ดาบผู้พิทักษ์ปริศนาของบุตรชายตระกูลบารอน - ตอนที่ 6
ภายในคฤหาสน์ตระกูลแลสเซนเนอร์ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
หลังจากที่โจเซฟสงสัยว่าบุตรีของเขาอย่างคริสต์ได้ถูกจับตัวไป บุตรชายของเขาอย่างแอลก็หายตัวไปอีกคน มันทำให้เขาผู้เป็นพ่อเต็มไปด้วยความกังวล
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…?!” โจเซฟเค้นเสียงออกมาด้วยความสับสน
เขารู้เรื่องที่แอลหายตัวไปหลังจากออกไปตามอัศวินสืบสวนและไปส่งข่าวถึงคฤหาสน์ของเคาน์เดเลอมาร์ที่ใช้พักผ่อนในชนบทแห่งนี้ เพราะตัวเขาก็สงสัยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่าอาจจะเป็นฝีมือของเคาน์ แต่ก็รู้ดีว่าต่อให้ไปถึงห้องนอนของเคาน์เดเลอมาร์ก็ไม่มีทางที่เคาน์จะยอมรับ
ถึงกระนั้นเขาก็จับสังเกตได้ว่าบุตรบุญธรรมอย่างนายน้อยเลกซ์ไม่ได้อยู่ภายในคฤหาสน์ของเคาน์เดเลอมาร์ในตอนนั้น เขาจึงตัดสินใจกลับมายังคฤหาสน์ของตัวเองพร้อมกับข้อสันนิษฐานที่เลกซ์อาจจะจับตัวคริสต์ไป ทำให้เขามีความคิดที่จะออกสำรวจเส้นทางและสถานที่ต้องสงสัยต่าง ๆ ที่อาจจะใช้ในการพาตัวและกักขังตัวของบุตรสาวของเขาไว้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขากลับมาถึงคฤหาสน์ เขากลับต้องมารู้ข่าวที่น่ากังวลอีกอย่างจากคนใช้ในคฤหาสน์ว่าตัวของแอลเองได้หายตัวไปเช่นกัน
“ทั้ง ๆ ที่แค่เรื่องของคริสต์ก็ทำให้เราเป็นกังวลจนจะบ้าอยู่แล้ว”
โจเซฟเดินออกจากห้องของบุตรชายที่เต็มไปด้วยอัศวินที่กำลังทำการสืบสวนและการตรวจสอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของบุตรสาวที่เต็มไปด้วยอัศวินที่กำลังทำการสืบสวนและตรวจสอบเช่นเดียวกับห้องของตัวบุตรชาย
“เจอเบาะแสอะไรเพิ่มเติมรึเปล่า”
เขาถามอัศวินคนหนึ่งที่กำลังทำการยืนรับรายงานด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“ท่านโจเซฟ …ต้องขอโทษด้วยครับ เราไม่เจออะไรเพิ่มเติมเลย”
อัศวินคนนั้นก้มหัวแสดงท่าทางสำนึกผิด โจเซฟทำเพียงส่ายหัวไม่ถือโทษก่อนจะหยิบเศษผ้าสีดำที่แอลเป็นคนค้นพบภายในห้องของคริสต์ขึ้นมา
“เบาะแสเดียวที่เรามีคงเป็นเศษผ้านี้สินะ…”
หากเป็นไปตามที่เขาคิดเศษผ้าชิ้นนี้คงเป็นเศษผ้าจากตัวของคนร้ายที่ทำการลักพาตัวคริสต์ไปอย่างแน่นอน มันได้บอกให้รู้ว่ามีคนมาลักพาตัวบุตรีของเขาไป แต่มันก็เท่านั้น เขาไม่สามารถใช้มันในการตามรอยคนร้ายเพื่อนำคริสต์กลับมาได้
เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่เสียเวลาตรวจสอบภายในคฤหาสน์อีกต่อไปและเรียกรวมพลที่มีอยู่เพื่อออกตามหาตัวบุตรีที่ถูกจับตัวไป รวมถึงตามหาตัวบุตรชายที่คาดเดาว่าถูกจับตัวไปเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเท้าออกจากห้องของบุตรีเลยด้วยซ้ำ
“เราพบตัวคุณหนูและนายน้อยแล้ว—!!”
