ดั่งรักบันดาล - ตอนที่ 83
ร่างกายของหร่วนซือซือล่วงหล่นลงไปอย่างสูญเสียการควบคุม เสี้ยววินาทีถัดมาเธอก็กลิ้งไถลไปตามขั้นบันได ตกลงไปตามแต่ละขั้นอย่างรุนแรง ทั่วทั้งแผ่นหลังเจ็บช้ำระบมเป็นอย่างมาก
ภายในชั่วพริบตานั้นสีหน้าของอวี้อี่มั่วก็เปลี่ยนไป “หร่วนซือซือ! ”
หลังจากเสียงดัง “ตุ้บ” หูทั้งสองข้างของหร่วนซือซือก็ดับได้ยินเพียงเสียงอื้ออยู่ในหู ความเจ็บปวดจากการถูกกระแทกนี้รวดร้าวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกระดูกที่อยู่ในร่าง
เธอใช้แรงพยายามในการลืมตาขึ้นมา แต่ก็เห็นเพียงเพดานที่ดูพร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ ในดวงตาปรากฏใบหน้าของชายคนนั้น ดวงตาที่มักจะเย็นชาอยู่เสมอก็ดูราวกับว่าสั่นคลอนอย่างรุนแรง
การมองเห็นของหร่วนซือซือค่อยๆ มืดดับสนิทลง เธอหมดสติลงหลังจากนั้น
“ป้าหรง เรียกรถพยาบาล! ”
สายตาของอวี้อี่มั่วเต็มไปด้วยความกังวล มองดูหญิงสาวคนที่กำลังนอนอยู่บนพื้น ไม่แม้แต่จะกล้าแตะต้องโดนตัวเธอ ถ้าหากว่าทำให้เธอได้รับบาดเจ็บซ้ำสองขึ้นมา กลัวว่าจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม
ป้าหรงรีบวิ่งมา มองเห็นหร่วนซือซือที่นอนแผ่อยู่บนพื้นก็นิ่งทื่อไปชั่วขณะก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรขอความช่วยเหลือ
สิบนาทีถัดมา หลังจากมีเสียงเหตุฉุกเฉินดังขึ้น ตัวของรถฉุกเฉินก็แล่นตามมาอย่างรวดเร็ว และจอดนิ่งสนิทอยู่ที่ทางเข้าคฤหาสน์……
หร่วนซือซือได้เข้าไปอยู่ในห้วงแห่งความฝันอันยาวนาน ในฝันเห็นว่าตนเองท้องได้สิบเดือนแล้ว ใกล้คลอดเต็มที แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด จู่ๆ ที่ท้องก็มีรูขนาดใหญ่ และเลือดก็ทะลักไหลออกมาไม่ขาดสาย เธอตะโกนส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่รอบด้านไม่มีใครอยู่เลย เมื่อหันกลับไปมองดู ก็เห็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคยนั้น แต่ทว่าอวี้อี่มั่วกลับกวาดตามองเธออย่างเย็นชาหนึ่งทีก่อนจะเดินหายลับไป…….
