ดาบผู้พิทักษ์ปริศนาของบุตรชายตระกูลบารอน - ตอนที่ 5
มันเป็นเรื่องราวเมื่อหนึ่งปีก่อน ณ ยามค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงเจิดจ้า
ด้วยความที่เด็กสาวนอนไม่หลับเพราะอะไรบางอย่าง เธอจึงได้ออกมาชมพระจันทร์ดวงโตโดยที่ใส่เพียงแค่ชุดนอนบาง ๆ เดินไปรอบคฤหาสน์ของตระกูลแลสเซนเนอร์
ในตอนที่เดินมาถึงหลังคฤหาสน์และมีลมเย็น ๆ พัดผ่านตัวเธอไปจนทำให้เส้นผมสีดำถูกพัดขึ้นมาบกบังใบหน้า เธอได้ยินถึงเสียงของอะไรบางอย่างที่กำลังหวดอากาศอย่างต่อเนื่อง มันเป็นเสียงที่เธอคุ้นเคยเพราะเธอต้องได้ยินมันทุกครั้งเมื่อตอนที่เธอกำลังฝึกดาบ
“ใครมาฝึกดาบเอาป่านนี้กัน?” เด็กสาวนึกสงสัยจึงพยายามมองหาต้นทางของเสียง
และเธอก็ได้พบกับเด็กหนุ่มผู้เป็นน้องชายกำลังหวดดาบอย่างขะมักเขม้น
“แอลเหรอ…?” เธอพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
น้องชายผู้อ่อนแอที่มักจะแสดงท่าทางอ่อนแอและไร้เดียงสาออกมาเสมอ ตอนนี้เขามีท่าทีที่มุ่งมั่นผิดแปลกไปจากปกติที่เธอเคยเห็น กระบวนดาบเองก็ดูโดดเด่นและถูกขัดเกลามาเป็นอย่างดีแตกต่างจากเธอได้เห็นตอนฝึกซ้อมยามปกติไม่น้อย
“นี่เขาแอบมาฝึกซ่อมตอนกลางคืนคนเดียวตลอดเลยรึเปล่า?”
เธอไม่เข้าใจในการกระทำของผู้เป็นน้องชายและเริ่มนึกย้อนไปถึงอะไรต่าง ๆ ที่เธอเคยได้เห็นจากเด็กหนุ่มเพื่อเปรียบเทียบกับตัวของเขาที่เธอได้เห็นในตอนนี้ เธอคิดว่าเด็กหนุ่มที่กำลังฝึกฝนอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้างคนนี้ได้ปิดบังฝีมือที่แท้จริงมาโดยตลอด
เธออยากเข้าไปถามเขาว่าทำไมถึงทำแบบนั้น แต่เธอก็ไม่กล้าพอและทำได้เพียงมองดูเขาฝึกฝนอยู่นาน โดยภายในใจนั้นรู้สึกชื่นชนในความความสามารถของเขา
เขาเก่งมาก ถึงจะไม่ได้เทียบเท่าเธอ แต่ก็เก่งกว่าอัศวินหลาย ๆ คนที่เธอเคยประมือ
หากเขาแสดงฝีมือแบบนี้ออกไปให้คนในครอบครัวเห็นล่ะก็ เขาต้องได้รับการสนับสนุนไม่แตกต่างไปจากเธออย่างแน่นอน แต่เขากลับเลือกที่จะปิดบังมันไว้และฝึกฝนอยู่เพียงลำพัง และเธอก็นึกไม่ออกว่าเหตุผลที่เขาทำแบบนี้มันมีสาเหตุมาจากอะไร
เธอไม่กล้าถามเมื่อได้มองดูตัวเขาในตอนนี้
เธอจึงถอยออกมาอย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ผู้เป็นน้องชายรู้ตัว ก่อนจะกลับไปยังห้องของตัวเองด้วยความคิดที่โลดแล่นไปหลายทิศทาง มันทำให้คืนนั้นเธอน้อยไม่หลับตลอดทั้งคืนเพราะเอาแต่คิดเกี่ยวกับเรื่องของเขา เธอคิดว่าเธอต้องถามเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เธอได้เห็น
แต่เช้าวันต่อมาเมื่อเธอได้เอ่ยถามเขาออกไป เขาก็ทำเพียงตีหน้าซื่อและเอียงหัวด้วยความสงสัยเหมือนว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมาเธอก็อดไม่ได้ที่จะหมั่นไส้ในตัวของเด็กหนุ่มและค่อยแต่รังแกเขาอยู่เสมอมา
โดยภายในใจนั้นได้ตั้งคำถามและนึกน้อยใจถึงเหตุผลที่เด็กหนุ่มเก็บงำ
คริสต์ฝันถึงเรื่องราวในอดีต ก่อนจะตื่นมาในคุกใต้ดินแห่งเดิม
