ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 19.5 เล่ม 1 : D-Powers, เริ่มทำงานได้ (9.5)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 19.5 เล่ม 1 : D-Powers, เริ่มทำงานได้ (9.5)
โอกินาวะ 2015
หน้าร้อนของปี 2015 กำลังจะจบลง หลังจากที่ดันเจี้ยนที่นั้นปรากฏขึ้นมาตอนต้นฤดูร้อน ได้มีการโต้เถียงกันมากมายในเรื่องนี้ เเต่มีเเค่สิ่งเดียวที่กระทบกับอิโอริก็คือการตัดขาดของรถไฟจิโยดะไลน์ ระหว่างฮาราจูกุกับสวนโยโยกิ นอกจากนั้นชีวิตของเธอก็ดำเนินไปตามปกติ หลังจากวิทยานิพนธ์ของเธอจะเสร็จ เธอตัดสินใจจะไปที่โอกินาวากับเพื่อน เป็นการพักเบรคเตรียมตัวครั้งสุดท้าย
“มิโฮะ เธอเเน่ใจหรอว่ามาถูกทาง” อิโอริถาม
พวกเธอสองคนกำลังเดินผ่านทางเดินเเคบๆที่ดูคล้ายกับอุโมงค์ที่ถูกล้อมไปด้วยต้นไม้ เเค่ยืนเฉยๆก็เหงื่อชุ่มได้เเล้ว บวกกับสภาพอากาศที่เหนียวเหนอะหนะ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในป่าดงดิบ เเถมมีเสียงจักจั่นร้องระงมไปทั่วทำให้เพิ่มความไม่สบายใจขึ้นไปอีก
“เอ่อ.. น่าจะนะ ก็มันไม่มีถนนเส้นอื่นเลยนี่” มิโฮะตอบ
เเค่นี้ก็เพียงพอให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเเล้ว เธอเปิดแอพเเผนที่เเละเข็มทิศในโทรศัพท์มือถือเพื่อยินยันเส้นทางเหมือนนักกีฬาโอเรียนเทียริ่ง เเต่พอขยับเข็มทิศไปมา ตัวเข็มก็หมุนไปมาจาจับทิศไม่ได้
“อะไรเนี่ย เเปลกชะมัด”
“ลองจูนเข็มดูก่อนสิ” มิโฮะเเนะนำ
มิโฮะทำท่าโบกมือเป็นเลขแปดเหมือนกำลังถือโทรศัพท์อยู่ ดูเหมือนว่าบริษัทเคไซอิเล็คโทรนิคได้จดสิทธิบัตรวิธีการจูนนี้ขึ้น ตอนที่อิโอริได้ยินเรื่องนี้ครั้งเเรกก็อดประทับใจกับความช่างคิดของพวกเขาไมไ่ด้ เเต่หว่าหลังจากลองทำตามหลายครั้งเเล้ว ผลก็ยังเหมือนเดิมอยู่ดี
“มีอะไรผิดปกติกับสนามเเม่เหล็กใต้พื้นดินอถวนี้รึปล่าวนะ”
“อ๊ะ หรือว่าจะเป็นจุดรับพลัง(power spot)?” มิโฮะพูดขึ้นมา
ถึงจะอยู่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ เเต่มิโฮะนั้นชอบทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ เเน่นอนว่าเรื่องเหนือธรรมชาตินั้นเเทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ ส่วนมากจะเกี่ยวกับเรื่องจิตใจซะมากกว่า ถึงมิโฮะจะรู้เเต่ก้ยังดูสนุกไปกับเรื่องวิญญาณพวกนี้ เลยทำให้เธอเป็นคนที่อยู่ด้วยเเล้วรู้สึกสบายใจ ที่จริงอิโอริเองก็รู้สึกสนุกไปกับเรื่องพวกนี้ด้วยเหมือนกัน ก็เพราะว่าจุดรับพลังพวกนี้ส่วนมากเเล้วจะเป็นที่ๆมีวิวสวยๆ หรือที่ๆรู้สึกทรงพลัง’
“ไม่ต้องห่วงนะ” มิโฮะเริ่มออกเดินอีกครั้ง “พอผ่านความยากลำบากไปได้ก็จะมีเรื่องดีๆรออยู่”
อิโอริยังคงเหงื่อไหลไม่หยุด กลิ่นอับที่มาจากหญ้านั้นอบอวลไปทั่ว บางทีก็มีเเมลงพุ่งใส่หน้าเธอ จักจั่นก็ยังคงส่งเสียงเเสดแก้วหู เพื่อนของอิโอริที่ชื่นชอบสิ่งลี้ลับเคยพาเธอไปหลายที่ เเต่ที่นี่ต้องเป็นที่หนึ่งเรื่องความลำบากเเน่
พอเวลาผ่านไป อิโอริก็เริ่มทนไม่ไหว เเต่พอไปถึงปลายทางของถนนั้น มีพื้นที่กว้างกรากฏออกมาให้เห็น มีเเสงอาทิตย์ส่องผ่านต้นไม้ ทำให้พื้นที่กว้างนั้นมีเเสงสวยงาม อากาศเองก็สดชื่นเเละบริสุทธิ์ เหมือนเธอได้เหยีบเข้าไปที่โลกอีกโลกหนึ่ง
“ไม่น่าเชื่อ” อิโอริพึมพำ
“น่าจะเป็นตรงนี้นะ”
เเทบจะไม่มีอะไรอยู่ในพื้นที่รูปตัวDตรงนี้ นอกจากหินรูปร่างปริซึมสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่ตรงกลางของพื้นที่รูปตัวD
“นั้นหรอ หินอิบิ” อิโอริถาม
“น่าจะใช่”
ระหว่างที่เดินทางมายังโลกมนุษย์ เทพจะใช้หินอิบิเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ทำหน้าที่เป็นป้ายบอกทางที่เชื่อมต่อกับสรวงสวรรค์
“นี่น่าจะเป็น อุตากิ เเต่ฉันไม่เห็นอะไรที่คล้ายๆกับประตูโทริเลย”
ตามตำนานสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวริวกิว ส่วนมากอุตากิจะอยู่ในหุบเขา ถ้ำ หรือป่าไม้เล็กๆ ส่วนประตูโทรินั้นเป็น ทางเข้าของศาลเจ้าชินโต
“ตอนที่จักรพรรดิญี่ปุ่นขยายอำนาจ สถานที่ทางศาสนาหลายเเห่งได้ถูกเปลี่ยนเป็นศาลเจ้าชินโตหมด” อิโอริเล่า “โทริพวกนั้นอาจจะถูกสร้างขึ้นตอนสมัยเมจิ ช่วงนี้เสาพวกนั้นถูกถอนออกไปเยอะเลย”
“น่าสนใจ”
สรุปคือ เสาโทริน่าจะถูกรื้อถอนออกไป ไม่ก็ไม่มีอยู่ตั้งเเต่เเรกเเล้ว
เเต่ดูเเล้วน่าจะเป็นอย่างหลังนะ
ถึงอย่างนั้น การที่ที่นี่ไม่มีอะไรเลยก็ยังดูเเปลกอยู่ดี เธอรู้สึกว่าที่บริเวณนี้มีความสะอาดปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ ต่างจากระหว่างทางที่มีทั้งความร้อน เเมลง เเละอากาศอบอ้าว แถมตอนนี้ทั่วบริเวณนี้ยังเงียบผิดปกติ ระหว่างทางมีเสียงจักจั่นร้องเเสบเเก้วหู เเต่ตอนนี้เธอไม่ได้ยินเสียงของพวกมันเลย หรือว่าพวกมันจะหยุดร้องเเล้ว เเต่ทว่าที่นี่ก็ไม่มีเสียงคลื่นซัดชายฝั่งให้ได้ยินอีกเช่นกัน
จนมาถึงเมื่อกี๊นี้ อิโอริคิดว่าที่นี่สวยเเละสดชื่น เเต่ตอนนี้เธอกลับมองว่าที่นี่เเปลก เหมือนเธอหลุดมายังอีกโลกหนึ่ง
“อาจจะเป็นที่ๆผู้คนพบเจอเทพก็ได้ ต้องมีพลังงานอะไรสักอย่างเเน่ๆ” อิโอริพยายามจะกลบความไม่สบายใจของเธอด้วยมุกตลก
พอหันไปหามิโฮะ ก็พบว่าเธอกำลังถ่ายรูปพื้นที่กว้างนี้อยู่ เธอเดินถอยหลังช้าๆเพื่อที่จะเก็บภาพพาโนรามาของหินอิบิ ซึ่งน่าจะต้องถ่ายให้เห็นทั้งพื้นที่ตัวD อิโอริเลยเดินไปหาเพื่อนของเธอเพื่อกันไม่ให้เธอหกล้ม
“อืมม.. อาจจะต้องไปทางซ้ายอีกหน่อย”
มิโฮะเดินถอยไปทางจุดยอดของตัวD พอเธอก้าวไปทางซ้าย เท้าของเธอก็เหยียบอากาศ
“กรี๊ดดด”
“ระวัง!”
ในระหว่างที่มิโฮะกำลังจะร่วงตกขอบผา อิโอริจับเเขนของเธอไว้เเละดึงขึ้นสุดเเรงจนมิโฮะกลับมาอยู่บนพื้นดิน เเต่ทว่าด้วยเเรงดึงนั้นทำให้อิโอริเป็นฝ่ายที่อยู่อีกฝั่งเเทน ด้วยเหตุนั้นเธอจึงร่วงตกลงไปในผาชัน
***
“อิโอริ! อิโอริ!”
เธอได้ยินเสียงเรียกอย่างสิ้นหวังดังมาจากข้างบน
อ้อ ต้องเป็นมิโฮะเเน่ๆ
“โอ๊ย!”
