ดาบผู้พิทักษ์ปริศนาของบุตรชายตระกูลบารอน - ตอนที่ 0
เคยรู้สึกถึงความรู้สึกที่ตกค้างแบบนี้บ้างไหม
…ผมรู้สึกอยู่แบบนั้นอยู่ตลอดเวลาเลยล่ะ
แม้เรื่องราวมันจะผ่านไปเนิ่นนานและไม่มีทางที่ผมจะทำอะไรมันได้อีกต่อไปแล้ว แต่ความรู้สึกที่ตกค้างจากเรื่องราวนั้นก็ยังคงอยู่ภายในจิตใจ
ตอนนั้นผมคิดว่าตัวผมเข้าใจถึงตัวของตัวเองดี จึงพยายามอยู่ตลอด พยายามที่จะแสดงด้านดี ๆ ออกมาและปกปิดอะไรที่แย่ ๆ เอาไว้ เพราะรู้ว่าการที่แสดงมันออกไปเพียงแต่จะสร้างผลเสีย แต่ถึงแม้ผมจะพยายามเท่าไหร่ ผมกลับยังถูกเด็กสาวผู้เป็นแฟนของผมต่อว่า
ยามเย็นวันหนึ่งภายในห้องเรียนที่เหลือเพียงผมและเธอ เธอได้ถามผมว่า “ไม่รังเกียจนิสัยแบบนี้ของตัวเองบ้างรึไง?” ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดคั้น
ผมยังจำความรู้สึกหลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้นได้ดี มันรู้สึกกระอักกระอ่วนไปทั่วท้อง
ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอจะสื่อจากคำถามที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่น่าอึดอัดและรุนแรงแบบนั้น ตอนแรกผมคิดว่าเธออารมณ์เสียมาจากเรื่องอะไรสักอย่างเลยมาพูดระบายกับผมอย่างไร้เหตุผล แต่ผมก็ไม่อาจจะโน้มน้าวความคิดให้ไปทางนั้นได้เพราะความรู้สึกบางอย่าง
ผมจึงถามเธอถึงคำพูดที่ผมไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคำถามอันคาดคั้นอีกอย่าง
“ทำไมนายถึงเป็นแฟนกับฉัน?” เธอถามออกมาเช่นนั้น และผมก็ตอบไปว่าเพราะผมชอบเธอ แต่เธอกลับตอกกลับมาว่าผมโกหกอย่างไร้เยื่อใย
ตอนนั้นผมคิดว่าตัวผมควรจะโกรธเธอที่เธอมาถากถางผมแบบนี้ แต่ไม่เลยสักนิด ผมเพียงแต่งุนงงและรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งกว่าเก่า ในท้องรู้สึกเหมือนลำไส้กำลังถูกบิดอย่างรุนแรง
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคำพูดพวกนี้ ฉันคงต้องขอตัว” เธอทิ้งคำพูดเช่นนั้นไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างไร้เยื่อใยของคนที่เป็นแฟนกัน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เอ่ยคำบอกเลิกกับผม แต่ผมก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าความสัมพันธ์ของพวกเราคงจบลงเพียงเท่านี้
ไม่สิ ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ของเราที่จบลง เพราะในวันเดียวกันนั้น
—ชีวิตของผมเองก็จบลงเช่นกัน
แต่ความรู้สึกที่ได้รับมานั้นยังคงตกค้างอยู่และตามหลอกหลอนผม แม้ว่าผมจะได้ชีวิตกลับมาอีกครั้งในโลกใบใหม่ที่ตัดขาดจากโลกใบเก่าแล้วก็ตาม
—๏๏๏—
การปรับตัวกับชีวิตใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปเพราะเวลานั้นเหลือเฟือ
มันเป็นอะไรที่อธิบายลำบากกับความรู้สึกที่ตัวเองเกิดใหม่และรู้ตัวตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ ช่วงเวลาที่จดจำได้จากร่างทารกที่แทบจะไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้นอกจากร้องและนอนเป็นอะไรที่ยากจะยอมรับสุด ๆ จนผมยกให้มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเรื่องหนึ่งไปเลย