เธอไม่เห็นเลกซ์ที่ทำร้ายเธอจนสลบไปและได้กลิ่นถึงคาวเลือดที่กระจายคละคลุ้ง มันทำให้เธอสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะที่เธอสลบไปและเริ่มกวาดสายตามองไปโดยรอบ
ด้วยสายตาที่เริ่มหายพร่ามัวและกลับมาเห็นชัด เด็กสาวได้มองออกไปที่ภายนอกลูกกรงสนิมเขลอะและได้พบกับภาพที่น่าตกใจจนทำให้จิตใจของเธอตกลงไปสู่ตาตุ่ม
“แอล—!!” เธอตะโกนร้องเรียก
เด็กหนุ่มนอนจมกองเลือดที่ลากเป็นทางโดยไร้การตอบกลับ เพราะระยะห่างระหว่างเธอที่ถูกพันธนาการและตัวเขานั้นห่างไกล ทำให้เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่รึเปล่า เธอไม่เห็นใบหน้าและแววตาของเขา สิ่งที่เห็นมีเพียงท่าทางที่เอื้อมมืออกไปจับดาบเคลย์มอร์เล่มหนึ่งของเขา
“แอล! แอล! นี่ได้ยินรึเปล่า?! ตอบมาสิ!!”
น้ำตาเธอนองหน้าขณะที่พยายามดึงมือออกจากพันธนาการ เธอจ้องมองไปยังตัวเด็กหนุ่มและชายวัยกลางคนที่ยืนถือดาบอยู่เพียงคนเดียวในขณะนี้ ภายในใจของเธอฟันธงว่าชายคนนั้นจะต้องเป็นคนที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าเจ็บปวดแบบนี้อย่างแน่นอน
มันทำให้ความโกรธของเธอปะทุออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิด
“แก! แกทำอะไรน้องชายฉัน—!?”
“ได้สติขึ้นมาผิดจังหวะจริง ๆ นะ เจ้าควรตื่นขึ้นมาในขณะที่น้องของเจ้าต่อสู้อย่างกล้าหาญ” เดอาโกเหลือบสายตามองมายังตัวเด็กสาวก่อนจะพูดออกมาอย่างเรียบเฉย
“ถ้าน้องฉันเป็นอะไรขึ้นมา แกตายแน่!!”
“เป็นพี่น้องที่รักกันดีจริง ๆ นะ” เดอาโกทำแค่เพียงหลับตาลงและเก็บดาบ
ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นและมองไปยังร่างที่นิ่งสนิทของเด็กหนุ่มด้วยความเสียดาย เมื่อครู่เขาได้เห็นแอลคลานเข้าไปจับดาบมนตราที่หล่นอยู่ข้างศพของเลกซ์ เขาคิดว่าตัวแอลยังไม่ได้สิ้นหวังและคิดที่จะยอมแพ้ เด็กหนุ่มคงคิดจะใช้พลังของดาบมนตราในการล้มเขา
แต่ช่างน่าเวทนาที่ในทันทีที่ได้จับมัน เด็กหนุ่มก็แน่นิ่งลงไปก่อน
เดอาโกมองไปที่ร่างเล็กที่ไม่มีทางขยับอีกต่อไปอีกสักพักโดยไม่สนใจเสียงตะโกนที่ดังออกมาอยู่ตลอดเวลาของเด็กสาว ในความคิดของเขาตัวของแอลนั้นช่างอนาคตไกล เขาเห็นมันได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ที่แอลสามารถบุกมาถึงที่นี่และสามารถทำให้เขาต้องเอาจริงในการเอาชนะตัวเด็กหนุ่ม
แม้ฝีมือดาบของแอลจะไม่ได้โดดเด่น แต่ไหวพริบและความสามารถทางเวทนั้นเหนือล้ำ เพียงได้เห็นออร่าดาบและรู้สึกถึงแรงกดดันของเขา แอลก็รู้ถึงวิธีการที่มีโอกาสที่สุดที่จะเอาชนะเขาได้ เขาไม่รู้ว่าหากไม่ต้องมาต่อสู้กันเด็กคนนี้จะมีอนาคตไกลขนาดไหน
มันคงไกลมากและไม่แน่ว่าอาจจะไกลกว่า ‘ลูกสาว’ ของเขา
เขามีความคิดแบบนั้นในทันทีที่เด็กหนุ่มรวบรวมพลังเวทไว้ที่ปลายดาบจนมันแผ่แรงกดดันออกมาอย่างน่ากลัว เขารู้สึกเสียงหวาดหวั่นกับตัวเด็กคนนี้อย่างไม่ปิดบัง แต่ช่างน่าเสียดายและเป็นโชคดีของเขาที่เด็กหนุ่มไม่มองถึงสภาพของตัวเองจนทำให้โอกาสชนะนั้นหลุดลอยไป
“ได้ยินรึเปล่า?! ฉันบอกให้ปล่อยฉัน!”
