ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 25 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (1)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 25 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (1)
บทที่ 3 : เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก
21 พฤจิกายน 2018 (วันพุธ)
โยโยกิ-ฮาจิมัน
ในวันนั้น ความกดอากาศสูงได้ปกคลุมไปทั่วหมู่เกาะญี่ปุ่น เมื่อดูว่าตอนนี้พึ่งจะเป็นเดือนพฤจิกายนเท่านั้น น่าจะต้องเป็นอีกวันนึงที่อากาศหนาวเเน่ๆ
“รุ่นพี่ เดี๋ยวรถRVจะมาส่งที่บ้านเรานะ”
“โอ้ ในที่สุดก็มาจนได้ เเล้วเรื่องภายนอกรถตกลงเราเอายังไงนะ”
“ฉันให้ผู้ผลิตเอาเเผ่นไทเทเนียมมาเสริมความเเข็งเเกร่งอีกหนึ่งชั้น เเต่พอเสร็จเเล้วจะไม่ผ่านการตรวจสอบนะ”
“คิดว่างั้นเเหละ เเต่เราไม่ได้เอาไปขับลงถนนสาธารณะ คงไม่น่าจะเป็นอะไร”
“ตอนฉันบอกผู้ผลิตว่าจะเอายังไงนะ เขาทำหน้าเเปลกๆเเล้วถามว่าเราจะเอาไปใช้ทำสงครามที่ไหนด้วยล่ะ” เธอหัวเราะ “เเต่ไม่รู้ว่าเค้าจะเอารถมาส่งยังไงนะ จะมีคนขับรถเรามาจอดในสวนรึเปล่า”
“หา ไม่ใช่ว่ามันเอาไปขับบนถนนสาธารณะไม่ได้หรอ”
“ตอนนี้น่ะยังได้อยู่ เพราะเค้ายังไม่ได้ใช้เเผ่นไทเทเนี่ยมคลุมด้านหน้ากับพื้นที่สำคัญอื่นๆ พอเค้าส่งมอบเเล้ว ทางผู้ผลิตจะจัดการคลุมส่วนที่เหลือให้ หลังจากนั้นก็จะใช้ขับไม่ได้เเล้วล่ะ”
ไม่ต้องคิดถึงว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านการตรวจหรอก ถ้ามองไม่เห็นข้างนอกผ่านกระจกหน้า ใครมันจะไปขับได้
เเต่เราจะใช้รถเป็นฐานเท่านั้น ไม่มีกระจกหน้าก็ไม่ใช่ปัญหา
“ตอนนี้เราใช้รถไปก่อนก็ได้ เเต่สุดท้ายเเล้วฉันอยากได้บ้านทั้งหลังเอาไว้ลงดันเจี้ยน” ผมพูด “เธอว่าจะมีใครสร้างให้เราได้ไหม จะเป็นผู้ผลิตรถRVก็ไม่เป็นไร”
“ความคิดดีนี่นา เพราะสภาพข้างในดันเจี้ยนมันโหดร้ายพอควร ฉันก็ไม่คิดหรอกว่ารถนี่จะอยู่ได้นานนัก ถ้าเราอยากจะได้อะไรที่สามารถควบคุมอากาศกับมีระบบหมุนเวียนภายใน น่าจะต้องไปติดต่อบริษัทที่เกี่ยวกับการพัฒนาทางอวกาศ”
“ฉันไม่ได้อยากได้อะไรที่มันหลุดโลกขนาดนั้นหรอก เเต่ว่ามาตั้งเเคมป์ในดันเจี้ยนเนี่ย สำหรับพวกเรานี่เป็นไปไม่ได้เลย”
“ช่าย พวกเราเป็นคนอ่อนแอที่เคยชินกับเทคโนโลยีสมัยใหม่นี่นา”
“เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่เพราะพวกเราอ่อนเเอนะ โอเคมั้ย ถ้าเราต้องมาคอยเฝ้ายามกันสองคนคงไม่ได้นอนเเน่”
มิโยชิพ่นลมประชด “เอางั้นก็ได้”
โธ่ ผมจริงจังนะเนี่ย