โชคยังดีที่เธอใส่เสื้อเเละกางเกงขายาวมาเพื่อป้องกันเเดดเผา ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บได้ระดับหนึ่ง เธอลองขยับเเขนเเละขาอย่างระมัดระวัง แต่ก็เหมือนว่าจะไม่มีกระดูกหักหรือเคล็ดอะไร อย่างมากก็มีเเค่แผลถลอกเท่านั้น
เธอมองขึ้นไปด้านบนเห็นเเค่เเสงลอดผ่านมาบางๆ ถึงเเม้ผาจะชันเเต่มันก็ไมไ่ด้สูงมากนัก สุดท้ายเเล้วเหมือนว่าเธอจะตกลงมาในรอยเเยกของเเผ่นดิน
“มิโฮะ!” เธอตะโกนกลับ
“อิโอริ เธอได้ยินใช่มั้ย เป็นอะไรรึปล่าว!”
“ไม่เป็นไร เเค่ถลอกนิดหน่อย”
“ขอบคุณพระเจ้า เธอปีนขึ้นมาไหวไหม”
อิโอริมองไปรอบๆครั้งเเรก ถึงเเม้จะมีเเสงส่องมาจากรอยเเยก เเต่มันก็มืดเกินกว่าที่เธอจะเห็นอะไร เหมือนโทรศัพท์ของเธอจะหล่นหายจากกระเป๋าอกเสื้อตอนที่ตกลงมา เเต่ยังโชคดีที่กระเป๋าเป้ของเธอไม่เป็นอะไร
ในทริปนี้ อิโอริเเละมิโฮะตั้งใจจะเดินทางไปที่ กามา ซึ่งเป็นถ้ำธรรมชาติในโอกินาวะ เพราะฉะนั้นเลยมีไฟฉายติดมาด้วย เธอเปิดมันเเละส่องดูด้านหน้า ฟนังเเละหินตามพื้นที่หล่นอยู่กระทบเเสงไฟเป็นสีทอง
“ไม่น่าจะเป็นทองจริงๆนะ” อิโอริพึมพำ
มันน่าจะเป็นสินเเร่เหล็ก สีทองนั้นน่าจะเกิดขึ้นเพราะเเร่เเม่เหล็ก บางที่ที่เข็มทิศมีอาการผิดปกติก็อาจจะเป็นเพราะเเร่พวกนี้ก็ได้
“อิโอริ?”
“อ่อ ขอโทษที ฉันไม่คิดว่าจะปีนขึ้นไปได้จากตรงนี้นะ เหมือนว่าที่นี่ลึกเข้าไปจะเป็นถ้ำ น่าจะลึกด้วย ฉันจะลองไปทางนั้นดู”
“เอ่ ไม่ เดี๋ยวก่อน อยู่ตรงนั้นเเหละ มันอันตรายนะ! ฉันจะไปขอความช่วยเหลือ เธออยู่ตรงนั้นอย่าไปไหนจนกว่าฉันจะกลับมานะ”
“ก็ได้ เเต่ฉันจะเดินดูรอบๆหน่อ-”
เเสงไฟฉายที่ส่องไปยังความมืดรอบๆนั้นส่องไปเจออะไรบางอย่าง อิโอริกรีดร้องออกมา
“อิโอริ เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรรึปล่าว!” มิโฮะตะโกน
ไม่ผิดเเน่ ที่เเสงไฟส่องไปเจอคือโครงกระดูกมนุษย์ อีกทั้งยังเป็นดครงกระดูกทั้งตัวเลยด้วย
“ขะ-ขอโทษที ฉันเจออะไรน่าตกใจนิดหน่อย”
“อะไรกัน เธอบังเอิญไปเจอขุมทรัพย์ที่โจรสลัดซ่อนเอาไว้หรือไง”
“ขุมทรัพย์หรอ อืมม ถ้ามองจากมุมโบราณคดี..ไม่สิ มันดูใหม่เกินไป”
“เธอพูดถึงอะไรน่ะ”
เหมือนกับว่ามันเป็นพิธีกรรมบางอย่าง โครงกระดูกนี่เหมือนถูกบรรจงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี โอกินาวานั้นมีประเพณีการฝังกลางเเจ้งเหมือนกัน เเต่ว่าปัจจุบันนี้จะนิยมการเผามากกว่า เเต่ถ้าเป็นตามเกาะย่อยต่างๆจะยังคงใช้วิธีใส่โอ่งฝังอยู่ จนกระทั่งปี 70 ที่เกาะมิยาโกะนั้นมีประเพณีการฝังไว้ในถ้ำ ซึ่งพอฝังไว้ในกามาหลายปี จะมีการนำกระดูดมาล้าง เผาเเละนำอัฐิมาใส่โอ่ง
กามานั้นทำหน้าที่เป็นเหมือนเขตเเดนระหว่างโลกคนเป็นเเละโลกของคนตาย ถ้ำธรรมชาติพวกนี้เป็นทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เเละเป็นที่ชำระล้างความไม่บริสุทธิ์
พอเธอลองดูโครงกระดูกนั้นใกล้ๆ ก็มีกระดุดอื่นๆกระจายอยู่รอบๆโครงกระดูกนั้น
“อืมม ที่นี่น่าจะเป็นสุสานสินะ”
“สุสานหรอ!”
“มีโครงกระดุกของใครบางคนถูกเก็บรักษาอยู่ในระหว่างการรอชะ-”
ก่อนที่อิโอริจะพูดจบ เธอเห็นอะไรบางอย่างโผล่ที่ส่องเเสงขึ้นมาตรงมุมข้างหน้า
“อิโอริ อิโอริ เป้นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น”
“มิโฮะ อย่าพึ่งส่งเสียงได้ไหม”
ด้านหน้าของเธอ มีปลาสีเงินสวยงามลอยอยู่ ครีบของมันส่ายไปมา ทุกครั้งที่ครีบหลังของมันขยับ จะเกิดมีสายฟ้าสีรุ้งส่องสว่างขึ้นอย่างสวยงามจับใจ เเต่ปัญหาก็คือ ตอนนี้อิโอริอยู่บนพื้นดิน ไมไ่ด้อยู่ในทะเล เจ้าปลานั่นกำลังว่างอยู่ในอากาศ ถ้าเธอไม่ได้เป็นบ้าเเล้วเริ่มเห็นภาพหลอน ก็มีความเป็นไปได้เเค่อีกอย่างเดียว
“มิโฮะ เธอไปบอกตำรวจว่าพวกเราเจอถ้ำที่ดูเหมือนจะเป็นดันเจี้ยนเข้าเเล้ว”
“เธออยู่ในดันเจี้ยนหรอ!”
“บางอย่างข้างหน้านี้ทำให้ฉันคิดเเบบนั้น”
“เธอจะ…ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันจะหาที่ซ่อนหลบอยู่สักพัก”
“เข้าใจเเล้ว…โธ่ ทำไมตรงนี้ไม่มีสัญญาณเนี่ย รอก่อนนะ เดี๋ยวฉันกลับมา”
คิดว่ามิโฮะน่าจะวิ่งกลับไปทางที่จอดรถ
“ถ้าซ่อนอยู่ได้ก็ดีอยู่หรอก เเต่ว่า…”
อิโอริพูดกับตัวเองพลางหยิบมีดยังชีพออกมาจากเป้ เหมือนว่ามีดนี่จะผลิตที่โอคายาม่า ที่ด้ามจับของมันมีการเเกะสลักรูปโมโมทาโร่ที่กำลังออกมาจากลูกพีซ
ตอนที่เธอบอกว่าจะมาเที่ยวที่โอกินาวะ น้องชายของเธอก็เอามีดนี้มาให้ “ถ้าพี่จะไปเดินป่า เอามีดนี้ไว้ป้องกันตัวด้วย” เขาพูด ตอนเเรกเธอเกือบจะทิ้งมันไว้ที่บ้านเเล้วเพราะคิดว่ามันจะเกะกะ เเต่มีดนี้นองชายเธอให้มาเป็นเครื่องราง เธอใส่ใส่เอาไว้ที่ก้นกระเป๋า
“บางทีหมอนั่นก้มีประโยชน์เหมือนกันนี่”
เธอรู้สึกปลอดภัยขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองไปที่ใบมีดที่หนาเเละขรุขระ เธอเเอบมองปลาสีเงินจากหลังก้อนหินที่จากตอนเเรกมีเเค่ตัวเดียว เเต่ว่าตอนนี้กลายเป็นฝูงเเล้ว พวกมันว่ายอยู่ในอากาศอย่างเงียบเชียบ กำลังอาบเเสงเเดดที่ส่องลงมาผ่านรอยเเเยก ถ้าคิดว่าพวกมันคือปลาดาบเงิน พวกมันจะเป้นปลากินเนื้อที่มีเขี้ยวเเหลมคม เเถมยังมีใบมีดบนหลังที่คมเหมือนกับมีดโกน
เธออ้อนวอนอยู่ในใจให้พวกมันหันหลังกลับไป ไม่รู้ว่ามีใครฟังอยู่หรือไม่ เเต่หลังจากที่พวกมันอยู่ตรงนั้นสักพักหนึ่ง กลุ่มปลาก็ว่ายกลับไปในทางที่พวกมันมา
เธอทรุดตัวนั่งลงกับพื้นเเละถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เเต่ทันใดนั้นก็เหมือนมีอะไรบางอย่างมาขูดที่ด้านหลังคอของเธอ เธอหันหลังกลับไปมองอย่างหวาดกลัวเเละพบกับฉลามขาวตัวใหญ่ ประมาณสองเมตร กำลังอ้าปากพร้อมที่จะงับ
อิโอริกรีดร้องเเต่ไม่มีเสียงออกมา ด้วยความหวาดกลัว เธอจึงเหวี่ยงมีดในมือเเทงเข้าไปที่หัวปลาCลามสุดเเรง ฉลามนั้นไม่ทันได้นึกถึงการโจมตีของอิโอรินี้ มันจึงพลิกตัวกระเเทกอิโอริลอยกระเด็นไป
“อั๊ก!”