เสียงตะโกนที่ดังขึ้นมาจากทหารนายหนึ่งได้ก้องกังวานไปทั่วโสตประสาทของโจเซฟจนทำให้เขาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะได้สติและรีบย่ำเท้าไปยังทางที่เสียงได้ดังขึ้นมาด้วยใบหน้าที่หลากหลายไปด้วยอารมณ์มากมาย ทั้งดีใจ เคร่งเครียด สับสนและงุนงง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…?!”
เขาไม่รู้ว่าตัวเองพูดคำนี้ออกมาครั้งที่เท่าไหร่ โดยในเวลาต่อมาเมื่อเขาได้เดินทางไปหาตัวของคริสต์และแอล สภาพของตัวบุตรชายที่เขาได้เห็นก็ทำให้เขาต้องพูดคำ ๆ นี้ออกมาอีกครั้ง
—๏๏๏—
ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนตัวเองกำลังนอนอยู่บนพื้นน้ำแข็ง
ร่างกายมันรู้สึกหนาวเสียจนจะจับไข้ ถึงกระนั้นผมก็ทนกับมันได้ราวกับมีภูมคุ้มกัน คงเป็นเพราะความรู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังแยกจากกายหยาบ มันรู้สึกเบาหวิวจนเหมือนตัวจะลอยได้และรู้สึกว่าวิสัยทัศน์ของตัวเองช่างห่างไกลกับอะไรต่าง ๆ ที่อยู่รอบกาย
แม้จะถูกเด็กสาวสวมกอดอย่างแนบแน่นจนลมหายใจรดต้นคอ ผมก็เห็นว่าเป็นภาพที่ไกลตัว…
…เกินกว่าจะสะทกสะท้าน
เอ๊ะ เมื่อกี้ผมตาฝาดไปรึเปล่า…?
ตัวผมหันศีรษะมองไปยังใบหน้าอันบอบบางที่แสนคุ้นเคยอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ สภาพอันแนบชิดที่ปรากฎให้เห็นทำให้ผมคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่หรือไม่ก็ประสาทหลอนเพราะสมองกระทบกระเทือนจากการต่อสู้ไปแล้ว แต่กลิ่นหอมและความนุ่มนิ่มที่รู้สึกนี้…
“เหวอ—!!!” ผมร้องเสียงหลงออกมาราวกับคนขวัญกระเจิง
หัวใจเต้นตูมตามผิดจังหวะราวกับเห็นผี นี่เรากำลังทำอะไรอยู่กับพี่สาวของตัวเองที่มีอายุแค่สิบห้าปีกันเนี่ย ทำไมเธอถึงมานอนกอดเราจนลมหายใจรดต้นคอแบบนี้ได้ล่ะ…?!
“อือ… ตื่นแล้วเหรอแอล…?” ดูเหมือนเพราะเสียงร้องของผมเลยทำให้เธอตื่นขึ้นมา
เธอขยี้ตาอย่างน่ารักน่าชังด้วยความงัวเงีย ก่อนจะมองมายังตัวผมที่ผละร่างออกจากอ้อมแขนของเธอและกำลังมองเธอด้วยดวงตาที่เบิกกว้างจนแทบถลนออกมา ภาพความจำที่เธอกำลังสวมกอดผมก่อนหน้านี้มันทำให้ผมแทบจะลืมความรู้สึกในตอนแรกที่ตื่นขึ้นจนหมด