“หนวกหู เจ้าก็น่าจะรู้ว่าโวยวายไปมันก็ไม่ช่วยอะไร อยู่เงียบ ๆ และให้ฉันพาตัวเธอไปสักที” เมื่อเห็นว่าตัวเองร่ำไรกับตัวของเด็กหนุ่มจนพอใจแล้ว เดอาโกจึงหันไปพูดกับตัวคริสต์
ใบหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความโกรธและโศกเศร้า น้ำตาไหลที่เจิ่งนองหน้าทำให้ใบหน้าที่มักจะเต็มไปด้วยความมั่นใจตลอดเวลาของเธอกลายเป็นความปวดร้าว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกินกว่าที่เธอจะรับได้มากเกินไป เธอไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากโอดครวญ
“ฉันจะไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น ถ้าน้องฉันตาย ฉันก็จะตายตาม—”
ไม่ทันที่เด็กสาวจะได้พูดออกมาอย่างสุดเสียง…
“—ห้ามตายเชียวนะ”
เด็กหนุ่มที่ควรจะตายไปแล้วก็ได้พูดแทรกขึ้นพร้อมกับบรรยากาศภายในคุกใต้ดินที่อยู่ ๆ ก็หนักอึ้งอย่างฉับพลัน ซึ่งหากจะมองหาสาเหตุแล้วล่ะก็คนที่น่าจะเป็นสาเหตุก็คงเป็นแอลที่กำลังยืนขึ้นอย่างเชื่องช้าพร้อมกับดาบมนตรามิดการ์เดอร์ในมือ
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามตายเด็ดขาด” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
“แอล!!” คริสต์ตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ
เด็กหนุ่มมองไปยังเดอาโอที่เผยใบหน้าตกตะลึงออกมาอย่างปิดไม่มิด แววตาของเขาสุขสกาวและสว่างไสว ถึงแม้ร่างกายจะเลอะไปด้วยเลือดของตัวเองและเสียงก็แหบแห้ง แต่เมื่อเทียบกับแรงกดดันที่อยู่ดี ๆ เขาก็ปล่อยออกมาแล้วนั้น มันบอกได้ทันทีว่าพลังของเขานั้นเต็มเปี่ยม
“ทำไมเจ้าถึงยังไม่ตาย…? หรือเป็นเพราะดาบ” เดอาโกพยายามแสดงความสุขุมออกมา
เขามองไปยังดาบมนตราที่ตอนนี้อยู่ในมือของแอลและคิดว่ามันคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มที่ควรตายไปแล้วกลับมายืนด้วยแรงกดดันที่เต็มไปด้วยพลังอีกครั้ง แต่เขาไม่คาดคิดว่าดาบมันจะมีพลังในการช่วยชีวิตใครคนจากความตายแบบนี้
“ช่างเป็นดาบที่ทำอะไรไม่สมกับเป็นดาบเลยจริง ๆ ”
แอลไม่พูดอะไรและเริ่มตั้งท่าเพื่อที่จะใช้ไพ่ตาย
พลังเวทถูกอัดแน่นเข้าไปในตัวดาบมนตราและมันก็เริ่มเปล่งออร่าสีน้ำเงินออกมาเป็นสัญญาณอันตรายให้แก่ตัวเดอาโก เด็กหนุ่มรวบรวมออร่าสีน้ำเงินที่เปล่งออกมารอบ ๆ ตัวดาบไว้ที่ส่วนปลายเพื่อเตรียมการโจมตีที่เป็นไพ่ตายของเขาเหมือนครั้งก่อน
“แบบนี้แย่แน่…!” เดอาโกเบิกตากว้างและเคลื่อนไหวในทันที