หลังของเธอกระเเทกเข้ากับกำเเพงฝั่งตรงข้าม ทำให้เธอไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ ส่วนทางปลาฉลามนั้นกำลังดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด มันหันตาสีดำสนิทมาหาเธอเเละพุ่งมาจะโจมตีอีกครั้ง
อิโอริมองฉลามที่เข้ามาโจมตีด้วยสายตาว่างเปล่า เเต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังก้มหลบฉลามที่อ้าปากพุ่งเข้ามาด้วยสัญชาตญาณ ณ ตอนนั้น ความรู้สึกหงุดหงิดรุนเเรงเข้ามาครอบงำอิโอริ เธอไปทำอะไรทำไมต้องมาเจอเรื่องเเบบนี้ด้วย จากนั้นเธอก็เตะเข้าไปที่ท้องฉลามเพื่อระบายความหงุดหงิดนั้น เเม้ว่าลูกเตะเต็มเเรงของผู้หญิงธรรมดานั้นจะไม่สามารถจัดการฉลามได้ เเต่มันก็สามารถเปลี่ยนอะไรบางอย่างสองสิ่งได้ นั่นคือทิศทางที่ฉลามพุ่งเข้ามากับชะตาชีวิตของเธอ
ด้วยผลจากเเรงเตะ ทำให้ฉลามเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อยเเละพุ่งเข้าชนกำเเพง ทำให้มีดที่ปักอยู่บนหัวมันนั้นจมลึกเข้าไปในหัวฉลามลึกขึ้น ฉลามนั้นดิ้นพล่านเเละกลายเป็นเเสงสีดำเเละกระจายหายไป
ใขณะที่อิโอรินั้นมองอยู่ด้วยควมตกใจ มีดที่หลุดออกจากตัวฉลามนั้นก็ตกลงพื้น เฉือนผมของเธอไปส่วนนึงเเละปักลงที่พื้น ระหว่างที่อิโอริล้มหงายอยู่ทีพื้น มีการ์ดสีเงินลอยปรากฏขึ้นบนอกของเธอ ในสายตาของเธอ มันเหมือนกับวัตถุวิเศษที่ให้คนมาสักการะบูชา
“นี่เรารอดเเล้วหรือเนี่ย”
อาจจะเป้นค่าตอบเเทนของเส้นผมที่เธอเสียไป ออรืบสีรุ้งนั้นได้ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเธอ นอกจากความปวดที่หลังของเธอเเล้ว ทั้งโลกนั้นดูเหมือนความฝัน เธอสัมผัสเเละใช้ออร์บนั้นโดยไม่มีการลังเล ความรู้สึกล่องลอยกระจายไปทั่้วร่างของเธอเสมือนเเรงดึงดูดกำลังหายไป หลังจากนั้นเธอก็รู้สึกเเปลกๆเหมือนร่างกายถูกประกอบสร้างขึ้นมาใหม่ น่าเเปลกที่หลังจากนั้นความเจ็บปวดที่หลังของเธอก็หายไปด้วย
อิโอริค่อยๆยืนขึ้น สำรวจร่างกายตัวเองเเละปัดฝุ่นออกจากร่างกาย หยิบมีดเเละไฟฉาย เธอที่ยังรู้สึกมึนอยู่นั้นได้ยื่นมือไปหาการ์ดสีเงิน เเละเจอว่าชื่อเเละเเรงค์ของเธอได้ถูกเขียนอยู่บนการ์ดอย่างน่าประหลาดใจ
“นี่คือดี-การ์ดงั้นหรอ”
หลังจากที่กำจัดมอนสเตอร์ด้วยตัวคนเดียวครั้งเเรก นักสำรวจจะได้รับการ์ดนี้ เรื่องนี้เเม้เเต่อิโอริก็ยังรู้ เเถมสกิลที่เธอพึ่งได้ก็ยังถูกสลักอยู่บนการ์ดด้วย
“สกิลควบคุมสนามเเม่เหล็ก หรือปลาพวกนั้นใช้เเรงเเม่เหล็กเพื่อลอยตัวกันนะ?” เธอพูดกับตัวเอง เเละลองทำให้มีดลอยอยู่บนฝ่ามือของเธอ
“ว้าว ใช้ได้จริงๆด้วย”
สเตนเลสที่มีอยู่ในมีดนั้นส่วนมากเเล้วจะทำมาจากมาร์เทนไซต์ หรือก็คือมีคุณสมบัติของเเม่เหล็ก
เป็นสกิลที่เหมาะกับสาขาวิศวกรรมศาสตร์จริงๆ เธอคิดเเล้วหัวเราะเล็กน้อย
ถ้าเธอนึกถึงการไหลของเเม่เหล็ก เธอก็จะสามารถควบคุมสกิลนี้ได้อย่างง่ายดาย เธอลองทดสอบพลังด้วยการดึงหินบนพื้นมาที่ฝ่ามือของเธอ หินที่โอกินาวานี้มีส่วนประกอบของแร่ซัลไฟด์อยู่เเล้ว ซึ่งมันสามารถถูกดูดด้วยเเรงเเม่เหล็กได้ เธอลองไปยินบนหินเเละพยายามยกตัวเองให้ลอยดู เเต่โชคร้ายที่ทำไม่ได้
“ตลกชะมัด จะบอกว่าเราหนักเกินไปรึไง”
อาจจะเป็นเพราะสาเหตุอื่นก็ได้ เเต่ตอนนี้เธอไม่มีเวลามาวิเคราะห์เรื่องนั้น เธอต้องหาทางใช้พลังที่พึ่งได้มาใหม่นี้ให้ได้ก่อนที่มอนสเตอร์ตัวต่อไปจะปรากฏขึ้น
ถ้าสามารถควบคุมสนามเเม่เหล็กได้ ก็น่าจะสร้างอะไรที่คล้ายๆกับเรลกันได้ เเต่ว่าถ้าสถานะของประจุในระบบเป้น 0 ค่าลอเรนซ์ก็จะเป้นนัลไปด้วย ถึงจะมีเเมกเนติคฟลักซ์มากเท่าไรก็ตาม
**** ช่วงนี้ต้นฉบับจะเป็นการบรรยายกฏฟิสิกซ์ ซึ่งเกินความสามารถผมจริงๆ Orz ขอข้ามส่วนบรรยายวิทยาศาสตร์ตรงนี้ไปนะครับ ***
“อืม,,,” ระหว่างที่ถือหินอยู่ในมือ เธอลองสร้างสนามเเม่เหล็กอย่างรุนเเรงขึ้นมา ทันใดนั้นหินเเม่เหล็กรอบๆก็พุ่งมาที่มือเธอ เธอรีบปลดสนามเเม่เหล็กด้วยความตกใจ
“หวาาา เกือบไปเเล้ว…”
จากนั้นเธอก็ลองสร้างสนามเเม่เหล็กความหนาเเน่นสูงที่หินมือโดยหันไปทางออกจากตัวเธอ ทันใดนั้นหินก็หายไปจากสายตาเเละพุ่งไปชนกำเเพงที่ห่างออกไปสิบเมตรพร้อมพร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้อง
ระหว่างที่เธอกำลังทึงกับพลังอันน่าเหลือเชื่อ กลุ่มปลาสีเงินได้โผล่มาอีกครั้งเพราะเสียงดังที่เกิดขึ้น ปลาพวกนั้นทำให้เธอรู้สึกตัวเเละนึกถึงฉลามอีกครั้งทำให้เธอหน้าซีด เธอพยายามจะโจมตีก่อนที่มอนสเตอร์จะเข้ามาใกล้ เธอจึงหยิบก้อนหินจำนวนหนึ่งที่พื้นขึ้นมา ด้วยการยิงเมื่อครู่ทำให้สามเเม่เหล็กในบริเวณนี้มารวมตัวกันอยู่
“ยิงงง”
เธอส่งพลังเข้าไปที่หินเหมือนที่ทำเมื่อกี้ ยิงไปที่ปลาตัวหนึ่ง
“อ๊ะ ได้ผลด้วย ถึงจะยิงไปโดนตัวที่ไม่ได้เล็งก็เถอะ”
พอจะยิงครั้งต่อไป อิโอริจินตนาการถึงเส้นเเมกเนติคฟลักซ์จากตัวเธอยาวไปถึงเป้าหมายเหมือนกำลังใช้ปืนเหนี่ยวนำเเม่เหล็ก
กระสุนนัดที่สองนั้นเป็นไปตามที่อิโอริตั้งใจเอาไว้ พุ่งไปหาเป้าหมายที่ตรงกลางลำตัว เธอคิดเอาเองเพราะว่ากระสุนนั้นเร็วจนมองไม่เห็น เเต่ดูจากที่เป้าหมายโดนยิง ก็เเสดงว่ากระสุนนั้นพุ่งไปอย่างที่เธอตั้งใจไว้