ผมคิดแบบนั้น แต่ความจริงนั้นตรงกันข้าม
เพราะไม่ทันที่ผมจะได้พูดออกมา ความเจ็บปวดอันแสนสาหัสอยู่ดี ๆ ก็โลดแล่นเข้าสู่ทรวงอกอย่างฉับพลัน มันทำให้ผมต้องโน้มตัวลงด้วยร่างกายที่สั่นระริกจนดูผิดรูปอย่างทุกข์ทรมานเพราะความปวดร้าวและอาการหายใจที่ติดขัด
“แอล?! นี่จู่ ๆ เป็นอะไรไป?!” พี่สาวเข้ามาดูอาการผมด้วยความตื่นตระหนก
“ช่วยด้วย…” ผมเค้นเสียงออกมาอย่างเจ็บปวด
“มีใครอยู่ข้างนอกไหม?! ช่วยไปเรียกหมอมาที!!” เธอกุมมือของผมด้วยมือสั่นสะท้านพร้อมกับหันไปเรียกคนใช้ที่อยู่ข้างนอกห้องอย่างสุดเสียงเพื่อไปตามหมอมาช่วยผม
ผมมองใบหน้าที่ซีดเซียวลงอย่างฉับพลันของเธอ
ผมพยายามบังคับร่างกายของตัวเองให้หยุดสั่นด้วยการจับไปที่หน้าอกอย่างรุนแรงจนนิ้วแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ หวังว่าความเจ็บปวดที่ได้รับตรงนี้พอจะเบี่ยงเบนความรู้สึกของผมที่กำลังโฟกัสไปที่ความเจ็บปวดในทรวงอกให้น้อยลงสักนิดก็ยังดี
[สภาพดูไม่ได้เลยนะเจ้าน่ะ] เสียงอันคุ้นเคยได้ดังขึ้นราวกับรอจังหวะ
นั่นมัน …เสียงของดาบมนตราในตอนนั้น…
[มิดการ์เดอร์ต่างหากมิดการ์เดอร์น่ะ หัดจำชื่อกันซะบ้างสิเจ้าเด็กนี่]
ผมกวาดสายตามองซ้ายขวาพยายามหาตัวดาบเคลย์มอร์สีดำทองที่เป็นเจ้าของเสียงภายในหัว แต่ไม่ว่าจะพยายามมองหาเท่าไหร่ก็ไม่พบดาบหรืออะไรที่ดูเป็นดาบสักเล่มภายในห้องนี้เลย
[บอกไว้ก่อนว่าหาทั้งชาติก็ไม่เจอ เพราะว่าข้าไม่ใช่ดาบแล้วยังไงล่ะ]
หมายความว่าไง…?
[ก็หมายความว่าข้ากลายเป็นอะไรอย่างอื่นแล้วน่ะสิ!] น้ำเสียงนั้นดูภาคภูมิใจราวกับมีขุนนางที่ไหนซ้อนทับ ถึงแม้จะไม่มีใบหน้าให้มองก็พอนึกภาพออกว่ามิดการ์เดอร์กำลังรู้สึกอย่างไร
[ลองมองไปที่คอของเจ้าสิ]
ผมมองไปที่คอของตัวเองตามคำพูดของมัน ด้วยสภาพร่างกายที่กำลังก้มตัวจนหลังโก่งชี้ฟ้า ทำให้ผมเห็นสร้อยคอเส้นหนึ่งห้อยลงมาตามแรงโน้มถ่วงจนเด่นชัดสะดุดตา มันเป็นสร้อยคอเหล็กที่เครื่องประดับตรงกลางนั้นคือดาบเคลย์มอร์สั้นสีดำขนาดเล็กเท่านิ้วชี้ ซึ่งหากจะพูดว่าดูดีหรือดูธรรมดาก็คงเป็นไปได้ทั้งสองอย่างตามแต่คนชอบ
[เป็นไง ตกใจใช่ไหมล่ะ?]
ไอตกใจก็ตกใจอยู่ แต่ตอนนี้ช่วยกันหน่อยได้รึเปล่า…?
