟด้วย”
เหมือนว่าทีมที่ต้องการไปที่ชั้นลึกกว่านี้จะไปตั้งเเคมป์นอนตอนกลางคืนกันที่ชั้น 8
ที่ชั้น10นั้นมีมอนสเตอร์อันเดดหลากหลายประเภทอยู่เเละบันไดที่ลงไปชั้น 11 นั้นอยู่ค่อนข้างไกล ส่วนชั้น11 ก็เป็นชั้นลาวา ทำให้ไปตั้งเเคมป์ไม่ได้ เเถมนักสำรวจส่วนมากก็ไม่สามารถไปถึงชั้น11 ได้ภายในวันเดียวด้วย
สุดท้าย การที่จะตั้งเเคมป์บนชั้น 9 นั้นก็จะเสี่ยงกับการเจอกับออร์คเเละโคโลเนียลวอร์ม ทำให้เหลือเเค่ชั้น8โดยการตัดตัวเลือกไปโดยปริยาย สามปีมานี้ ชั้นเเปดได้มีอุปกรณ์ทางการเเพทย์ถูกสะสมเอาไว้มากมายจากหลายๆทีมที่มาพักเเรม ทำให้ตอนนี้ที่นั้นจะเหมือนมีฐานชั่วคราวตั้งอยู่เลยทีเดียว
ตอนนี้ก็ใกล้พระอาทิตย์ตกเเล้ว การจะย้อนกลับหรือจะไปต่อนั้นน่าจะทำได้ยาก ทำให้บริเวณบันได จะมีหลายๆทีมที่เริ่มเตรียมตัวตั้งเเคมป์กันที่นั่น
ในชั้นนี้จะมีบางกลุ่มที่รอให้พระอาทิตย์ตกดินเพื่อที่จะล่าเชิจกริม พวกมันมีสีดำ รูปร่างคล้ายสุนัข เป็นมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวในเวลากลางคืนตั้งเเต่ชั้น 5 ไปจนถึงชั้น 9
ในตอนเเรกนั้น ผู้คนสับสนกันระหว่างเชิจกริมกับเฮลฮาวด์ เชิจกริมนั้นจะดรอปของเหลวสีแดงที่ตอนนี้จะเรียกกันว่า น้ำยาซึมซับ ภายนอกของมันดูคล้ายกับโพชัน ถึงคุณจะไปเเตะมัน มันก็จะขึ้นเเค่คำว่า โพชัน เเต่ของเหลวนี้ไม่สามารถรักษาเเผลอะไรได้ ด้วยความที่ไม่มีใครรู้ว่ามันทำอะไรได้ ผู้คนในตอนนั้นเลยเรียกมันว่า โพชันปลอม
สุดท้ายเเล้ว ผลของของเหลวนี้ก็ถูกค้นพบโดยบังเอิญ
ที่ชั้น 10 ของโยโยกิจะเป็นพื้นที่สุสานที่มีมอนสเตอร์อันเดดอยู่เต็มไปหมด มันจัดการยากมาก เเละในตอนเเรกยังไม่มีใครที่สามารถหาทางลงไปยังชั้น11ได้ มีวันนึงที่ซอมบี้ได้กัดเเขนของสมาชิกทีมๆนึง ด้วยความตกใจ นักสำรวจคนนั้นจึงได้เอาโพชั่นปลอมไปราดที่ปากเเผลเพราะนึกว่าเป็นโพชั่นจริง เเน่นอนว่ามันไม่ได้ผล พอเขารู้ตัวก็จึงใช้โพชันของจริงเเทน ผลก็คือเขากลับมาหายดีเป็นปกติ เเต่นั่นก็ทำให้ค้นพบความจริงอีกหนึ่งอย่าง
มอนสเตอร์อันเดดชั้นต่ำอย่างเช่น ซอมบี้กับสเกลเลตันนั้น ไม่สนใจนักสำรวจคนนั้นเลย เหมือนมันคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกับมัน ตั้งเเต่นั้นมา สุนัขสีดำที่คนเข้าใจผิดว่าเป็นเฮลฮาว์นนั้นก็เป็นที่รู้จักกันในนาม ‘เชิจกริม’ หรือในอีกเเง่ก็คือ ‘ผู้เฝ้าสุสาน’‘
เเละเพราะน้ำยาซึมซับนั้นเอง ทำให้ตอนนี้นักสำรวจสามารถผ่านสุสานไปได้โดยไร้รอยขีดข่วน
น่าเสียดายที่ผลของน้ำยานี้จะอ่อนเเรงลงเมื่อถึงเวลากลางคืน ทำให้เเม้เเต่นักสำรวจระดับสูงก็จะหลีกเลี่ยงชั้น10 ตอนที่ตะวันตกดินไปเเล้ว
เมื่อตะวันตกดิน นักสำรวจที่ต้องการจะเดินทางไปที่ชั้น11หรือลึกลงไปจะเริ่มล่าเชิจกริมกันที่ชั้น5ถึงชั้น8 เเน่นอนว่าที่ทางเข้าชั้น5จะปลอดภัยที่สุด เเต่ว่าทางออกชั้น8นั้นจะเป็นที่เหมาะสมกับการล่ามากที่สุด ทำให้คนส่วนมากจะอยู่กันที่สองที่นี้
ผมกับมิโยชิหนีจากกลุ่มนักสำรวจที่กำลังตั้งเเคมป์กันอยู่รอบๆบันได พวกเราแอบไปยังพื้นที่ๆไม่ค่อยมีคนอย่างลับๆล่อๆ หลังจากที่เดินทางมาได้สักพักก็เจอกับลำธารที่มีความกว้างประมาณ 4 เมตร เพราะน้ำไม่ลึกมากผมเลยหิ้วมิโยชิเเล้วกระโดดข้ามฝั่งไป
“รุ่นพี่ ฉันสังเกตเห็นตั้งเเต่ชั้นสองเเล้ว สเตตัสที่เพิ่มขึ้นมาของรุ่นพี่นี่ใช้งานได้ดีเลยนะ”
“ใช่ไหมล่ะ ถ้าเป็นปกติ ฉันน่าจะรู้สึกหนัก เเต่ตอนนี้- โอ๊ยย!”