“เเต่ถ้าเเบบนั้น พวกทหารที่สุดยอดไปเลย” มิโยชิเสริม
ผมเห็นด้วยจริงๆเรื่องนี้ เวลาSDFเเละองค์กรต่างประเทศจะลงสำรวจดันเจี้ยน พวกเขาจะใช้วิธีการเดินทางสำรวจ วิธีนี้จะทำให้การสำรวจเป็นไปอย่างปลอดภัยมากขึ้น เเต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเป็นการป้องกันสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดไม่ให้เกิดขึ้น
กลับกัน ทีมของไซมอนที่สำรวจโยโยกิอยู่ตอนนี้ใช้วิธีเเบบการผจญภัย ไซมอนพูดพร้อมหัวเราะว่า “ก็ตอนนี้พวกเราลาพักผ่อนอยู่นี่นา” ถึงผมจะคิดว่าพวกเขามีอุปกรณ์ทางการทหารทันสมัยอะไรหลายๆอย่าง เเต่โดยพื้นฐานเเล้วยังไงก็ต้องมีเตียงเเละคนเฝ้ายาม
“ส่วนอาวุธกับชุดเกราะพวกเราจะเอายังไงกันดี พอขึ้นชั้นสองถ้าไม่มีเลยก็จะน่าสงสัยถูกไหม” มิโยชิถาม
“ใช่ ถ้าใช่ชุดธรรมดาไปจะต้องเด่นมากเเน่ พวกที่อัธยาศัยดีจะต้องเข้ามาเตือนพวกเราไม่หยุดเเน่นอน”
ผมนึกภาพออกเลยว่าจะต้องมีคนเรียกเราเวลาเดินสวนกัน “ชั้นนี้มันอันตรายนะถ้าไม่ใส่เครื่องป้องกัน”
ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงประสาทเสียเเน่ ถึงคนที่เตือนจะมีเจตนาดีเเละเตือนเพียงครั้งเดียวก็เถอะ เเต่คนโดนเตือนนั้นไม่ได้รับคำเตือนเเค่ครั้งเดียวนี่สิ
“ถึงจะใส่ชุดเกราะเเพงๆก็ไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันได้ทุกอย่างอยู่ดี เรามาเน้นเรื่องความสะดวกในการเคลื่อนที่เเล้วพึ่งค่าVITกับสกิลฟื้นฟูสุดยอดกันเถอะ เราน่าจะไปซื้อชุดมือใหม่ที่มิตสึรุกิกับไซโต้ใส่ตอนที่ลงดันเจี้ยนครั้งเเรกนะ มันถูกด้วย”
“ถ้าจำไม่ผิด นักสำรวจเเรงค์Gจะสามารถซื้อได้เเค่เครื่องสวมใส่ราคาถูก”
“อ้อ เเล้วก็อยากได้โล่เอาไว้ป้องกันการโจมตีระยะไกลด้วย”
“กระทะไทเทเนียมของฉันไม่ดีพอสำหรับรุ่นพี่รึไง!” มิโยชิส่งเสียงฮึ่ม
“น่า.. เราต้องพัฒนาบ้างสิ”
ถ้าดูเเค่ประสิทธิภาพอย่างเดียว กระทะไทเทเนียมก็สามารถใช้งานได้ดีคุ้มกับราคา เเต่จะให้ถือกระทะเดินไปเดินมานี่มันน่าสงสัยชะมัด เเถมมันก็เล็กจนกันอะไรไม่ค่อยได้ด้วย
“โล่เเบบที่เราอยากได้น่ะไม่สามารถหาซื้อได้จากร้านค้านอกดันเจี้ยนหรอกนะ” มิโยชิพูดพร้อมเปิดPCขึ้นมาดูร้านที่มีโล่ขาย “นี่ อันนี้ดูเหมือนจะทนมากเลย”
“ไหนดูซิว่ามีอะไรบ้าง” ผมดูจอเเละเจอคำว่า โล่บังเกอร์ อยู่
“ดูนี่สิมิโยชิ คิดว่าใครมันจะไปใช้โล่หนัก 180 กิโลนี่ได้กัน”
“เเน่นอนอยู่เเล้ว ก็รุ่นพี่ไง”
เออจริงด้วย ผมน่าจะใช้ได้นะ…
“นั่นมันเด่นกว่ากระทะอีกนะ ในอีกความหมายนึงเลย!”