ออร่าสีน้ำเงินเข้มข้นกระเพื่อมอยู่บริเวณปลายดาบ ก่อนจะเริ่มพลุ่งพล่านและหดเล็กลงเหลือขนาดเพียงเท่าลูกแก้วที่มีสีน้ำเงินแวววาวที่ลอยอยู่บนปลายดาบ
“งั้นเอาเป็นชื่อท่าใหม่เลยก็แล้ว…” แอลพูดขึ้นพร้อมกับเดอาโกที่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าของเขา
คล้ายกับเป็นการเล่นภาพเหตุการณ์เก่าที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ดาบที่เคลือบไปด้วยออร่าสีเขียวได้แทงเข้าไปในร่างของเขาจนทะลุโดยที่เขาไม่ทันจะตอบสนองเหมือนเดิม แต่มีบางสิ่งที่แตกต่างเพราะออร่าที่มาจากพลังเวทอันเข้มข้นที่อัดแน่นเป็นลูกแก้วสีน้ำเงินไม่ได้หายไปไหน
มันยังอยู่เหมือนกับร่างของเขาที่ยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง
“ ‘อินเทอร์เนิลดิสทรัคชั่น : แกรนด์’ ”
ชั่วพริบตานั้นแอลได้แทงดาบที่อยู่ในมือเข้าไปยังร่างของชายตรงหน้าอย่างรวดเร็วและนุ่มนวล ซึ่งทันทีที่ปลายดาบได้แทรกผ่านร่างเนื้อของเดอาโก ลูกแก้วสีน้ำเงินแววาวที่ถูกฝังเข้าไปภายในก็เริ่มทำหน้าที่ของมันและทำให้วินาทีนั้นร่างของเดอาโกก็เริ่มระเบิดออก…
ชายวัยกลางคนมองไปยังที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มในขณะที่สติกำลังจะดับสิ้นลงเพราะความตายที่เคลือบคลานเข้ามา เขาคิดถึงหลาย ๆ อย่างในชั่วเวลาสุดท้ายนั้น ทั้งสาเหตุที่เขาพ่ายแพ้ ภารกิจขององค์ชาย และใบหน้าของลูกสาวที่เขาไม่มีวันกลับไปพบได้ จนมาหยุดอยู่ที่ความรู้สึกตลกร้ายที่ตัวเองที่เป็นถึงปรมาจารย์ดาบดันมาพ่ายแพ้กับเด็กที่มีอายุเพียงแค่สิบกว่าปีคนนี้
มาพลาดท่ากับเด็กแบบนี้ซะได้…
เขาอยากมองใบหน้าของแอลให้นานกว่านี้ แต่แสงสีน้ำเงินนั้นได้ย้อมวิสัยทัศน์ของเขาจนพร่ามัวไปหมด ทำให้เดอาโกต้องตายลงท่ามกลางแสงสว่าง…
—๏๏๏—
[เป็นไง? ชื่อท่าที่ข้าเสนอเมื่อกี้เท่ใช่ไหมล่ะ!?]
ผมคุกเข่าลงด้วยความอ่อนแรงหลังจากที่แสงสีน้ำเงินที่ย้อมคุกใต้ดินทั้งหมดจางหายและร่างของชายวัยกลางคนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก ผมหอบหายใจอย่างหนักด้วยอาการขาดพลังเวทโดยไม่สนใจเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ดังอยู่ตลอดการต่อสู้และตอนนี้ก็ยังไม่ยอมหยุด
“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”
[นี่! ตอบข้าหน่อยสิ! นี่! ได้ยินรึเปล่า!?]
เสียงของดาบนี่มันจะฆ่าผม ถึงจะขอบใจที่มันช่วยผมในการจัดการกับเดอาโกก็เถอะ แต่ตอนนี้ช่วยเงียบหน่อยไม่ได้รึไง ทำอย่างกับไม่ได้คุยกับใครมานานเป็นปี
[เชอะ! ทำเป็นรำคาญ ข้าเงียบก็ได้ แล้วข้าก็ไม่ได้คุยกับใครมาเกือบพันปีแล้วต่างหาก!]