“ไม่นะ! ”
หร่วนซือซือร่างกายแข็งเกร็ง จู่ๆ ก็ส่งเสียงร้องออกมา ดวงตาเบิกโพลง สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือเพดานสีขาวสะอาดตา
เธออ้าปากหอบหายใจอย่างหนัก หน้าผากและแผ่นหลังของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เธอ……อยู่ที่ไหนกัน
“คุณนาย ในที่สุดก็ฟื้นแล้วเหรอคะ”
เสียงอันคุ้นหูดังขึ้นจากด้านข้าง หร่วนซือซือชะงักไปเล็กน้อยแล้วจึงค่อยๆ หันหัวไป มองดูป้าหรงที่อยู่บริเวณข้างเตียง
“นี่ฉัน……อยู่ที่ไหน”
เธอเผยอริมฝีปากเอ่ยถาม ในขณะเดียวกันก็สูดหายใจเข้าไปด้วย ไม่รู้ทำไมแม้แต่ท้องน้อยก็รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย
ป้าหรงมีสายตาแห่งความสงสารปรากฏอยู่ “คุณนายอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ตกลงมาจากบันไดที่บ้าน นี่ก็นอนไม่ได้สติมาสองวันแล้วค่ะ………”
หร่วนซือซือได้ยินดังว่าก็ลองขยับร่างกายดู แต่ร่างกายทั้งร่างก็ราวกับว่าถูกรถบรรทุกบดทับก็ไม่ปาน เจ็บมากเสียจนรู้สึกเป็นกังวล
ป้าหรงรีบกล่าวปลอบโยนเธอ “อย่าพึ่งขยับเลยค่ะ คุณนายได้รับบาดเจ็บมาไม่ใช่น้อย ตอนนี้ต้องนอนพักรักษาตัว ยังโชคดีที่หัวไม่ได้รับการกระทบกระเทือน ไม่อย่างนั้นก็คงจะรุนแรงมากกว่านี้แน่ๆ “
หร่วนซือซือขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกว่าร่างกายมีอะไรผิดแปลกไป แต่เธอก็ไม่สามารถบอกได้ว่าส่วนไหนที่ไม่ปกติ
นิ่งไปสักพัก เธอก็ขยับปาก “ป้าหรง….หิวน้ำ”
ป้าหรงได้ยินดังว่า ก็รีบตอบรับทันที หยิบแก้วใบน้อยกับช้อนที่อยู่ทางด้านข้าง ค่อยๆ ป้อนน้ำให้เธอจิบอย่างช้าๆ
ขณะนั้นนั่นเอง ประตูก็ถูกผลักออก
“ฟื้นแล้วเหรอ”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ หร่วนซือซือก็พลันสั่นระริกขึ้นมา
ป้าหรงเปิดปากพูดขึ้น “คุณนายพึ่งจะฟื้นขึ้นมาค่ะ”
อวี้อี่มั่วพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือไปเอาแก้วน้ำที่อยู่ในมือป้าหรงมา พูดด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “เดี๋ยวผมป้อนเธอเอง”
ป้าหรงเข้าใจในทันที รีบหลบออกจากห้องไป
ประตูห้องถูกปิดลง ภายในห้องก็เงียบลงเป็นอย่างมาก หร่วนซือซือใช้หางตากวาดมองไปที่ชายที่ยืนอยู่ข้างเตียง เผลอขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว ไม่อาจจ้องมองหน้าเขาตรงๆ ได้
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของผู้หญิงตรงหน้า อวี้อี่มั่วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ใช้ช้อนตักน้ำขึ้นมาเล็กน้อย แล้วจึงยื่นไปที่ริมฝีปากเธอ
หร่วนซือซือเบี่ยงหน้าหลบ ไม่ยอมดื่มน้ำนั้น
ทันใดนั้นบรรยากาศก็พลันเย็นยะเยือกขึ้นมา
ระหว่างคิ้วของอวี้อี่มั่วย่นขึ้นเล็กน้อย วางแก้วน้ำและช้อนลง แล้วจึงเอ่ยขึ้มาอย่างเรียบๆ “ครั้งนี้ ฉันต้องขอโทษเธอด้วยจริงๆ เด็กที่อยู่ในท้อง……”
ขณะที่เขาพูด จู่ๆ ก็หยุดชะงักลง
หร่วนซือซือนิ่งค้าง หันหน้าไปมองเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “เด็ก….เกิดอะไรขึ้น”
นับสน์ตาอันลุ่มลึกของอวี้อี่มั่วมีความลังเลแผ่ออกมา ปากที่เม้มสนิทก็ขยับขึ้น พูดออกมาว่า “……..ไม่อยู่แล้ว”
คำสามคำนี้ สำหรับหร่วนซือซือแล้วก็เหมือนกับสายฟ้าฟาดที่ผ่าลงมา
“ไม่อยู่…….แล้ว”