“ว้าว รุ่นพี่คิดถึงเเต่ตัวเองไม่นึกถึงคนอื่นเลยรึไง เอาเถอะ พวกนี้เป็นไง”
ในหน้าจอกำลังเเสดงโล่สองเเบบ อย่างเเรกคือโล่กันกระสุนส่วนบุคคลเเบบที่ใช้กันโดยหน่วยSWATของสหรัฐ เเละอีกอย่างคือโล่เล็กจากLBA
“โล่กันกระสุนหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม ส่วนโล่เล็กทำจากเคฟล่า หนักประมาณ 3 กิโลกรัม เเต่ก็ป้องกันพื้นที่ได้เล็กตามขนาดโล่”
“ตอนนี้ฉันอยากได้โล่เพื่อป้องกันจากการโจมตีที่คาดไม่ถึง เพราะงั้นโล่เล็กน่าจะพอเเล้ว อ้อ ซื้อมาเผื่ออีกอย่างน้อยสองอันด้วยนะ”
“รับทราบ” มิโยชิตอบพร้อมกดซื้อ “ส่วนอาวุธ… อยากจะดูเท่ด้วยการใช้อาวุธที่มาจากซี่รี่ส์ดาบในตำนานไหมล่ะ”
มิโยชิหัวเราะเเละเอาดาบที่ตกเเต่งดูสวยงามให้ดู
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
“เหมือนจะเป็นการคอเเลปกันระหว่างบริษัทเกมกับผู้ผลิตอาวุธน่ะสิ”
“ดูยังไงก็เหมือนเป็นของสะสมนะ ยังไงก็เถอะ ฉันใช้ดาบไม่เป็น”
ผมไม่เคยถือดาบมาก่อนเลย ถ้าจะใช้มันโจมตีก็จะดูเกินความสามารถไปหน่อย เเถมถ้าจะเหวี่ยงเอาเเรงเข้าว่าอย่างเดียว เเบบนั้นใช้ไม้เบสบอลเเทนก็ได้
“ถ้าไม่อยากเข้าใกล้มอนสเตอร์ ลองดูอาวุธยิงเป็นไง”
“อาวุธยิงหรอ”
เพราะว่ามีข้อจำกัดเรื่องเเรง ทำให้อาวุธยิงนั้นใช้ประโยชน์จากสเตตัสได้ยาก ทำให้กระสุนที่ยิงออกไปนั้นความเเรงเป็นปกติ ไม่ได้ถูกเพิ่มจากค่า STR ของผู้ยิง ถ้าเป็นพวกที่ยิงหนังสติ๊ก อย่างน้อยคุณก็สามารถจะดึงยางด้วยเเรงของตัวเองได้ เเต่ว่าถ้าเป็นปืนที่เเค่ลั่นไกล่ะก็ จะไม่มีหนทางให้ใช้ค่าSTRได้เลย
เเต่ถ้ามีธนูที่เเทบจะง้างคันธนูไม่ได้ เเบบนั้นก็น่าจะเอาค่าSTRมาใช้ได้ เเต่ผมคิดว่าคงไม่มีใครใช้อาวุธเเบบนั้น เเถมลูกธนูอาจจะไม่โดนเป้าหมายด้วย ฉะนั้นจะต้องใช้ค่า DEX อีก
โดยทั่วๆไปเเล้วการใช้เวทมนตร์ก็เป็นอีกทางเลือกนึง เเต่MPมันก็มีจำกัดอยู่ดี ผมเลยลังเลที่จะให้คำตอบมิโยชิ ในเกมส่วนมากพอความยากเพิ่มขึ้นก็จะมีมอนสเตอร์ที่มีความต้านทานเวทมนตร์สูงโผล่ออกมาด้วย
“เผ่าจันทรา อาศัยอยู่ที่หุบเขาในชั้น14 บางทีเราอาจจะโยนลูกเหล็กใส่มันได้นะ” มิโยชิพูด
ว้าว หรือที่จะเป็นโอกาสที่ผมจะกลายเป็นพิชเชอร์มือฉมัง!