แล้วในที่สุดเสียงที่ก้องกังวานในหัวก็เงียบลง แม้จะสนใจคำพูดที่มันพล่ามออกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่มันก็ไม่ใช่เวลา ผมมองไปยังกรงขังที่ยังคงขังพี่สาวอยู่ข้างในก่อนจะลุกขึ้นควานหากุญแจเปิดกรงขังและปลดพันธนาการตัวเธอจากศพของเลกซ์และทหารเฝ้าระวัง
“เจอแล้ว…!” ผมไม่รอช้ารีบย่ำไปไขกรงขังและเข้าไปหาเธอ
“แอล! เป็นอะไรรึเปล่า?! เมื่อกี้นายโดนแทงใช่ไหม?!” พี่คริสต์ถามผมอย่างไม่หยุดปากด้วยความเป็นห่วง ผมมองไปยังดวงตาของเธอที่เต็มไปด้วยความกังวลและโล่งใจปะปนกัน แล้วพยักหน้าเพื่อคล้ายความกังวลของเธอ
“ผมไม่เป็นอะไร พวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ”
ในทันทีผมไขกุญแจมือผนึกพลังเวท พี่สาวก็พุ่งเข้าสวมกอดผมอย่างไม่รีรอ
“พี่ขอโทษ! เป็นเพราะพี่นายถึงต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้” เธอสะอื้นร้องออกมาและกอดผมอยู่นานโดยไม่สนสภาพที่เปื้อนเลือดของผม เธอถามไถ่ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมต้องเผชิญเพื่อมาช่วยเธอด้วยความเป็นห่วงจากก้นบึ้งของจิตใจจนทำให้ผมอดที่จะมือสั่นด้วยความไม่เคยชินไม่ได้
เราเคยได้สัมผัสกับอะไรแบบนี้มาก่อนรึเปล่านะ…?
“พี่ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ” ผมดันตัวของเธอออกเพราะรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลา
“อื้อ ว่าแต่บาดแผลของนายไม่เป็นอะไรจริง ๆ เหรอ?”
“ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไรเพราะมีดาบเล่มนี้ช่วยอยู่”
ผมมองลงไปยังดาบมนตราที่ถืออยู่ในมือตลอดเวลา สิ่งที่ผมพูดออกมาเมื่อกี้นั้นเป็นความจริง ดาบเล่มนี้กำลังพยุงอาการของผมอยู่ไม่ให้มันย่ำแย่ไปกว่านี้ บนร่างของผมมีแผลฉกรรจ์อยู่สองจุดโดยจุดนึงนั้นเป็นบาดแผลเกิดขึ้นตรงจุดสำคัญ การที่ผมยังไม่ตายนั้นถือว่าปาฏิหาริย์
[ขอบคุณข้าซะสิ!] ดาบนี่มันคงอดไม่ได้ที่จะพูดจริง ๆ
แต่ต้องขอบคุณมันจริง ๆ ล่ะนะ หากมีโอกาสหลังจากนี้ก็หวังว่าจะได้พูดคุยกัน ถึงตัวตนทุกสิ่งที่มันได้พูดออกมา อย่างเช่น ‘ผู้หวนคืนพันธสัญญา’ ที่มันได้พูดขึ้นมาตอนแรก
“ไปกันเถอะ” ผมพยุงตัวพี่สาวขึ้น แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไร เข่าของผมก็ทรุดลงอีกครั้งเพราะรู้สึกได้ถึงร่างกายที่ปวดร้าวเต็มทนและเรี่ยวแรงที่แทบจะไม่หลงเหลือ
“สติ…มัน…” สติเองกก็แทบหลุด นี่มันหมายความว่ายังไงกัน…?
ผมต้องพาพี่สาวออกจากคุกใต้และฐานลับแห่งนี้ แต่ตอนนี้แค่จะพยุงสติไว้ก็แทบจะไม่ไหว ก็ในเมื่อดาบมนตรามันกำลังช่วยพยุงอาการของผมอยู่ แล้วทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ หรือมันจะมาถึงขีดจำกัดแล้ว แต่ผมจะหลับในสถานการณ์ยังไม่ปลอดภัยแบบนี้ไม่ได้
“…พี่ครับ…” และแล้วผมก็ประคองสติไม่ไหวและวิสัยทัศน์ก็ได้มืดดับลง
ยังไม่ตรวจคำผิด