หลังจากนั้นเธอก็กำจัดปลาดาบเงินทั้งหมดที่ว่ายมาหาเธอ หลังจากนั้นเธอก็กลับไปที่โครงกระดูกสีขาว พนมมือเข้าด้วยกันเหมือนท่าเเสดงความเคารพ เเละเดินลึกเข้าไปในถ้ำ
***
หลังจากได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ ตำรวจได้ส่งคำขอต่อไปยังเเผนกมาตรการป้องกันดันเจี้ยนทันทีเเละในขณะเดียวกัน คำร้องนี้ก้ถูกส่งไปยังJDAGที่กำลังทำการฝึกอยู่ในบริเวณใกล้เคียงด้วย
ก่อนหน้านี้ SDF สามารถออกไปปฏิบัติงานได้เฉพาะภารกิจบรรเทาภัยพิบัติเท่านั้น เเต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับดันเจี้ยน เมื่อมีการติดต่อมาจากเเผนกมาตรการป้องกันดันเจี้ยน SDFสามารถออกปฏิบัติงานได้ทันที
ตอนเเรกนั้นมีการถกเถียงกันอย่างมากในเรื่องนี้ บ้างก้บอกว่าเป็นข้ออ้างที่จะทำให้SDFออกปฏิบัติการได้ง่ายขึ้น บางคนก็บอกว่าเอาไว้เตรียมทำสงคราม เเต่สุดท้ายเเล้วความอันตรายจะมอนสเตอร์ที่หลุดออกมาจากดันเจี้ยนนั้นทำให้คำครหาต่างๆหายไป
หน่วยรบที่หนึ่งของJDAGซึ่งนำโดยจ่าสิบเอกฮากาเนะนั้นกำลังทำการฝึกอยู่ที่หมู่เกาะในโอกินาวะ ทำให้พวกเขาได้รับคำขอความช่วยเหลือ หลังจากที่เตรียมอุปกรณ์กันเเล้วพวกเขาก็ขึ้นHMV (High Mobility Vehicle) พลทหารไคบะที่เป็นคนสร้างสีสันของหน่วยนั้นก็กระโดนขึ้นรถอย่างกระตือรือร้น ถึงเเม้ว่าด้านในจะเย็นกว่าด้านนอกเเต่เขาก้ยังบ่นออกมา
“มั่นใจได้เลยว่าที่นี่คือโอกินาวะเเน่ๆ ผมพึ่งรู้ว่าเรามีHMVติดแอร์ด้วย เเต่ก็ยังร้อยอยู่ดี”
เเสงเเดดที่โอกินาวะนั้นโหดร้ายมาก ถึงจะเป็นวันที่มีเมฆ เเต่ถ้าคุณอยู่ข้างนอกโดยไม่ใส่เสื้อล่ะก็จะต้องโดนแดดเผาเกรียมเเน่
“เอาล่ะ ทุกคนขึ้นมากันหมดเเล้ว เราไปกันเถอะ ฉันจะอธิบายสถานการณ์ให้ระหว่างทางเอง” ฮากาเนะพูดเเละเเจกจ่ายเอกสารให้ทุกคน
“เมื่อเวลา 11:15 เช้าวันนี้ มีผู้หญิงหนึ่งคนลื่นตกลงไปในสถานที่ที่เป็นเหมือนถ้ำตามแผนที่นี้”
“เหมือนถ้ำงั้นหรอ เเต่ถ้ามีคำสั่งถึงพวกเรา นั่นหมายความว่า…”
“ใช่ ที่ตรงนั้นเป็นดันเจี้ยนที่ยังไม่มีการถูกค้นพบ พวกเราอยู่ใกล้บริเวณนั้นที่สุด ภาคกิจครั้งนี้เลยเป็นของพวกเรา”
ทุกคนในหน่วยนั้นสงสัยเหมือนกันว่า ผุ้หญิงตัวคนเดียว ไม่มีอาวุธจะอยู่รอดในดันเจี้ยนได้นานเท่าไรกัน เเต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ออกมา
“ผู้หญิงคนนั้นชื่อ คิมิตสึ อิโอริ อาบุ 22ปี เป้าหมายของพวกเราคือช่วยเธอออกมา เเละถ้าเป็นไปได้ ให้พิชิตดันเจี้ยนซะ เเต่เเน่นอนว่าภารกิจหลักคือการช่วยคน”
พลทหารมิยากุสุกุที่เป็นคนโอกินาวะนั้นหน้าซีด จ้องไปที่เอกสารเเละพึมพำเป็นภาษาท้องถิ่น
“อานุ ทิระ ยามัน” (มีสิ่งชั่วร้ายบางอย่างครอบงำถ้ำนั่นอยู่)
จ่าสิบเอกซาวาตาริตอบสนองต่อคำพูดนั้นที่ฟังดูเหมือนการสาบเเช่ง เขาหันไปหามิยากุสุกุ
“นายพูดว่าไงนะ”
มิยากุสุกุหน้าซีดขึ้นไปอีก เขามองไปที่ซาวาตาริ “ถ้ำนั่นเป็นพื้นที่ต้องสาบ ที่ตรงนั้นถูกเรียกว่า ‘ทิระ’”
“เเล้วมันเเปลว่า…” ฮากาเนะถาม
จากที่มิยากุสุกุบอก ‘ทิระ’ นั้นเป็นภาษาริวกิว แปลว่าถ้ำ ถึงคำว่า ‘กามะ’ จะหมายถึงถ้ำตามธรรมชาติ คำว่า‘ทิระ’นั้นมาจากภาษาญี่ปุ่นคำว่า ‘เทระ’ ซึ่งเเปลว่าวัด พูดง่ายๆคือ ทิระเป็นถ้ำที่ใช้เป็นสุสาน
“สุสานนั่นเรียกว่า เทียร่าหรอ?” ไคบะเล่นมุก “ถ้ำนั่นน่าจะภูมิใจในตัวเองน่าดู”
“จ่าสิบเอกฮากาเนะ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับ ที่เเห่งนั้นมันอันตราย มะ-มีเทะเจ้าที่ถูกลืมสิงสถิตอยู่ด้วย” มิยากุสุกุยังคงหน้าซีด พูดด้วยความหวาดกลัว
ไม่มีใครตอบเรื่องที่มิยากุสุุพูด ในศตวรรษที่ 21 นี่ยังมีคนพูดถึงเทพเจ้าที่อาศัยอยู่ในถ้ำอีกงั้นหรอ เเม้ว่าทุกคนอยากจะหัวเราะออกมา เเต่เหมือนมีความกดดันแปลกๆที่ไม่ยอมให้พวกเขาทำเเบบนั้น
“ที่ๆเทพเจ้าสิงสถิตอยู่… นายพูดถึงอูทากิใช่ไหม” ฮากาเนะถาม
ในความเชื่อของชาวริวกิว อูทากิเป็นสถานที่สำคัญ จากที่เขาได้ยินมา มันเหมือนเป็นสถานที่ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์
“จ่าสิบเอกคุ้นเคยกับความเชื่อของชาวริวกิวขนาดไหนครับ” มิยากุสุกุถาม
“อ่อ เอ่อ ก็..เพราะที่นี่มีข้อห้ามอะไรต่างๆมากมาย ฉันเลยไปเข้าคลาสอบวมก่อนมาที่นี่น่ะ เเต่เอาจริงๆก็ไม่รู้อะไรละเอียดมากหรอ”
“อูทกิกับทิระไม่เหมือนกันเลยสักนิดเดียวครับ อูทากิเป็นสถานที่ที่นักบวชหญิงโนโระประกอบพิธีกรรม เเต่ที่จริงทั้งสองที่ก็เป็นเขตเเดนสู่ดินเเดนของเทพเจ้าเหมือนกัน” หลังจากที่หยุดพูดไปอึดใจนึง มิยากุสุกุก็เริ่มอธิบายต่อ ไม่ได้พูดกับใครเป็นพิเศษ “ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน พิธีกรรมทางศาสนาเก่าเเก่ของเเต่ละที่นั้นจะเหมือนกันถึงจะเป็นที่นี่ก็ตาม พิธีกรรมพวกน้นจะทำเพื่อต้อนรับเทพเจ้า ในช่วงเวลานั้นพวกเราจะมีงานเทศกาลเพื่อพูดคุยกับเทพเจ้าที่มาเยือน ยกตัวอย่างเช่น เกาะคุดากะที่มีพิธีกรรมอิไซโฮะที่มีชื่อเสียง นั่นก็เพื่อเป็นการต้อนรับเทพเจ้าจากนิไร คาไน”
ฮากาเนะตกใจเล็กน้อย ไม่เคยมีลูกน้องเขาคนไหนมาสอนเรื่องพิธีกรรมโบราณในระหว่างการอธิบายภารกิจ
“เเล้ว เรื่องนั้นมันเกี่ยวข้องยังไงกับภารกิจของเราในครั้งนี้ล่ะ” เขาถาม
“กำลังจะถึงตรงนั้นเเล้วครับ อย่างเเรก คิดว่าพิธีกรรมของมนุษย์นั้นสามารถเลือกได้ไหมว่าจะเชิญเทพเจ้าอะไรมา?”