การที่มิดการ์เดอร์สามารถเปลี่ยนตัวเองจากดาบกลายเป็นสร้อยคอแบบนี้ได้คงเป็นหนึ่งในความสามารถของดาบมนตราที่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นปริศนา
ตามตำนานแต่เดิมดาบมนตรานั้นไม่ใช่ดาบที่ถูกตีขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ ทำให้ยังมีความสามารถอีกมากมายของดาบมนตราที่ไม่ได้รับการเปิดเผย อย่างเช่นการที่ดาบมนตราเปลี่ยนรูปร่างได้และมีจิตใจเองก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครรับรู้เช่นกัน
[ไม่บอกข้าก็จะช่วยอยู่แล้ว เพราะถ้าเจ้าเป็นอะไรขึ้นมาทางข้าก็ลำบากเอาน่ะสิ]
เมื่อสิ้นสุดคำกล่าว ผมก็รู้สึกได้ถึงพลังเวทอุ่น ๆ แบบเดียวกับที่รู้สึกตอนอยู่ในคุกใต้ดินไหลเข้าสู่ร่างกาย พลังเวทเหล่านี้เริ่มบรรเทาความเจ็บปวดของผมจนทำให้ร่างกายที่สั่นระริกค่อย ๆ นิ่งลงและการหายใจก็กลับมาสะดวกอีกครั้ง ผมรู้ได้เลยว่าร่างกายกำลังได้รับการเยียวยา
“แอล นี่ได้ยินที่พี่พูดรึเปล่า? แอล?” พี่สาวร้องเรียกผมเมื่อเห็นผมเหม่อลอยไปชั่วขณะ
ผมเงยหน้าขึ้นมองไปยังตัวเธอและพบว่าในตอนนี้มีคนคุ้นหน้าหลายคนกำลังยืนมองตัวผมด้วยความกังวลอยู่ข้างหลังของเธอ ทั้งพ่อ แม่ เหล่าเมดที่ผมและพี่สาวสนิทสนม รวมถึงชายชราในชุดแพทย์ที่น่าจะเป็นหมอที่ถูกเรียกให้มาดูอาการของผม
ผมไม่รู้จะพูดอะไรในสถานการณ์ที่ดูจะเต็มไปด้วยความกดดันอันแปลกประหลาดนี้
“แอล เป็นยังไงบ้างลูก เมื่อครู่เห็นพี่ของลูกบอกว่าจู่ ๆ ลูกก็แสดงท่าทางเจ็บปวดออกมา” แม่ที่ยืนมองผมด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ถามผมด้วยความเป็นห่วง
“ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับแม่…คิดว่า” ผมพูดออกมาด้วยความไม่มั่นใจ
ในตอนนี้เพราะมีพลังเวทของมิดการ์เดอร์ช่วยรักษาอาการของผมอยู่ทำให้อาการของผมกลับมาคงที่และดูไม่เจ็บป่วยอะไร แต่เมื่อไหร่ที่พลังเวทของมันหายไป ผมอาจจะกลับไปมีอาการเจ็บปวดแบบเดิมอีกครั้ง ผมจึงพูดได้ไม่เต็มปากว่าอาการไม่เป็นอะไรแล้ว
“พ่อคิดว่าลูกน่าจะให้หมอตรวจอาการของลูกดูก่อนดีกว่า” พ่อพูดกับผมเช่นนั้นก่อนจะหันไปพยักหน้ากับชายชราที่เป็นแพทย์ด้วยความสุภาพ
หลังจากนั้นทุกคนก็ถูกไล่ออกจากห้องไปเหลือเพียงผมและคุณหมอ เขาตรวจดูอาการเบื้องต้นของผมนิดหน่อยจึงใช้เวลาไม่นาน ซึ่งเมื่อเห็นว่าอาการของผมคงที่และไม่ได้เจ็บป่วยอย่างที่ได้ยินก็ทำให้เขาขมวดคิ้วนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจและบอกผมเกี่ยวกับการดูแลร่างกายที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ จากนั้นก็เดินออกจากห้องไปโดยที่ก่อนจะจากไปผมก็ขอให้เขาช่วยบอกครอบครัวของผมและคนที่ยืนกังวลอยู่ข้างนอกด้วยว่าผมต้องการพักผ่อนเลยไม่อยากให้ใครมารบกวน
“เท่านี้ก็เหลือแค่เราสองคนแล้วสินะ” ผมพูดขึ้นเช่นนั้นขณะมองดูประตูที่ปิดลง
“ฉันว่าคงถึงเวลาแล้วล่ะ ที่นายจะต้องบอกกับฉันทุกอย่าง …อย่าง ‘ผู้หวนคืนพันธสัญญา’ ที่นายใช้เรียกฉันในตอนแรกที่ได้เจอกัน”
ยังไม่ตรวจคำผิด