มิน่าล่ะตอนที่เธอตื่นขึ้นมาถึงได้รู้สึกว่าร่างกายแปลกๆ ไป ความเจ็บปวดที่บริเวณท้องน้อยแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง
เมื่อสักครู่ป้าหรงไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเลย เธอก็นึกคิดว่าเด็กไม่เป็นอะไร แต่เมื่อมาคิดให้ละเอียดดูแล้ว เธอตกลงมาจากบันไดที่สูงเสียขนาดนั้น ที่หัวไม่ได้รับบาดเจ็บก็ถือว่าเคราะห์ดีมากแล้ว แล้วทำไมเธอถึงไปคิดหวังว่าชีวิตดวงน้อยๆ อันแสนจะบอบบางนั้นจะปลอดภัยดีอยู่ล่ะ
หยาดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของหร่วนซือซืออย่างเงียบๆ หัวใจรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว เธอกำหมัดแน่น แม้แต่คิดที่จะลุกขึ้นนั่งก็ยังลำบากเลย
เธอยังไม่ได้ลองสัมผัสความรู้สึกของการเป็นแม่คนเลย ชีวิตน้อยๆ ดวงนั้นก็ได้จากเธอไปเสียแล้ว
เมื่อมองดูท่าทีของฝ่ายหญิงแล้ว นัยน์ตาของอวี้อี่มั่วก็หม่นลงเรื่อยๆ คิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่แล้วนั้นก็ผูกเป็นปมที่แน่นขึ้น เขาเอ่ยปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่แหบพร่า “ซือซือ เรื่องนี้ เป็นความผิดของฉันเอง”
หร่วนซือซือกัดฟันกรอด ริมฝีปากเผยอเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณ…ออกไปเลยนะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ! ”
เรื่องทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่ก็เป็นเพราะเขา!
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาบังคับให้เธอบริจาคไตให้กับเย่หว่านเอ๋อ เรื่องก็คงไม่ดำเนินมาถึงจุดจุดนี้หรอก!
เมื่อกล่าวสิ้นสุดประโยคลง เธอก็หันหน้ามาทางอีกด้านหนึ่ง ไม่ยินยอมที่จะมองอวี้อี่มั่วไปมากกว่านี้แล้ว
อวี้อี่มั่วยืนอยู่ที่หัวเตียง หยุดสายตาอันลุ่มลึกจับจ้องไปที่ตัวเธออยู่สักพัก หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หมุนตัวสาวเท้าเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย
เรื่องราวก็พัฒนามาจนเป็นปัจจุบันนี้ ดำเนินมาถึงจุดที่ยากจะรับมือ เขาไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ตรงหน้าได้แล้วจริงๆ
สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือ พยายามชดใช้ให้เธออย่างสุดชีวิต
………
นอนเอนกายอยู่บนเตียง ปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบหมอนจนเปียกชุ่ม ไม่ว่าป้าหรงจะคุยกับเธอว่าอะไร หร่วนซือซือก็ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้แม้เพียงประโยคเดียว
ด้วยความหวังดีป้าหรงก็เอ่ยปลอบแล้วเอ่ยปลอบอีกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย “คุณนายคะ กินอะไรสักหน่อยเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นร่างกายจะแย่เอานะคะ”
หร่วนซือซือจ้องไปที่เพดานอย่างทื่อๆ ในหัวก็ปรากฏภาพช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เธอใช้ร่วมกันกับอวี้อี่มั่วทีละน้อยๆ
กี่ครั้งกันแล้ว ที่เธอนึกคิดว่าเขาจริงใจต่อเธอ แต่ทว่าเมื่อหันกลับมามองดู เธอก็เป็นได้เพียงแค่เครื่องมือที่ถูกเขาใช้ประโยชน์ให้บริจาคไตก็เพียงเท่านั้นเอง
“คุณนาย ฟังฉันหน่อยเถอะนะคะ ถ้าร่างกายคุณนายไม่ดีขึ้น ก็ต้องนอนอยู่บนเตียงคิดจะทำอะไรก็ทำไม่ได้เลยนะคะ!”