ถ้าพิธีกรรมเป็นเเค่การเปิดประตู มนุษย์จะสามารถเลือกได้ไหมว่าจะให้เทพเจ้าองค์ใดปรากฏออกมาจากอีกฝั่งนึง เเม้ว่าจะควบคุมพิธีกรรมอย่างละเอียดถี่ถ้วน เรื่องนี้ก็ยังยากอยู่ดี
“รู้ไไหมครับว่าทำไม อิไซโฮะถึงมีขึ้นทุกๆ 12 ปี”
“เพราะตำเเนห่งของดวงดาวรึเปล่าว” ฮากาเนะเดา “ฉันไม่รู้หรอกนะ เเต่เรื่องพวกนี้น่าจะมีส่วนใช่ไหมล่ะ”
จากที่มีบันทึกหลายๆช่วงเวลาเเละสถานที่ เส้นเเบ่งระหว่างโลกมนุษย์กับเทพนั้นจะอ่อนเเอหรือเข้มเเข็งขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับช่วงเวลา
สุดท้ายเเล้ว มนุษย์นั้นก็เเบ่งเทพเจ้าออกเป็นดีเเละไม่ดี ถ้าเกิดเทพที่ถูกอัญเชิญมานั้นเป็นเเบบสุ่ม อาจจะมีเทพที่ชั่วร้ายออกมาเเละปล่อยโรคระบาดในโลกมนุษย์ก็ได้
“งั้นถ้ำนั่นก็เป็นที่ๆ เทพเจ้าที่ชั่วร้ายถูกทิ้งไว้งั้นหรอ”
“ใช่ครับ ในอดีต คนท้องถิ่นได้ใช้ถ้ำในการบังคับส่งตัวเทพเจ้าที่ไม่ต้องการกลับไป”
ทิระเป็นเขตเเดนของโลกสมนุษย์กับเทพเจ้า เพราะงั้นถ้าคุณขังเทพให้อยู่ในทิระ เทพนั้นก้จะกลับดินเเดนของตัวเองไป
“ก็ถ้าเทพเจ้ากลับไปเเล้วจะมีปัญหาอะไรล่ะ นายคิดว่ามีอะไรอยู่ในถ้ำนั่น” ฮากาเนะถาม
“จ่าครับ… นักบวชหญิงจะกลายเป็นเทพของชาวริวกิว”
ในความเื่อของชาวริวกิว เทพเจ้าจะยืมร่างของนักบวชหญิงเพื่อมายังโลกมนุษย์ พิธีกรรมนี้คือการเข้าทรง พูดอีกเเง่คือเทพเจ้าที่จุติลงมากับนักบวชหญิงจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“นายกำลังจะบอกว่า นักบวชหญิงนั้นจะ…” ฮากาเนะพูดไม่ออก
“มุนเนะ มูตาริน อริยาฟุ ทุรุ ชิมัน” (อะไรบางอย่างที่ชั่วร้ายจะเข้าครอบงำนักบวชหญิงเเละทำให้เธอหายตัวไป)
ก่อนหน้านี้ในรถนั้นร้อนระอุ เเต่เพราะภาษาโอกินาวะที่มิยากุสุกุพูดออกมานั้นฟังดูคล้ายการท่องมนตร์ ทำให้อากาศภายในรถนั้นเย็นยะเยือก
ฮากาเนะพูดขึ้นเพื่อทำลายบรรยาศหนาวๆนี้ “ในดันเจี้ยนที่กระจายอยู่ทั่วโลกนั้น ในชั้นลึกของมันเต็มไปด้วยมอนเสตอร์ที่เหมือนหลุดออกมาจากโลกเเฟนตาซี ฉันคงไม่เเปลกใจถ้าเราจะเจอกับเทพเจ้าสักองค์สององค์ ทุกคนฟัง พักเรื่องเทพเจ้าไว้ก่อน ภารกิจของพวกเราคือการช่วยผู้หญิงที่ติดอยู่ในดันเจี้ยนที่พึ่งเจอนั่น”
“นี่เเหละจ่าสิบเอกของเรา ยอดเยี่ยมจริงๆ” ไคบะพูดเเทรก
เพราะไคบะที่พูดเเทรกขึ้นมา ทำวห้บรรยากาศในรถผ่อนคลายลง รอบๆตัวพวกเขาก้ดูเหมือนกลับมาสู่ภาวะตามปกติ
***
หลังจากที่กำจัดปลาดาบเงินนั่นได้ เธอฆ่ามอนสเตอร์ไปกี่ตัวเเล้วนะ? บางทีมอนสเตอร์ก็ดรอปไอเทม เธอเอาของพวกนั้นใส่ประเป๋าเอาไว้ก่อนถึงเเม้ว่าจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ในขณะที่เธอเดินลึกเข้าไปในถ้ำเรื่อยๆ ก็มีเเสงไฟสีฟ้าส่องอยู่ข้างหน้าเเละมีเสียงคลื่นเเว่วมาเข้าหูเธอ
ทางออกอยู่ตรงนี้ไหมนะ เธอคิดเเละวิ่งไปทางนั้น เเต่ก็ต้องผิดหวังเพราะมันเป็นเเค่พื้นที่กว่างภายในถ้ำ ถึงจะเป็นทางตัน เเต่ที่ตรงนี้ก็กว้างมาก เเละที่ปลายทางของพื้นที่นี้ เธอเห็นแอ่งน้ำสีน้ำเงินส่องประกายเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ10เมตรอยู่ ด้านบนสระนั้นมีหินย้อยอยู่บนเพดาน ทุกครั้งที่แอ่งน้ำนั้นสั่นไหว เเสงสีน้ำเงินนั่นทำให้เงาของหินย้อยไหวไปมา ดูเเล้วคล้ายกับสิ่งมีชีวิต กลิ่นฉุนของทะเลอบอวลเต็มพื้นที่เเห่งนี้ ถ้าให้เธอเดา แอ่งน้ำนี่น่าจะเชื่อมต่อกับทะเล
ระหว่างที่เธอจ้องทิวทัศน์ตรงหน้าอย่าลืมตัว มีเงาดำปรากฏขึ้นที่ผิวน้ำ ปลาดายเงินหลายตัวว่ายผ่านน้ำขึ้นมาในอากาศ มันเหมือนกับว่าแอ่งน้ำนี้เป็นต้นกำเนิดของมอนสเตอร์ อิโอริกำจัดปลาพวกนั้นอีกครั้ง เเต่ในครั้งนี้ พอเธอกำจัดตัวสุดท้าย เธอมีอากาศเวียนหัว
“หือ?”
ร่างกายของเธอขยับไมไ่ด้ดังใจคล้ายกับอาการหมดเเรง
“ฉันใช้พลังมากเกินไปรึปล่าวนะ”
อิโอริพยายามเดินโซเซหนีออกไปจากแอ่งน้ำที่ให้กำเนิดมอนสเตอร์นี้ ถ้าเธอกลั้นหายใจได้นานพอ อาจจะดำนำเเละหนีออกไปทางแอ่งน้ำนี่ได้ เเต่ว่ามันเสี่ยงมากเกินไป
ในจังหวะนั้น มีเงาดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาในน้ำ ครีบหลังของมันโผล่พ้นน้ำขึ้นมา
“หน่ะ-นี่ฉันอยู่ในหนังจอว์รึไงเนี่ย”
ถึงเธอกำลังคิดอะไรไร้สาระอยู่ เเต่ขาก็เธอก็พยายามก้าวหนีสุดชีวิต ถ้าเกิดฉลามนั่นมันบินได้ขึ้นมา นี่คงจะเปลี่ยนจากจอว์กลายเป็นหนังชาร์คเนโดเเน่ๆ
ฉลามที่ดูเเล้วมีขนาด 5 เมตรนั้น โผล่หัวขึ้นมาจากน้ำเเละลอยขึ้นมาในอากาศ เริ่มพุ่งตัวเข้าหาเธอ ถ้าเธอใช้พลังอีกครั้งตอนนี้ เเค่ครั้งเดียวเธอก็น่าจะหมดสติไปทันที เเต่ถึงยังไงก็ต้องดิ้นรนให้ถึงที่สุด
ระหว่างที่กำลังวิ่ง เธอหยิบมีดที่เป็นเครื่องรางนำโชคจากน้องชายออกมา
ข้างหน้าเธอมีเสียงตะโกนขึ้น
“หมอบลง!!”
เธอทำตามโดนสัญชาตญาณ ทรุดตัวลงหมอบราบไปกับพื้น ในขณะเดียวกัน เสียงที่ดังเป็นจังหวะของปืนก็ดังขึ้นมาจากข้างหน้า เธอนอนคว่ำรอบไปกับพื้นเเละเอามือกุมหัวไว้ สักพักนึงเสียงปืนก็หยุดลง
“เป็นอะไรรึปล่าว” มีใครบางคนเรียกเธอ
เธอเงยหน้าขึ้นมาเจอชายคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า สายตาที่มองมาดูเต็มไปด้วยความกังวล ถึงจะดูเป็นเถื่อนเเต่ก็น่าจะเป็นคนที่พึ่งพาได้ อิโอริที่ตัวสั่นเกาะตัวเขาไว้เเละร้องไห้ออกมา
“เเน่ชะมัดเลยจ่า งานนี้หินชะมัด” ชายที่ดูเป็นคนขี้เล่นพูดขึ้น
“ฉันประทับใจมากที่เธอพยายามเอาตัวรอดมาได้ เธอคงจะกลัวมากเลยสินะ” จ่าคนนั้นพูดกับเธอ
เธอพึ่งจะเข้าใจความรู้สึกของเธอเอง ใช่ ฉันคงจะกลัวมากเเน่ๆ
อิโอริอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปอีกสักพัก จนกระทั่งสมาชิกที่ไปสำรวจเเอ่งน้ำนั่นเดินกลับมา
“เป็นทางตันครับ” ทหารคนหนึ่งบอก “ถ้าถ้ำนี่เป็นทั้งหมดของดันเจี้ยนนี้ เราน่าจะสำรวจครบหมดทุกที่เเล้ว”
ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีท่าทีว่าดันเจี้ยนนี้ถูกพิชิตเเล้ว
“บอสใหญ่ต้องอยู่เเถวๆนี้เเน่” จ่าพูด
“ถ้ามันอยู่อีกฝั่งนึงของเเอ่งน้ำนั้น ตอนนี้พวกเราคงต้องยอมเเพ้ไปก่อน”
พวกเขาไม่น่าจะมีอุปกรณ์ดำหน้าอะไรมาด้วย
“จ่าครับ ผมว่าพวกเราควรจะถอยหลับไปก่อน มันอาจจะสายเกินไปเเล้ว เเต่เราควรจะกลับตอนนี้เลย”
“ใจเย็นๆ มิยากุสุกุ นายกลัวอะไรอยู่”
นายทหารที่ดูขี้เล่นนั่นตอบเเทน “ตั้งเเต่ที่เราเจอโครงกระดูกที่ทางเข้า เขาก็เป็นเเบบนี้มาตลอดเลยครับ คงกลัวจนขี้หดตดหายเเล้ว”
“ก็ใช่ไง พวกนายไม่รู่นี่ว่าไอนั่นมันคืออะไร เลยยังทำตัวเป็นปกติอยู่ได้” มิยากุสุกุตอบ
***
“เเล้วมันคืออะไรล่ะ” ฮากาเนะถาม
ถึงเขาจะเป็นทหารที่มีความสามารถ เเต่มิยากุสุกุก็ทำตัวประหลาดมาสักพักเเล้ว
“ผมอธิบายไปเเล้วตอนบีฟภารกิจไงครับ คุณก็รู้ว่ามันคืออะไร รีบออกจากที่นี่กันเถอะ” มิยากุสุกุตะโกน
ท่าทีของมิยากุสุกุทำให้ฮากาเนะฉุดคิด เเต่พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่ต่อ เป้าหมายก็ได้รับการช่วยเหลือเเล้วด้วย
“งั้นคงไม่มีทางเลือกเเล้ว พวกเราถอยก่อน”
“รับทราบ” หน่วยของเขาตอบโดยพร้อมเพรียงกัน
***
ในระหว่างที่เดินไปกับทุกๆคน อิโอริพูดกับจ่าฮากาเนะ
“ไม่นึกเลยว่าทางออกจะอยู่ทิศตรงกันข้าม ฉันนึกว่าเป็นทางตันซะอีกเพราะทางเดินมันเเเคบมากๆ”
“มันจะมีส่วนนึงที่กว้างพอจะให้คนผ่านไปได้ ถ้าเธอรู้มาก่อนคงหนีออกไปได้นานเเล้วล่ะ” ฮากาเนะตอบพลางยิ้มอย่างเห็นอกเห็นใจ
รอดสักที อิโอริรู้สึกโล่งอก
ทหารขี้เล่นที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นคนเจ้าชู้หันไปหาเพื่อนเขาที่ดูกลัวอยู่
“เฮ้ มิยากุสุกุ ตรงมุมนั่นเป็นที่ๆนายขี้รดกางเกงรึป่าว” 555
สายตาของมิยากุสุกุว่อกเเว่กไปมาด้วยความหวาดกลัว เหมือนจะไม่ได้ยินเสียงล้อ
ชายสวมเเว่นที่ดูจริงจังจ้องไปที่ทาหรขี้เล่นคนนั้น “พอได้เล้วน่าคิบะ ส่วนตรงนั้นมันดูเหมือนเป็นเเท่นบูชา กระดูกพวกนั้นน่าจะเป็นโครงกระดูกที่รอเวลามาชำระล้างทำความสะอาด เเต่ยังไงนั่นก็เคยเป็นมนุษย์ เราน่าจะติดต่อตำรวจเผื่อเอาไว้ด้วยดีกว่า”
“…ไม่ นั่นมันคืออีกอย่างนึ-”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาหายใจเฮือกใหญ่
“นายทหารมิยากุสุกุ”
ชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างหน้านั้นหันมาหามิยากุสุกุเเละมองตามสายตาของเขา หลังจากนั้นเขาก็พยายามหันกลับไปข้างหน้าตามเดิม เเต่โชคร้ายที่มันเป็นไปไมไ่ด้
“ซะ-ไซโต้?”