“ที่เฮียวโกมีบริษัทที่ชื่อว่า ฟุนาเบะ เซย์โกะ ที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างลูกบอลโลหะ”
“ญี่ปุ่นนี่มีอะไรทุกอย่างเลยนะเนี่ย”
“บริษัทนี้สร้างลูกบอลตั้งเเต่เล็กกว่าหนึ่งมิลลิเมตรไปจนถึงหนึ่งร้อยมิลลิเมตร เเถมสามารถเลือกวัตถุดิบได้หลายอย่างด้วย มีเเบบบอล8เซ็นติเมตรที่หนัก2กิโลกับเเบบ6เซ็นติเมตรหนัก850กรัม”
“ถ้างั้นเราซื้ออย่างละ100ลูกมาลองเป็นไง จะได้ทดสอบหลายๆเเบบ”
“ถ้าคนธรรมดาเขวี้ยงบอลเหล็กหนักสองกิโล ไหล่จะต้องพังเเน่”
“สเตตัสฉันน่าจะช่วยอยู่เเล้ว เเต่ถ้าเราจะขว้างของ ฉันอยากได้ขวานด้วย”
“เเบบโทมาฮอร์คหรอ”
“ใช่ เเบบนั้นเลย อยากได้อะไรที่มันหนักๆหน่อย ฝากเธอสั่ง บราวนิ่งชอคแอนออวโทมาฮอร์คมาสัก100อันสิ”
“เริ่มจะดูเหมือนกองทัพสั่งอาวุธเเล้วล่ะ”
“เธอคิดว่าเขาจะ หั่น ออเดอร์เรารึเปล่า”
มิโยชิจ้องผม “ทำไมฉันถึงรู้นะว่ารุ่นพี่กำลังเล่นมุก เหมือนกับว่าจะมีในคลังเเหละ เกือบทุกอย่างน่าจะมาถึงพรุ่งนี้”
“เข้าใจเเล้ว งั้นมาตกลงเรื่องเส้นทางกัน”
ตามทาง เราอาจจะเจอกับมอนสเตอร์ที่ผมอยากจะตรวจสอบว่าดรอปออร์บอะไรก็ได้ ผมเลยอยากจะล่าพวกมันด้วย
“เทเลพอร์ทกับชุบชีวิตน่าจะเป็นสกิลในฝันเลยนะใช่ไหม”
“อะไรที่เกี่ยวกับการเสริมความเเข็งเเกร่งทางร่างกายก็น่าจะสะดวกดี”
“สกิลที่เกี่ยวกับการรักษาไม่น่าจะเอามาใช้ก่ออาชญากรรมได้ น่าจะขายได้ราคาไม่น้อยเลย”
“ออร์บที่เกี่ยวกับการรักษางั้นหรอ…”
อย่างพวก ฮีล เคียวกับรักษาเคิส เดี๋ยวก่อนนะ อย่างสุดท้ายมันคนละพวกนี่
“พวกอุปกรณ์ที่ทำให้สามารถสื่อสารระหว่างในดันเจี้ยนกับโลกภายนอกได้ก็น่าจะดีนะ”
“เหมือนว่าจะมีการวิจัยที่เกี่ยวกับควอนตัมเทเลพอเทชั่นด้วย เอามาใช้สื่อสารนี่เเหละ”
“ดันเจี้ยนมันอยู่ในอีกมิตินึงเลย เธอคิดว่ามันจะได้ผลไหม”
“ก็นะ ฉันได้ยินมาว่ามีการทดสอบความพัวพันเชิงควอนตัมในดันเจี้ยนด้วย”
“ว้าว ถ้าใช้ได้จริงเร็วๆก็ดีนะ”
ผมพูดไปเเบบนั้นเเต่ที่จริงก็ไม่รู้รายละเอียดลึกๆหรอก เเต่มันฟังดูดีเท่านั้นเเหละ
“เเต่ก่อนหน้านั้น พวกเราอาจจะหาทางติดต่อสื่อสารกันได้ก่อนก็ได้ เช่นจากวัตถุดิบในดันเจี้ยน”
“ทำไมถึงคิดเเบบนั้นล่ะ”
มิโยชิเปิดเเผนที่โยโยกิดันเจี้ยนชั้น9ให้ดู “ตรงนี้ไง”