มิโยชิส่งหมัดขวาตรงเข้าที่ตับผมจากทางด้านหลัง “ไก่ฟ้าจะไม่ถูกต่อยเข้าที่กึ๊นถ้ามันไม่ร้อง” มิโยชิพูดสำนวนเก่าเเก่ออกมา
สำนวนมันน่าจะเป็นยิงมากกว่าเป็นการต่อยนะ
ข้างหน้าเราเป็นพื้นที่โล่งเหมาะกับการตั้งเเคมป์ มิโยชิยืนยันว่าไม่มีคนอยู่เเถวนั้นเเละจึงเอาฐานเคลื่อนที่ของพวกเราออกมาจากสโตเรจ
“เหนื่อยชะมัด” เธอถอนหายใจ
เธอเดินเข้าไปในรถเเละเปิดสวิตซ์อุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เพราะพวกเราคลุมดอลลี่ทั้งคันไว้ด้วยเเผ่นไทเทเนี่ยม ทำให้ไม่สามารถมองเห็นข้างนอกจากในตัวรถได้ เราจึงมึกล้องวงจรปิดหลายๆตัวเอาไว้ทดเเทนกัน หลังจากที่ตรวจสอบบริเวณโดยรอบผ่านจอมอนิเตอร์เเล้ว มิโยชิก็รีบเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ
ในระหว่างที่กำลังดื่มชาที่เอาออกมาจากวอลท์ ผมก็คอยสอดส่องจอมอนิเตอร์ไปด้วย สักพักก็มีเสียงตึกตักพร้อมกับมิโยชิที่ออกมาจากห้องอาบน้ำ
“รุ่นพี่ใช้ห้องอาบน้ำได้เเล้วนะ อ้อ ก่อนหน้านั้นเอาของกินออกมาจากวอลท์ให้ด้วย”
“ได้”
ผมเอาเครื่องดื่ม ของหวาน เเล้วก็เบนโตะหลายกล่องออกมาวางไว้ที่โต๊ะเเละเดินเข้าไปอาบน้ำ
เเต่ในระหว่างที่อาบอยู่ ผมก็ต้องหยุด
“นั่นเสียงร้องใช่ไหม”
มิโยชิกระโดดไปอยู่หน้าเเผงควบคุม เเละเพิ่มระดับของเซ็นเซอร์เเละไมค์ พอมีเเสงวาบที่กล้องวงจรปิด ผมก็ได้ยินเสียงร้องอีกครั้ง
“อืมม คล้ายกับเสียงขู่ของสัตว์กับเสียงร้องของคนเลย รุ่นพี่จะเอายังไง”
“สิ่งเดียวที่จะทำให้่ความชั่วร้ายชนะก็คือคนดีอยู่เฉยๆนี่เเหละ”
“ฉันจะพยายามบอกทางรุ่นพี่นะ” มิโยชิถอนหายใจเเละโยนหูฟังคู่นึงให้ “ใส่เอาไว้ด้วยล่ะ”
“ได้เลย”
ผมออกจากฐานเเละเริ่มวิ่งไปตามทางที่มิโยชิบอก หลังจากข้ามเเม่น้ำเเละไปต่ออีกสักพักก็มีหมอกหนาปรากฏขึ้น “จากตรงนี้ไปเป็นโลกอีกโลกนึง” เหมือนหมอกหนาผิดปกตินี้กำลังบอกผมอยู่เเบบนี้
“มิโยชิ เธอเห็นหมอกนี่ไหม”
“เห็น เเต่มันเหมือนกับเป็นความมืดมากกว่าหมอก มันดำมืดไปหมดเลย เดี๋ยวฉันจะลองส่งโดรนออกไปดู เเต่น่าจะมองอะไรไม่เห็นอยู่ดี”
นี่เธอเอาโดรนใส่รถมาด้วยเรอะ
ผมทำใจให้เเน่วเเน่เเละก้าวเข้าไปในหมอก เสียงหอนของสัตว์ เสียงกรีดร้องของผู้หญิงเเละเสียงขู่ดังขึ้นเรื่อยๆ