ใขขณะนั้น ชายหนุ่มอีกคนนึงกำลังตะลึงงัน เพราะทหารที่เดินอยู่ข้างหน้าของเขา – ไซโต้ – ตามที่เขาถูกเรียก นั้นตอนนี้กลายเป็นศพไร้หัวไปเเล้ว ชั่วพริบตาทหารคนนั้นก็เริ่มกระหน่ำยิงปืนเหมือนคนเสียสติ
***
“เฮ้ย เกิดอะไร-” ฮากาเนะตะโกน
เขาพยายามจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น เเต่ทันใดนั้นลำตัวช่วงบนของ ชิมะบุคุโระ – ที่กำลังยิงปืนอยู่นั้น – ได้ระเบิดออก เเละตัวการที่ทำเเบบนั้นก็โผล่มาที่มุมทางเดิน
“ถอยยยยย!”
เสียของเขาทำให้ทหารที่เหลืออยู่รู้สึกตัว หลังจากที่โปล่หน้ามา มอนสเตอร์นั้นก็มุ่งหน้าตรงมาอย่างช้าๆ ลำตัวช่วงบนของมันเหมือนกับโครงกระดูกที่อยู่บนเเท่นบูชามาก เเต่ว่าตอนนี้มีฟิลม์สีน้ำตาลหุ้มกระดูกเอาไว้เหมือนเป็นผิวหนังเเห้งๆ ผมสีขาวบางๆคล้ายเส้นด้ายปกคลุมหัวของมันเหมือนกับไม้ถูพื้น เเละสุดท้าย ลำตัวช่วงล่างขอองมันกลายเป็นหางปลา
“มัมมี่มนุษย์เงือกหรอเนี่ย” ไคบะพูด
“จ่า นั่นน่าจะเป็นบอสใหญ่ของดันเจี้ยนนี้ใช่ไหม” ซาวาตาริถาม
“น่าจะใช่ เเต่ว่าดันเจี้ยนนี้มีเเค่ชั้นเดียวนี้ เจ้าบอสนั่นมันเก่งเกินระดับไปเเล้ว เกิดอะไรขึ้นกันเเน่”
เมื่อสักครู่นั้น ชิมะบุคุดระได้ยิง ปืนไรเฟิ้ลโฮวะ ไทป์89แบบฟูลออโต้ใส่ในระยะเเค่นั้น กระสุนน่าจะต้องเข้าเป้าบ้าง เเต่เจ้ามุนษย์เงือกนั่นก็ยังไม่สะเทือนเเละขยับตรงมาทางนี้
มิยากุสุกุพูดด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตานองหน้า “พวกนายไม่มีใครฟังฉันเลยรึไง เทพเจ้าชั่วร้ายที่ถูกทิ้งอาซัยอยู่ที่นี่ พวกเรา-พวกเราต้องตายกันหมดเเน่!”
“นายกำลังบอกว่านั่นไม่ใช่มอนสเตอร์ธรรมดางั้นหรอ” ไคบะถาม “เป็นคอเเลประหว่างมอนเสตอร์กับเทพเจ้าที่กำลังเเค้นรึไง”
ในระหว่างที่เอามือกุมหัวอยู่ อิโอริหันไปหามิยากุสุกุที่ไม่เหลือพลังใจจะสู้เเล้ว “นายรู้ได้ยังไง” เธอถาม
“หือ… ยายของฉันเป็นยูตะ เธอทำหน้าที่ปลอมประโลมเทพเจ้าที่อยู่ที่นี่”
ยูตะเป็นชาเเมนประเภทหนึ่ง ถึงโนโระที่เป็นนักบวชหญิงจะทำหน้าที่ดำเนินพิธี เเต่ยูตะเป็นสื่อนำวิญญาณของผู้คน เพราะพวกเธอจัดเป็นคนละประเภทกันเเละยูตะเคยโดนข่มเหงรังเเกอยู่ช่วงหนึ่ง ทำให้มีผู้หญิงมากมายที่ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นยูตะ
“ตอนที่เธอยังเป็นเด็ก เธอคุยกับอะไรสักอย่างในป่านี้ พอโตขึ้น เเต่งงานเเละให้กำเนิดเเม่ฉัน เธอเกือบตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ นั่นทำให้เธอเริ่มเป็นยูตะเเละคอยปลอบประโลมพวกวิญญาณจากเรื่อเล่าเก่าเเก่”
“อิโอริมองไปที่มัมมี่นั่นที่กำลังเคลื่อนตัวมาช้าๆ” “ยายนายเป็นเพื่อนกับสิ่งนั้นงั้นหรอ!”
“ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้ เเต่ไอนั้นมันต้องเเค้นมนุษย์เเน่ๆ!”
นักบวชหญิงกลายเป็นร่างทรงของเทพเจ้า พอผู้คนไม่พอใจกับเทพเจ้านั้น พวกเขาก็จะทิ้งร่างทรงไว้ในทิระ
มิยากุสุกุไหล่ตก ท่าทางจะยอมเเพ้ “ฉันไม่รู้ว่าเทพเจ้าหรือร่างทรงที่เกลียดเรา เเต่มันจะมาฆ่าเราเเน่ๆ”
ฮากาเนะที่กำลังฟังบทสนทนานี้พร้อมกับฟังรายงานของซาวาตาริที่บอกว่า “ดูจากผลงานสุดท้ายของชิมะบุคุโระ ปืนไทป์89นั้นไม่ได้ผล”
เเม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ซาวาตาริที่พึ่งพาได้ก็ยังสุขุมอยู่ เเต่ฮากาเนะก็สังเกตเห็นมือของเขาที่สั่นเล็กน้อย
“นอกจากไทป์89 พวกเรามีอุปกรณ์อะไรบ้าง” ฮากาเนะถาม
“เรามีระเบิดมือ MK3 อยู่สองลูกครับจ่า ส่วนคนอื่นมี ระเบิดติดปืนไทป์06 อยู่4ลูก”
“จ่าครับ” ไคบะขัดขึ้น
“ผมขอร้องล่ะ ช่วยคิดเเผนปาฏิหารย์ที่ทำให้พวกเรารอดตายที ยังมีผู้หญิงอีกหลายคนรอให้ผมไปเล่นด้วยอยู่ โธ่เว๊ย ทำไมถึงสั่นขนาดนี้เนี่ย นิ้วผมจะลั่นไกได้ตลอดเวลาเเล้วเนี่ย”
ไคบะนั้นทำให้ทุกคนในหน่วยสบายใจได้อยู่เสมอด้วยท่าทีสบายๆของเขา เเต่ตอนนี้ เเม้เเต่เสียงของเขาก็ยังเเหบเเห้ง
เราไม่น่าจำกำจัดมันได้ด้วยแุปกรณ์ในตอนนี้ ฮากาเนะคิด
“เอาล่ะ เอาถอยกันเงียบๆอย่าส่งเสียง ถ้ามันโจมตีพวกเราก็ให้กระหน่ำยิงพร้อมกับถอยไปด้วย พอพวกเราถึงเเอ่งน้ำ ให้เคลื่อนตัวไปที่มุมทางเข้า พอมันเข้ามาเมื่อไร ให้ทุกนายใช้ระเบิดซะเพื่อดันมันไปทางแอ่งน้ำ จากนั้นให้พวกเราวิ่งหนีไปที่ทางออกให้เร็วที่สุด”
“ถ้าระเบิดของเราทำมันกระเด็นไมไ่ด้ล่ะ” ซาวาตาริถาม
ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราทุกคนก็เอาตัวพุ่งชนมัน
“ผมไม่ใช่นักซูโม่ด้วยสิ” ซาวาตาริตอบพร้อมหัวเราะ
ฮากาเนะหันมาหาอิโอริด้วยสีหน้าจริงจังเเละให้คำสั่งเธอ “ฟังนะ พอมอนเสตอร์นั่นมันกระเด็น ให้เธอรีบวิ่งไปที่ทางเข้า อย่าหันมาเด็ดขาด”
“เข้าใจเเล้ว”
พวกเขาจัดกระบวนทัพอยู่ตรงมุม เเละจัดท่าเตรียมยิง ที่ตรงทางเข้าห้องเเอ่งน้ำ พอเห็นมอนสเตอร์โผล่มา ฮากาเนะก็ตะโกน
“เตรียมยิง”
“เตรียมยิง!!” ทุกนายตอบพร้อมกัน
พอมอนเสตอร์โผล่มาทั้งตัว ฮากาเกะก็ตะโกนเสียงดังก้องบริเวณ
“ยิง!!!!”