ลองนึกถึงเด็กหนุ่มที่อายุจิตใจเลยเลขสิบไปนานแล้ว แต่ยังต้องมีคนคอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ตลอดเวลาเพราะดันมาอยู่ในร่างทารกดูสิ เป็นอะไรที่น่าอับอายสุด ๆ
ผมทำได้เพียงแค่ยอมรับและใช้เวลาให้คุ้มค่า เพราะเวลาของทารกนั้นแสนจะเหลือเฟือ
แต่สิ่งที่ทำได้มันก็มีจำกัดมากเกินไปอยู่ดี
ผมไม่สามารถเข้าใจในภาษาที่คนโลกนี้ใช้พูดกันได้ ทำให้ผมไม่สามารถเข้าใจว่าครอบครัวและคนในบ้านนั้นพูดอะไรกัน รวมถึงร่างของทารกนั้นไม่สามารถขยับไปไหนตามใจชอบได้ ทำให้การออกไปตรวจสอบและเรียนรู้ภาษาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับอะไรต่าง ๆ ในโลกใหม่เป็นเรื่องที่ต้องรอเวลาให้คนอื่นมาอุ้มพาไปเท่านั้น
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น สุดท้ายแล้วผมก็ทำความเข้าใจเกี่ยวกับอะไรต่าง ๆ ในโลกใหม่นี้ได้อยู่ดี
ต้องขอบคุณความรู้อันสะเปะสะปะที่อยู่ภายในหัวจากชาติก่อนที่ทำให้ผมเข้าใจว่าโลกใหม่นี้มีลักษณะคล้ายยุคกลางของยุโรป เพราะเมื่อเอาลักษณะบ้าน ความเป็นอยู่ และการแต่งกาย รวมถึงสิ่งที่ได้รับรู้อื่น ๆ จากสถานะของทารกที่มีจำกัดมาเปรียบเทียบกับความรู้ในหัวแล้ว
ยังไงโลกนี้มันก็อยู่ในยุคกลางชัด ๆ
แม้จะไม่เข้าใจภาษา แต่แค่เห็นก็รู้ก็ดูออกได้ง่าย ๆ
อย่างไรก็ตาม หากมันเป็นแค่โลกยุคกลางธรรมดา ผมคงคิดว่าตัวเองย้อนอดีตกลับมา แต่แทนที่ผมจะคิดแบบนั้นและคิดว่ามันเป็นโลกใหม่ เพราะสัมผัสประหลาดและแสงสว่างจาง ๆ ที่ลอยแคว้งคว้างอยู่ในอากาศที่เห็นตั้งแต่ลืมตาดูโลกนี้ยังไงล่ะ
มันคือพลังเวทอย่างไม่ต้องสงสัย
หากจะถามว่าทำไมผมถึงมั่นใจว่าเป็นมัน เหตุมันเกิดมาจากวันหนึ่งตอนที่ผมอายุได้สามขวบ ตัวผมหงุดหงิดตัวเองเต็มทีที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้สะดวกทั้ง ๆ ที่ผ่านมาสามปีแล้ว เลยพยายามปีนออกจากเปลเด็ก และด้วยความที่ไม่คิดถึงสภาพของตัวเองให้ดีทำให้ผมไม่สามารถทรงตัวได้และตกลงจากเปลที่สูงจากพื้นอยู่หลายสิบเซนติเมตร
ในตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองได้เจ็บตัวแน่ ๆ เลยหลับตาลงอย่างปลงตก แต่สิ่งที่ควรจะรู้สึกกลับไม่ใช่ความเจ็บปวด มันเป็นความรู้สึกเหมือนโดนลมเบา ๆ กระทบกายและถูกอุ้งมือเล็ก ๆ ของใครบางคนกอดไว้อย่างนุ่มนวล
พอลืมตาอีกทีผมก็พบว่าพี่สาวกำลังอุ้มผมอยู่โดยที่ทั้งตัวนั้นเรืองแสงไปด้วยสีฟ้าจาง ๆ และด้วยเหตุนั้นผมจึงเข้าใจว่า สิ่งที่ผมสัมผัสและมองเห็นอยู่ตลอดเวลานั้นเป็นพลังเวทในอากาศ ซึ่งดูเหมือนว่าพี่สาวจะใช้พลังเวทเสริมกำลังร่างกายเพื่อวิ่งมารับตัวผม
น่าสนใจสุด ๆ ผมที่คิดได้เช่นนั้นเลยใช้เวลาส่วนใหญ่ในวัยทารกในการฝึกควบคุมพลังเวทในอากาศตามฉบับตัวเองที่ลองผิดลองถูกไปเรื่อย จนเริ่มรู้สึกว่าเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว
และแล้วผมก็เติบโตจนมีอายุได้สิบสามขวบ