มีมอนสเตอร์ที่ชื่อ โคโลเนียลวอร์ม เเสดงอยู่บนหน้าจอ
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะ”
“วิธีจัดการมันยุ่งยากมากเกินไป คนส่วนมากก็เลยไม่สนใจมัน”
มอนสเตอร์ส่วนมากจะอาศัยอยู่ที่ๆห่างไกลกับบันไดไปยังชั้นถัดไป การที่จะล่ามอนสเตอร์พวกนั้น จะต้องมีเเรงกระตุ้นสักหน่อย เพราะส่วนมากเเล้วรางวัลที่ได้จะไม่ค่อยคุ้มกับปัญหาที่จะต้องเจอสักเท่าไร มันเลยเหมือนเป็นกฏที่คนส่วนมากทำตาม คือไม่ไปยุ่งกับมัน ยกตัวอย่างเช่นสไลม์ที่ชั้นหนึ่งเป็นต้น
เเละโคโลเนียลวอร์มก็เป็นมอนสเตอร์ตัวอย่างชั้นดีที่เราควรจะไม่ไปยุ่งกับมัน
“งั้น มันทำไมล่ะ”
“โคโลเนียลวอร์มจะประกอบด้วยโคโลนีเล็กๆกับร่างหลัก”
หน่วยSDFหน่วยเเรกที่เจอมันคิดว่าร่างหลักของมันคือรัง
มิโยชิอธิบายต่อ “หนอนที่เป็นส่วนนึงของโคโลนีเล็กๆนั่นมันกิน – หรือกลืน – อะไรหลายๆอย่าง เเต่ขนาดของพวกมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย”
“มันเลยไม่กลายเป็นสึจิโนโกะงั้นหรอ”
“ไม่ เเต่ตอนที่SDFจัดการร่างหลักของมันด้วยการฟันด้วยใบมีด ก่อนที่มันจะกลายเป็นเเสงหายไป วัตถุที่หนอนกลืนเข้าไปกลับโผล่ออกมาจากร่างหลัก”
เมื่อถูกกำจัด มอนสเตอร์ในดันเจี้ยนจะหายไป ทำให้ไม่มีใครสามารถไปศึกษาโคโลเนียลวอร์มได้อย่างสมบูรณ์ เเต่ก็เเปลกที่ตอนร่างหลักถูกหั่นเเล้วมีของทะลักออกมาก่อนมันตาย
“เเถมวัตถุที่ไม่ได้มาจากดันเจี้ยนนั้นก็ยังมีสภาพสมบูรณ์ด้วย”
“เหมือนเป็นหีบสมบัติเลยนะ”
“เพราะฉะนั้น ตัวหนอนโคโลนีกับร่างหลักน่าจะเชื่อมต่อกันอยู่ด้วยอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน”
“เเฟนตาซีชะมัด ประมาณพวกมันใช้ท้องร่วมกันงั้นเรอะ”
“อย่างนั้นเลย มันจะหมายความว่าท้องของร่างหลักกับอวัยวะของหนอนนั้นมันใช้พื้นที่ทางกายภาพเดียวกันอยู่”
“เป็นไปได้นะ เเต่เราไม่สามารถได้ไอเทมจากการจับมันมาชำเเหละได้ ไอเทมจะดรอปออกมาได้อย่างเดียว”
“ใช่ เเถม…”
มิโยชิเอาวีดีโอชวนขนลุกมาให้ดู พูดตรงๆคือมันทำให้ผมกลัวจนขี้หดตดหาย หนอนโคโลนีนั้นคลานกระดึ๊บอยู่เต็มกำเเพงทางเดิน จนเเทบไม่เห็นตัวกำเเพง เอาจริงๆวีดีโอนี้ทำให้ผมนึกถึงฉากสุดท้ายของหนังเรื่อง Squirm เลยล่ะ
“น่าขยะเเขยงชะมัด”