เหล่าทหารนั้นยิงลูกระเบิดพร้อมกับเสียงของฮากาเนะ ทุกลูกนั้นพุ่งตรงไปที่หัวของมอนสเตอร์นั่นเเละระเบิด เเต่ทว่า…
“ไม่มีเเม้เเต่รอยขีดข่วนหรอเนี่ย…”
มันเเทบไม่กระเด็นเลย เเละดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรด้วย ในเมื่อเป็นเเบบนี้ ทั้งหน่วยก็ไม่มีทางเลือก พวกเขาต้องพยายามให้อิโอริหนีไปให้ได้
“พวกเราจะล่อบอสเอาไว้เเละพยายามให้มันไปอยู่ตรงมุมห้อง ระหว่างนั้นให้เธอใช้จังหวะนี้หนีไป”
“หา เเล้วคุณล่ะ”
“พวกเรามีหน้าที่ต้องปกป้องพลเรือน”
“เเต่ว่า…”
“ไม่ต้องห่วง พวกเราไม่ตายง่ายๆหรอก” ฮากาเนะยิ่มอย่างอ่อนโยนเเละตบบ่าอิโอริ “เอาล่ะ เริ่มได้เเล้ว”
ทหารทั้งสี่นายยิงมอนสเตอร์ พยายามพามันไปที่ส่วนลึกของห้อง มอนสเตอร์นั้นจึงขยับออกห่างจากทางเขข้าตามที่ฮากาเนะวางเเผนเอาไว้ ทำให้อิโอริสามารถวิ่งไปที่ทางออกได้
พอพวกเขาเห็นเธอวิ่งออกจากห้องไป ทั้งหน่วยก็โล่งใจ พวกเขาทำภารกิจขั้นต่ำสำเร็จเเล้ว
“เหมือนพวกเราจะทำภารกิจสำเร็จเเล้วนะ” ไคบะพูดขึ้น
“เอ่อ นายรู้ใช่ไหมว่าพวกเรากำลังเเย่อยู่ตอนนี้ เเต่ในตอนสุดท้าย พวกเราสามารถกระจายกันออกไปทางทั้งสองข้างของมอนสเตอร์ได้นะ” ซาวาตาริพูด
“หรือไม่ก็ลองดำน้ำนั่น” ไคบะพลางเพยิดหน้าไปทางแอ่งน้ำ
“ความคิดไม่เลว เเต่นายคิดว่านายว่ายน้ำได้เร็วกว่านางเงือกงั้นหรอ”
“มันเป็นชะตาชีวิตของพวกหนุ่มหล่อที่ต้องโดนสาวๆไล่ตามอยู่เเล้ว”
“หนุ่มหล่อ? นายได้ส่องกระจกบ้างไหมช่วงนี้”
เเม้ว่ากำลังจะตาย พวกเขากก็ยังยิงมุกกันได้ เหมือนพวกเขาทำใจได้เเล้ว
“ไม่ว่าใครจะพลาดท่าก็อย่าหันหลังกลับมาเด็ดขาด” ฮากาเนะสั่ง “พยายามมีสมาธิกับการทำให้ตัวเองรอดตาย เเละวิ่งให้สุดชีวิต”
“รับทราบ!!” ทั้งหน่วยตอบพร้อมกัน
หลังจากที่ตัดสินใจได้เเล้ว พวกเขาจ้องไปที่มอนสเตอร์ เเต่ว่าพอเห็นอิโอริยืนอยู่ัที่ฝั่งตรงข้าม ทุกคนก็หายใจเฮือกด้วยความประหลาดใจ
“เธอกำลังทำอะไรเนี่ย!!”
***
อิโอริกำลังยืนอยู่ที่ทางเข้า ในมือถือมีดของน้องชายเเน่น หันไปหามอนสเตอร์
“อาจจะมีเป็นล้านอย่างที่เธออยากจะบอกพวกฉัน” เธอพูดกับมอนสเตอร์
“ทำอะไรอยู่ รีบออกไปจากตรงนั้นเร็ว!!” ฮากาเนะกรีดร้อง
อิโอริพูดต่อเหมือนไม่ได้ยิน
“ผู้คนเรียกเธอมาที่โลกมนุษย์ เเต่กลับทำเรื่องเเย่ๆใส่เธอ เเต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทุกๆคนก็มีที่ๆให้กลับไป”
อิโอริพยายามสุดกำลังเพื่อควบคุมสนามเเม่เหล็ก เศษหินรอบๆตัวเธอกำลังเด้งขึ้นในอากาศ
“จะ-จ่า… กะ-เกิดอะไรขึ้น” ไคบะถาม
ตอนนี้มีดเล่มใหญ่กำลังลอยอยู่ข้างๆอิโอริเเละกำลังสั่นเป็นจังหวะ
“เพื่อนคนสำคัญของเธอจากดลกนี้ไปนานเเล้ว ถึงเวลาที่เธอจะต้องกลับมาเหมือนกันเเล้วล่ะ”
เหมือนเป็นการสอบสนอง มอนสเตอร์นั้นหันมาทางอิโอริ เปิดปากกว้างที่เต็มไปด้วยเขี้ยวเเละคำรามออกมา
“ขอโทษนะ” อิโอริพูด
พอเธอพูดจบ ก็เหมือนมีอะไรสักอย่างยิงใส่นางเงือก ส่งเสียงกระเเทกดังสนั่น นอกจากมีเสียงโซนิคบูมเเล้ว มีดนั้นฉีกกระชากร่างกายท่อนบนของมอนสเตอร์ออก กระจายออกเป็นส่วนๆ
ทั้งหน่วยมองกระดูกของนางเงือกกระเด็นตกลงไปในน้ำ ร่างกายท่อนบนของมันกลายเป็นละอองเเสงสีดำ หลอมรวมไปกับเเสดงสีฟ้าที่ส่องออกมาจากผิวน้ำ
ทิระนั้นเป็นเขตเเดนระหว่างโลกมนุษย์กับดินเเดนเทพ เเอ่งน้ำนี้เชื่อมต่อกับทะเล ทั้งเทพเจ้าเเละร่างทรงจะต้องหาทางกลับบ้านได้เเน่
ในระหว่างที่สติของเธอกำลังดับลง เธอก็รู้สึกพึงพอใจเเปลกๆ
โอกินาวะ 2015 (ไม่กี่วันหลังจากนั้น)
นิชิฮาระ เขตนาคากามิ (ถนนอุเอฮาระ)
ฮากาเนะก้าวออกจากรถ ถึงเเม้จะเป็นเวลาค่ำ เเต่อากาศก็ยังคงร้อนระอุอยู่ดี
ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยริวกิวเเห่งนี้สามารถมองเห็นมหาสมุทรแปซิฟิคได้ไกลๆ
“ร้อนชะมัด” เขามุงหน้าไปยังส่วนของโรงพยาบาล
พอก้าวเข้าไปในตึก ลมจากเครื่องปรับอากาศก็พัดทำให้รู้สึกดี ถึงเขาจะรู้เลขห้องอยู่เเล้ว เเต่เขาก็ยังไปหานางพยาบาลตามขั้นตอน หลังจากนั้นเขาก็เริ่มออกเดินอีกครั้ง หลังจากที่ตรวจสอบป้ายชื่อหน้าห้องเเล้ว เขาก็เคาะประตู
“เข้ามาได้ค่ะ” คนไข้ด้านในห้องตอบ
พอเปิดประตูเข้าไป ฮากาเนะเห็นอิโอริกำลังนั่งอยู่บนเตียง เธอดูดีขึ้นมาก
“เธอดูสบายดีนะ”
“สวัสดีค่ะ ฮากาเนะซัง ก็ฉันไมไ่ด้ป่วยหรืออะไรนี่คะ”
“หลังจากที่สลบไป เธอหลับไม่ตื่นไปสองวันเต็มๆ ถึงจะไม่ป่วย เเต่ที่เธอเป็นมันก็น่าเป็นห่วงล่ะนะ”
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ เเล้วก็ขอบคุณด้วยค่ะ”
“ถ้าเธอสบายดีก็ดีเเล้วล่ะ”
นอกหน้าต่างนั้น ผิวน้ำของมหาสมุทรกำลังส่องประกายจากเเสงอาทิตย์ยามเย็น
“ทำไมตอนนั้นเธอไม่วิ่งหนีไปล่ะ”
ชั่วขณะนึง อิโอริไม่เข้าใจคำถาม เเต่หลังจากคิดสักพักเธอก็นึกออก เธอเกาที่ปลายจมูกด้วยความเขินอาย
“การปล่อยให้คนอื่นตายทั้งๆที่สามารถช่วยได้เนี่ย ฟังดูไม่ค่อยเป็นญี่ปุ่นเลยนะคะ”
“งั้นหรอ นั่นเเหละปัญหา” ฮากาเนะหัวเราะเเหยๆ
“เราไม่สามารถปล่อยให้คนที่พวกเรามาช่วยจัดคำสั่งได้หรอกนะ”
“ขอโทษด้วยค่ะ”
“เเต่ว่า ถ้าเธอกำจัดมอนสเตอร์นั้นภายในครั้งเดียวไมไ่ด้ เธอจะทำยังไง”
“อืมมม” อิโอริคิด “ฉันไมไ่ด้คิดเผื่อขนาดนั้นค่ะ สิ่งเดียวที่คิดออกในการจะไล่บางอย่างกลับไปที่โยมิก็คือการคว้างลูกพีซใส่มัน”