ด้วยเวลาขนาดนี้ในที่สุดผมก็ปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ ยกตัวอย่างชัด ๆ คือผมเข้าใจภาษาในโลกนี้และก็รู้ชื่อใหม่ของตัวเองสักที
แอล แลสเซนเนอร์ ชื่อที่พ่อและแม่ของผม โจเซฟและแอนนา แลสเซนเนอร์ตั้งให้
ครอบครัวของผมดูเหมือนว่าจะเป็นครอบครัวขุนนางระดับบารอนที่อาศัยอยู่บ้านนอกห่างไกลจจากเมืองหลวง โดยตระกูลของผมนั้นเป็นตระกูลที่มีต้นกำเนิดมาจากบรรพบุรุษที่เป็นอัศวินที่ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ให้เป็นบารอน ทำให้พี่สาวและตัวผมต้องฝึกฝนเพื่อเป็นอัศวินหรือนักดาบเวทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คริสต์ แลสเซนเนอร์ สำหรับเธอต้องยอมรับเลยว่าพี่สาวของผมนี่มันอัจฉริยะชัด ๆ เธอมีพรสวรรค์ทางดาบสูงและมีความเข้ากันกับพลังเวทในอัตราที่สูงมาก ทำให้ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงใช้เวทเสริมกำลังช่วยผมที่กำลังตกเปลได้ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเธอมีอายุได้แค่ห้าขวบ
แตกต่างจากตัวผมที่ไม่มีพรสวรรค์ในการใช้ดาบอะไรแบบนั้น หากจะใช้ได้ก็แค่วิชาดาบธรรมดาไม่ขาดไม่เกินที่ได้ร่ำเรียนมา ที่ดีขึ้นมาก็มีเพียงแค่ความสามารถในการควบคุมและอัตราเข้ากันกับพลังเวทที่สูง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่แรกเหมือนพี่สาว แต่มันเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการที่ผมหมกมุ่นอยู่กับพลังเวทที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศมาหลายปีต่างหาก
จากที่อ่านทฤษฎีเกี่ยวกับพลังเวทจากหนังสือเล่มหนึ่งที่ครอบครัวมี มันอธิบายว่าความเข้ากันกับพลังเวทจะสูงหรือต่ำนั้นขึ้นอยู่ในวัยเด็กตั้งแต่ช่วงอายุประมาณ 0-5 ขวบของแต่ละบุคคลว่าจะสามารถซึมซับพลังเวทในอากาศได้มากขนาดไหน เพราะวัยประมาณนี้นั้นคือวัยที่สามารถสัมผัสถึงพลังเวทได้อย่างเด่นชัดที่สุดจนทำให้มองเห็นละอองเวทในอากาศ โดยเมื่ออายุมากขึ้นความสามารถในการสัมผัสพลังเวทจะลดลงจนไม่สามารถมองเห็นละอองเวทในอากาศได้อีก
ซึ่งสำหรับเด็กที่สมองยังไม่พัฒนาดีพอ การที่จะซึมซับพลังเวทได้เยอะจนมีอัตราเข้ากันกับพลังเวทสูงจึงขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดล้วน ๆ ซึ่งพี่สาวของผมนั้นมีอยู่เต็มเปี่ยม ส่วนตัวผมนั้นเป็นข้อยกเว้นเพราะสติสัมปชัญญะที่ครบถ้วนตั้งแต่ทารกที่ซึ่งเด็กคนอื่นไม่มี
มันเป็นโชคดีของผม ผมคิดแบบนั้นและมันคงเป็นโชคเพียงครั้งเดียว
ผมดีใจที่ครอบครัวไม่ได้คาดหวังในตัวผมมากมายเท่าพี่สาวเพราะพรสวรรค์ทางดาบที่ธรรมดา เพราะหากพวกเขาเกิดคาดหวังกับตัวผมขึ้นมาผมก็ไม่รู้จะตอบรับยังไง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ครอบครัวจะไม่คาดหวัง แต่ดูเหมือนว่าพี่สาวจะคาดหวังกับผมไว้สูง เธอจึงมักจะฝึกซ้อมกับผมอยู่ทุกวันและเจ้ากี้เจ้าการพร่ำสอนผมอย่างไม่ย่อท้อ ซึ่งมันก็ทำให้ผมอึกอัดพอตัว เพราะมันเหมือนกับว่าเธอกำลังรังแกผมอยู่เลยน่ะสิ