“นี่เเหละที่ทำให้ไม่มีใครไปทางนั้น”
“เชื่อเลย ถ้าไม่มีเวทมนตร์ระยะไกลที่กินพื้นที่กว้างๆ ใครมันจะเข้าไปใกล้เเถวนั้นกัน”
“ไม่ใช่ฉันเเน่นอน ฉันไม่อยากถูกกินนะ”
“เเต่ถ้าเราเเค่ต้องการสกิลเวทมนตร์ ก็มีทางเลือกอยู่หลายอย่างนะ” มิโยชิชี้ไปที่มอนสเตอร์ชุดนึง มีเลสเซอร์ซาลามันดอร่าในชั้น 11 กับคาไมทาจิของชั้น 17 เเถมมีเกรทเดสมานาที่ชั้น 13กับ14ด้วย
“อะไรคือเดสมาน่า” ผมถาม
“มันจะคล้ายๆตัวตุ่นขนาดใหญ่ที่ชื่อว่ารัสเซียนเดสมัน ที่มีหางใหญ่ๆกับจมูกเเหลมๆ”
ถึงจะไม่นับหาง เกรทเดสมาน่าก็จะมีความยาวถึงหนึ่งเมตร มันดูเหมือนหนูไม่ก็ตัวตุ่นจริงๆด้วย
“มีตัวพวกนี้เดินเพ่นพ่านอยู่หรอเนี่ย โทมาฮอร์คของฉันน่าจะไม่ได้ผลนะ”
“ถ้าเอาอาวุธอีกชิ้นที่มีใบมีดยาวๆไปด้วยน่าจะดี”
ใบมีดยาวๆงั้นหรอ สุดท้ายก็ไม่พ้นดาบอยู่ดีรึเปล่า
“จะว่าไป ฉันคิดจะลองเอารถบัสเข้าๆออกๆสโตเรจด้วย”
“ยังไงนะ”
“ที่เคยเล่าให้ฟังจำได้ไหม ว่าเวลาเอาของออกจาสโตเรจ ฉันสามารถกำหนดทิศทางกับตำเเหน่งได้ระดับนึง”
“อะฮะ ใช่”
“คิดว่าเราสามารถเอาของเเหลมๆคมๆออกมาอยู่บนหัวศัตรูได้ไหม เเต่น่าจะไม่มีผลกับมอนสเตอร์ที่เร็วๆเท่าไร”
“ใช้มวลของวัตุเป็นอาวุธงั้นหรอ น่าจะลองดูนะ”
“เเล้วถ้าเกิดเราสามารถคงรูปร่างของเวทมนตร์ไว้ได้หลังจากที่เราปล่อยออกมาเเล้วล่ะ อย่างเช่นเล็งวอเตออร์บอลค้างไว้ใส่หัวศัตรู เราสามารถทำให้มันขาดอากาศหายใจได้”
“มอนสเตอร์มันต้องใช้ออกซิเจนด้วยหรอ”
“ไม่รู้สิ เเต่ถ้าลองคิดว่าทฤษฏีทางผ่านดันเจี้ยนเป็นจริง ที่ว่าชั้นลึกสุดของดันเจี้ยนเป็นทางเชื่อมสู่ต่างโลกน่ะ มันน่าจะมีความเเตกต่างของความดันเเละส่วนประกอบของอากาศใช่ไหม เเต่สามปีนี้ยังไม่มีปัญหาเรื่องพวกนี้โผล่มาเลย”
“ไม่ใช่เพราะว่าเเต่ละชั้นเป็นมิติจำเพาะเเยกกันอยู่รึไง”
สัญญาณไฟฟ้าไม่สามารถเข้าไปถึงหรือออกจากดันเจี้ยนได้ อีกทั้งปรากฏการนี้ยังเกิดขึ้นระหว่างเเต่ละชั้นของดันเจี้ยนด้วย สิ่งที่สำคัญคือขนาดใหญ่มหึมาของดันเจี้ยนนั้นไม่สอดคล้องกับพื้นที่ที่มันใช้จริงๆอยู่ใต้ดิน ถ้าดันเจี้ยนนั้นไม่ได้อยู่อีกมิตินึง ผมก็คิดหาอธิบายอื่นไม่ออกเเล้ว
“เเบบนั้นก็จริง เเต่เราสามารถผ่านเข้าออกดันเจี้ยนเเต่ละชั้นราวกับว่ามันเชื่อมต่อกันอยู่เลยนะ”