“เธอหมายความว่ายังไง”
“จากโคจิคิค่ะ ที่ฮิราซากะ โยโมตสึ เทพธิดาอิซานากิได้ไล่วิญญาณปีศาจร้ายกลับไปที่ดินแดนคนตายโดยการปาลูกพีซใส่พวกมัน”
เธออิงมาจากตำนานเรื่องเล่างั้นหรอ ฮากาเนะพูดไปออกไปชั่วขณะกับความคิดของอิโอริ เเต่พอเขามาคิดถึงการมีอยู่ของดันเจี้ยน เขาก็ถอนหายใจออกมา บางทีมันอาจจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องก็ได้ ตั้งเเต่ที่ดันเจี้ยนปรากฏขึ้น ตำนวนความเชื่อก็เริ่มหลอมรวมเข้ากับเรื่องจริง เพราะเเบบนี้ สิ่งที่อิโอริพูดอาจจะฟังดูสมเหตุสมผล พอคิดกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในถ้ำนั่น ฮากาเระไม่สงสัยเลยว่าทำไมเธอถึงไปพึ่งตำนานเก่าเเก่
“เเล้วเธอจะไปหาลูกพีซมากจากในไหนฤดูนี้ล่ะ”
“ที่ด้ามจับของมีดค่ะ เป็นของขวัญมาจากน้องชาย”
“อะไรนะ”
อิโอริเล่าเรื่องมีดจากโอคายามะให้ฮากาเนะฟัง
“บนด้ามจับมีรูปโมโมทาโร่ที่กำลังออกจากลูกพีซสลักอยู่” เธออธิบาย
“งั้นตำนวนเก่าเเก่ทำให้เธอเชื่อว่ามีดที่มีลูกพีซเเกะสลักไว้จะสามารถฆ่ามอนสเตอร์นั่นได้หรอ ไม่มีอะไรอย่างอื่นเเล้ว?”
“ไม่มีเเล้วค่ะ..”
เป็นจริงที่ไม่มีความคิดอย่างอื่นเลย พอเธอเห็นรูปลูกพีซที่ด้ามจับ เธอก็เกิดความคิดที่จะใช้ลูกพีซขับไล่ปีศาจ เธอไม่ได้คิดเลยว่าถ้ามันไม่สำเร็จจะเป็นยังไง บางทียายของมิยากุสุกะอาจจะเป็นคนบอกความคิดนี้ให้เธอก็ได้ ยังไงก็ตาม ยูตะที่เสียไปเเล้วคงไม่อยากให้เพื่อนตัวเองมาฆ่าหลานของตัวเองหรอก
“น้องชายฉันบังคับให้ฉันเก็บมีดนั่นไว้เป็นเครื่องราง สุดท้ายเเล้วมันก็ช่วยปกป้องฉันจริงๆ เเต่ฉันทำมันหายไปเเล้วลาะ เขาจะโกรธฉันไหมนะ”
ฮากาเนะคิดว่าที่อิโอริทำท่าหมดหวังนั้นตลกดี เขาพยายามกลั้นหัวเราะเเละเสน
“งั้น เเทนคำขอบคุณ หน่วยของพวกเราจะให้มีดใหม่เป็นของขวัญเธอเอง”
“จริงหรอคะ”
“เเน่นอน”
“คุณช่วยชีวิตฉันเลยล่ะ ฉันเองไม่รู้ว่าจะไปหามีดนั่นมาได้ยังไง”
ตอนที่เผชิญหน้ากับบอสดันเจี้ยน เธอดูเหมือนมีเทพสถิตอยู่ เเต่พอเห็นเธอทำหน้ามีความสุขอยู่ตอนนี้ เธอเองก็ดูเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วไป เเต่ว่าพลังของเธอนั้นเป็นของจริง เพราะคำว่า ‘ควบคุมสนามเเม่เหล็กนั้นถูกสลักอยู่ในดี-การ์ดของเธอ’
พอนึกขึ้นได้ว่าเขามาที่นี่ทำไม ฮากาเกะก็เปลี่ยนเรื่อง
“เธอจะทำอะไรหลังจากเรียบจบเเล้ว”
“ก็ ตอนนี้ฉันไม่ได้ทำวิจัยอะไรที่สำคัญพอที่จะเป็นนักวิจัย ฉันอาจจะได้รับข้อเสนอจากบริษัทบ้างเเละอาจจะเริ่มที่นั่น หลังจากนั้น-”
“เธออยากมาอยู่กับฉันไหม”
“…หือ หา!!”
อิโอริหน้าเเดงกับข้อเสนอที่ชวนให้เข้าใจผิดของฮากาเนะ
เเน่นอนว่าเขาไมไ่ด้หมายความว่าเเบบนั้น
พอเขาเข้าใจว่าพึ่งพูดอะไรออกไป ฮากาเนะรีบอธิบายเพิ่ม
“หยะ-อย่าพึ่งเข้าใจผิด ฉันไม่ได้หมายความเเบบนั้น ที่ว่ามาอยู่ด้วยกันหมายถึงที่ JDAG ต่างหาก!”
“JDAG หรอ?” อิโอริอ้าปากค้าง หลังจากที่รู้สึกตัวเธอก็เริ่มพูด ดูเสียใจเล้กน้อย “ฉันก็คิดว่านายหมายความว่าอย่างนั้นเเหละ”
เธอดึงสร้องออกมาจากคอ เเสดงให้เห็นถึงดี-การ์ด
“เราสามารถใช้พลังเธอได้นะ ฉันชวนเธอเพราะสิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่นี้”
“พูดว่าอะไรนะ”
“ที่ไม่ปล่อยให้คนอื่นตายทั้งๆที่สามารถช่วยได้ไงล่ะ”
“อ๋อ”
“เเล้วคิดว่ายังไงล่ะ”
“ฉันไม่เเข็งเเกร่งพอที่จะเข้าSDFหรอกค่ะ เเถมการสอบคัดเลือกของปีนี้ก็พึ่งจบลงใช่ไหมล่ะ”
ได้ยินดังนั้น ฮากาเนะก็มีหวัง “เธอรู้ได้ยังไง”
SDF นั้นจะมีการสอบคัดเลือกเเค่ครั้งเดียวต่อปีนั่นคือในเดือนพฤษภาคม คนที่สอบผ่านจะยังไม่ถูกบรรจุจนกว่าจะถึงเดือนเมษายนของปีถัดไป นอกจากคนที่สนใจจะเข้าJDFเเล้ว นักศึกษาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้เรื่องนี้นัก ปกติคนคงไม่คิดว่าจะมีการสอบเร็วขนาดนี้ เพราะฉะนั้นเวลามีคนตั้งใจจะเข้าสอบ หลายๆคนจะต้องรอไปอีกหนึ่งปี
“เอ่อ ก็… ดูจากสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นเเล้ว ฉันก็อดสงสัยไม่ได้ค่ะ เเถมตอนนี้ฉันมีพลังนี่ด้วย”
เเสงอาทิตย์ยามตกดินย้อมเเก้มของอิโอริให้กลายเป็นสีเเดง ภาพของเธอที่กำลังอายสะท้อนอยู่ที่หน้าต่าง
“ถ้าฉันไปขอให้เธอเป็นข้อยกเว้นได้ เธอจะมาสอบคัดเลือกไหม”
เพราะถ้ำนั่นเป็นดันเจี้ยนเเรกที่ญี่ปุ่นสามารถพิชิตได้ เเละอิโอริก็เป็นกำลังสำคัญในครั้งนี้ด้วย ถ้าฮากาเนะไปขอร้องสักหน่อย ทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดีเเน่
ทำไมเขาต้องทำขนาดนี้เพื่อฉันด้วยนะ อิโอริสงสัย
“เเต่ไม่มีอะไรการันตีว่าฉันจะสอบผ่านนะคะ”
“โอ้ เธอไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก”
อิโอริได้รับพลังจากทวยเทพให้ผ่านวิกฤตของดันเจี้ยนในครั้งนี้ได้ สุดท้ายเเล้วเธอเลือกที่จะต่อสู้ด้วยตัวเอง พอมองเธอ ฮากาเนะก้นึกถึงเรื่องของยายมิยากุสุกุ หญิงสาวที่ชื่ออิโอรินี้ทำให้เขานึกถึงชาเเมนชาวริวกิว พอคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น บางทีเรื่องราวนี้อาจจะเป็นโชคชะตาก็ได้
สุดท้ายเเล้ว ที่โอกินาวะเเห่งนี้ ที่เกาะเหล่านี้ มีหญิงสาวหลายคนกลายเป็นนักบวชเพื่อรับใช้เทพเจ้า