—๏๏๏—
ดาบไม้ในมือของผมกระเด็นไปไกลเพราะปะทะกับดาบไม้ในมือของพี่สาว
บนสนามฝึกกลางแจ้งที่อากาศถ่ายเทเหมาะแกการฝึก ตัวผมคือเด็กหนุ่มผู้มีเรือนผมและนัยน์ตาสีดำที่ล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นสนามฝึกด้วยใบหน้าที่อ่อนแอ ส่วนพี่สาวของผมคือเด็กสาวผู้มีเรือนผมและนัยน์ตาสีเดียวกันกับผมที่กำลังมองดูตัวผมด้วยความเอือมระอา
“—ก็บอกว่าอย่าเปิดช่องว่างแบบนี้จำไม่ได้รึไง” เธอเตือนด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด
“โอ๊ย เจ็บนะพี่สาว” ผมส่งเสียงโอดครวญออกมา
ด้วยสภาพที่เหมือนว่าตัวผมจะไม่ได้สนใจในคำพูดของเธอเลย เธอจึงอดไม่ได้ที่จะจิ๊ปากด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินไปหาเมดส่วนตัวของเธอที่ยืนถือผ้าขนหนูชุบน้ำอยู่ในร่มใต้เงาของคฤหาสน์หลังงามที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวของพวกเรา
“ใกล้ถึงเวลาที่แขกของท่านพ่อจะมาแล้ว ฉันขอไปเตรียมตัวก่อน นายเองต่อหน้าแขกก็อย่าแสดงท่าทางอ่อนแอแบบนี้ออกมาล่ะ ไม่งั้นโดนฉันฝึกหนักแน่”
เธอหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำจากเมดที่ยื่นมาให้เช็ดหน้าอย่างเคยชินพร้อมกับหันมามองตัวผมที่กำลังเดินไปเก็บดาบไม้ที่กระเด็นไปไกล
“แขกเหรอ? ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ผมเอียงคอสงสัย
“งั้นก็ให้ใครสักคนเล่าให้นายฟังแล้วกัน” เธอพูดเช่นนั้นก่อนจะเดินเข้าไปในคฤหาสน์พร้อมกับเมดของเธอ
“อ่า ก็ได้ครับ” ผมตอบรับขณะที่มองแผ่นหลังของพี่สาวที่กำลังห่างออกไป
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อร่างของพี่คริสต์ลับตาไป ก่อนจะหยิบดาบไม้ที่กระเด็นตกลงบนพื้นเบื้องหน้าขึ้นอย่างอ่อนแรงโดยที่ในใจพลางคิดถึงท่าทีของพี่สาวที่ดูจริงจังกว่าปกติ
“วันนี้ดูเธอจะเข้มงวดกว่าปกติแฮะ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”
ผมนึกถึงเรื่องที่เธอพูดเมื่อกี้และคิดว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุ ทำให้ผมอยากรู้ว่าแขกของพ่อที่ว่านั้นเป็นใครกัน หากมันเกี่ยวข้องกับท่าทีที่ดูจริงจังกว่าปกติของเธอตอนฝึก ผมคงมองผ่านไปไม่ได้ เพราะมีหวังพี่สาวได้ฝากรอยฟกช้ำไว้บนร่างของผมเพิ่มแน่ ๆ
“คงต้องไปถามพ่อสินะ” ผมคิดว่าการไปถามพ่อน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แขกคนนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นแขกของพ่อ คนที่น่าจะรู้เรื่องแขกคนนั้นดีที่สุดก็ต้องเป็นพ่อนั่นแหละ
อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไร แขกคนที่ว่าก็มาถึงก่อนเสียแล้ว
“นายน้อยแอลคะ รีบเตรียมตัวกันเถอะค่ะ!” เมดส่วนตัวของผมผู้วิ่งมาจากที่ไหนไม่รู้พร้อมผ้าขนหนูชุบน้ำได้พูดออกมาอย่างเหนื่อยหอบ โดยสิ่งที่เธอบอกมามันทำให้ผมขมวดคิ้วนิดหน่อย
ตรวจคำผิด : 8/11/2022 เวลา 22:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12/11/2022 เวลา 00:35 น.