“ถ้าเป็นเเบบนั้นก็เเสดงว่าอากาศเคลื่อนที่ผ่านได้ ต่างโลกที่จริงอาจจะมีลักษณะอากาศเหมือนเราก็ได้ เเสดงว่ามอนสเตอร์ก็ต้องหายใจเหมือนกันใช่ไหม”
“เเน่นอนว่าบางทีเเต่ละชั้นอาจจะไม่ได้เชื่อมกัน เเต่เราเคลื่อนที่ไปมาได้ด้วยการเทเลพอร์ต เเต่ว่า…รุ่นพี่ไม่คิดว่ามันเเปลกหรอ”
“เเปลกยังไงล่ะ”
“ดันเจี้ยนเป็นจุดเชื่อมต่อกับต่างโลกที่มีมอนสเตอร์อยู่เยอะเเยะใช่ไหม เเล้วก็คนจำนวนมากก็ไปสำรวจดันเจี้ยนกัน ไม่ใช่ว่าเราควรจะระวังพวกเชื้อโรคหรอ ทำไมถึงไม่มีการตรวจกักกันเชื้อหรือฆ่าเชื้อเลย”
จริงด้วย เเม้เเต่บนโลกเองก็ตาม การกักกันเชื้อนั้นบางทีก็จำเป็นเวลาเดินทางระหว่างประเทศ เเต่เท่าที่ผมรู้ นักสำรวจดันเจี้ยนไม่เคยต้องถูกกักตัวเลย ตั้งเเต่ดันเจี้ยนเปิดให้สาธารณะชนเข้า ก็ยังไม่เคยมีเเบคทีเรียอันตรายหรือสิ่งมีชีวิตที่นอกเหนือจากมอนสเตอร์ ถูกค้นพบเลยสักชนิด
“บางทีออกซิเจนอาจจะฆ่าเเบคทีเรียต่างโลกไปก็ได้”
“ไม่ว่าเราจะเค้นสมองคิดขนาดไหนก็หาคำตอบไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าการใช้มวลเป็นอาวุธเป็นไอเดียที่ดีก็เเล้วกัน เธอสามารถซื้อเสาแหลมๆที่หนักสักหนึ่งตันได้ไหม”
ถ้ามันหนักเกินไปก็จะใส่ในวอลต์ไม่ได้เหมือนกัน
มิโยชิกำลังลองหาดูตามที่ผมบอก “ถ้าจะใช้อาวุธมีคม อะไรสักอย่างที่หนักประมาณ100กิโลกรัมน่าจะสะดวกดี เเล้วถ้าชั้นของดันเจี้ยนนั้นมีความสูงไม่จำกัด สิ่งที่น่าจะเข้าท่าที่มีขายตามท้องตลาดก็น่าจะเป็นเหล็กรีบาร์ที่หนาสัก5เซ็นติเมตร เเต่เเน่นอนว่ามันไม่น่าจะได้ผลในพื้นที่ปิดหรอก” มิโยชิหัวเราะ
เหล็กรีบาร์งั้นหรอ จะว่าไป ที่เหล็กรีบาร์ร่วงในตอนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของโชคชะตาประหลาดๆนี่นี่นา ตอนนั้นมันร่วงไปโดนอะไรกันเเน่นะ
“ถ้าทำให้อาวุธเรามีความเร่งได้ ก็น่าจะสะดวกดีนะ”
“เอ๋ ฉันอาจจะทำได้นะ อาจจะต้องฝึกสักหน่อยหลังจากนี้ เเต่ยังไงเราก็ต้องสั่งทำพิเศษถ้าต้องการอะไรที่มันหนักมากกว่าหนึ่งตัน เดี๋ยวฉันจะลองทำเเบบสามมิติไปให้เขาประเมินราคาก็เเล้วกัน เเต่น่าเสียดายว่าคงไม่ทันจะเอามาใช้ในการสำรวจครั้งนี้นะ”
เธออาจจะเพิ่มความเร่งให้อาวุธได้งั้นหรอ