เสียงของป้าหรงที่ลอยเข้าหูเธอได้ดึงเธอให้มาอยู่ที่ปัจจุบันกาล ขนตาเธอสะบัดขึ้นลงกระพริบตาไปมา ในที่สุดก็มีท่าทีตอบรับ
ที่ป้าหรงพูดมานั้นไม่ผิด ถ้าเธอไม่รีบฟื้นตัวให้ดีขึ้นมาล่ะก็ แล้วจะไปหนีจากผู้ชายที่น่ากลัวคนนี้ได้อย่างไรกันล่ะ
นัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา หร่วนซือซือสะกดกลั้นหยาดน้ำตาไม่ให้ไหลรินลงมาอีก เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “ฉันจะกิน…….”
ป้าหรงได้ยินดังนั้น ก็รีบส่งเสียงตอบรับทันที หยิบโจ๊กที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา ป้อนเธอทีละคำทีละคำ
กินไปได้ครึ่งหนึ่ง หร่วนซือซือก็ขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะพูดออกมาว่าไม่กินต่อแล้วนั้น ประตูห้องก็ถูกคนเปิดเข้ามา
“ซือซือ! ”
เสียงของผู้หญิงวัยกลางคนอันคุ้นเคยดังขึ้นตามมา คุณนายหลิวเกือบจะพุ่งเข้ามาอย่างร้อนรน มองดูหร่วนซือซือที่นอนอยู่บนเตียง ชั่วนาทีนั้นขอบรอบดวงตาก็พลันร้อนผ่าวขึ้นมา
หร่วนซือซือรู้สึกหัวใจบีบคั้น มองดูคนที่เข้ามาหาอย่างชัดๆ ถนัดตาแล้ว น้ำตาก็ทะลักไหลออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ “แม่…….”
“แล้วนี่ลูก……มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน” คุณนายหลิวถามด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ ในดวงตาล้วนแล้วแต่แสดงว่าเจ็บปวดหัวใจ
ศาสตราจารย์หร่วนเดินตามเข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์ดังว่า สีหน้าก็พลันไม่สู้ดีขึ้นมา
อารมณ์ของหร่วนซือซือคงที่ขึ้นมามากแล้ว จึงรีบเอ่ยปากถามขึ้น “แม่ มาได้ยังไงกัน”
“แม่กับพ่อได้รับโทรศัพท์จากเสี่ยวอวี้ รู้ข่าวว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหนูแล้ว ก็เลยรีบมาอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ”
เมื่อได้ยินชื่อของผู้ชายคนนั้น หร่วนซือซือก็ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเย็นขรึมขึ้นมาทันที เขาบอกเรื่องที่ว่าเธอเกิดอุบัติเหตุให้พ่อกับแม่ของเธอฟัง แต่ก็คงไม่ได้บอกถึงสาเหตุของเรื่องนี้ล่ะสิ
คุณนายหลิวที่ยืนอยู่ข้างๆ เช็ดน้ำตา “ซือซือ แล้วสรุปมันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน พูดอะไรหน่อยสิ! ”
หร่วนซือซือเรียกสติกลับคืนมา แล้วก็กัดฟันไปมา เอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “ตอนหนูลงบันไดไม่ทันได้ระวังก็เลยลื่นตกลงมา……”
คุณนายหลิวทั้งเจ็บปวดหัวใจทั้งโกรธ “ไม่ระวังเลยลื่นล่วงลงมา? ทำไมถึงได้ไม่ระวังตัวเลยล่ะ!”
อีกด้านหนึ่งศาสตราจารย์หร่วนก็ไม่ได้นิ่งสงบใจเลย เขาถอนหายใจออกมา “เธอพูดให้น้อยๆ ลงหน่อย อย่าไปซ้ำเติมลูกมันเลย……..”
คุณนายหลิวได้ยินดังว่าก็ย่นจมูก เช็ดคราบน้ำตา จากนั้นก็หยุดปากไม่พูดอะไร
เธอเงยหน้าขึ้นมองห้องพัก นอกจากป้าหรงแล้ว ก็ไม่เห็นใครคนอื่นอีกเลย “ซือซือ เสี่ยวอวี้ล่ะลูก เกิดเรื่องขึ้นกับหนูทำไมเขาไม่มาหาล่ะ”