ถ้างั้นผมอาจจะลองฝึกกับอะไรสักอย่าง อย่างเช่นลูกปิงปอง ถ้าเกิดทำได้จริง ผมอาจจำเป็นจะต้องเพิ่มค่าINTกับDEXมากกว่าSTRก็ได้ ไว้ค่อยมาดูอีกทีก็เเล้วกัน
“ถ้าเธอสะดวกก็ฝากด้วยนะ ขอบคุณมากเลย”
มีเสียงกริ่งดังขึ้น
“โอ้ หรือว่ารถRVจะมาถึงเเล้ว”
มิโยชิพูดพร้อมกับเช็คที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอเดินไปเปิดประตูรั้ว หลังจากนั้นก็มีพาหนะตรงเข้ามาในบริเวณบ้าน
***
รถRVนั้นหลายเป็นว่าคันใหญ่มาก พอผมเข้าไปข้างในก็ต้องอุทานออกมา “มิโยชิ นี่มันเกินไปจริงๆนะ”
ถึงรถต้นเเบบนั้นจะเป็น25ฟุค ดอลลี่ วาร์เด็น กระจกรถทั้งหมดถูกปิดไม่ให้เเสงเข้าได้ มีหน้าจอเเขวนอยู่ที่มุมรับประทานอาหารเเละท้ายห้องนอน หน้าจอนั้นเเสดงรูปภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดเอาไว้ด้านนอกรถ
“จากที่ได้ยินมา ในดันเจี้ยนนั้นไม่ค่อยมีเสียงเท่าไร ส่วนไฟฟ้าก็ใช้จากเซลล์เชื้อเพลงเอา จ่ายเงินไปเยอะเหมือนกันนะ”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง มิโยชิดูมีความสุขมาก สงสัยเธอจะสนุกกับเทคโนโลยีใหม่ๆล่ะมั้ง
“ฉันใช้ PEFc(1) กับ DMFCs(2) ต่อขนานกัน กะว่าจะพกไว้เยอะๆเผื่อเอาไว้ก่อน เเต่เสียงพัดลมมันดังชะมัด คงต้องทำอะไรสักอย่างเเล้ว”
เเต่ผมเเทบไม่ได้ยินเลยนะ
ยังไงก็เถอะ ผมเอาอาหารทั้งหมดเก็บไว้ในวอลต์ เพราะเราไม่น่าจะต้องทำอาหารเท่าไรนักส่วนของครัวในรถจึงค่อนข้างเรียบง่าย
ระหว่างที่มิโยชิอธิบายหลายๆอย่าง ผมก็มีความคิดไร้สาระโผล่ขึ้นมา รถRVนี้ข้างในตกเเต่งสไตลล์อเมริกัน เเต่ทำไมถึงเรียกว่า ดอลลี่ วาร์เด็นล่ะ เป็นตัวละครจากดิคเค่นส์ไม่ใช่หรอ หรือว่าการตกเเต่งเเบบอเมริกันยุคเก่ากับอังกฤษจะเหมือนกัน
สุดท้ายเเล้ว พอรถมาส่ง การเตรียมตัวของเราก็เสร็จสิ้นเเล้ว ถ้าที่เหลือมาส่งวันพรุ่งนี้ พวกเราก็สามารถลงสำรวจดันเจี้ยนกันได้เลย พอคิดว่านี่จะเป็นการผจญภัยของจริงครั้งเเรก ผมก็อดที่จะตื่นเต้นไมไ่ด้
1 PEFC/Polymer Electrolyte Fuel Cell : เป็นเซลล์เชื้อเพลิงที่มีขนากกระทัดรัด เบาเเละมีประสิทธิภาพมาก ฉะนั้นจึงมีราคาเเพง
2. DMFC/Direct Methanol Fuel Cell : เมื่อเทียบกับ PEFC เเล้วจะมีราคาถูกกว่า มีขนาดเบาเเละเล็กกว่าด้วย เเต่ประสิทธิภาพจะไม่ดีเท่า