ดั่งรักบันดาล - ตอนที่ 68
หลังจากรอให้อวี้อี่มั่วผูกเชือกไว้ที่ขาทั้งสองข้างให้ติดเข้าด้วยกันแล้ว ตู้เยี่ยก็รีบเดินขึ้นหน้ามาหา หยิบเชือกขึ้นมามัดมือทั้งสองข้างของพวกเธอเอาไว้เข้าด้วยกันอีกที
หร่วนซือซือสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงสายตาของบรรดาเพื่อนร่วมงานหญิงที่จ้องมาที่เธอจนร่างแทบทะลุ
ขณะที่หลังมือของเธอสัมผัสเข้ากับมือของเขานั้น ใบหน้าของเธอก็พลันแดงก่ำขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น เสียงอันทุ้มต่ำก็ดังขึ้นที่ข้างหู “ยื่นมือมาให้ฉัน”
หร่วนซือซือชะงักค้างไป แต่ชั่วขณะถัดมามือของเธอก็ถูกกุมเอาไว้เสียแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้อี่มั่วจับมือเธอต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้!
“อ๊า! ”
เพื่อนร่วมงานหญิงที่อยู่ข้างๆ ส่งเสียงแหลมสูงอย่างไม่พอใจ ราวกับมีน้ำท่วมซัดกระหน่ำโถมเข้ามาหา
หร่วนซือซือฝืนอดกลั้นไม่ให้ตนเผลอฉีกยิ้มออกไป สายตาจับจ้องไปที่ด้ายแดงที่ผูกอยู่ที่มือของคนทั้งสอง มีความสุขมากเสียจนจะเป็นลมล้มลงไปเสียตรงนั้น
ต้าตงผู้เป็นกรรมการที่อยู่ทางด้านข้างทนดูอีกต่อไปไม่ไหว หยิบโทรโข่งอันใหญ่ขึ้นมาตะโกนว่า “โอเคโอเค ทุกคนเตรียมพร้อม การแข่งขันใกล้ที่จะเริ่มขึ้นแล้ว! ”
อวี้อี่มั่วก้มหน้าลง มองดูหญิงสาวที่มีดวงตาเหม่อลอย จึงพูดขึ้นมาอย่างเบาๆ ว่า “อีกสักพักเธอก็วิ่งตามจังหวะของฉันนะ เข้าใจไหม”
เขาไม่ได้คาดหวังต้องการที่จะได้อันดับที่หนึ่ง ขอเพียงแค่ทีมของพวกเขานั้นไม่อยู่รั้งท้ายอันดับจนต้องได้รับบทลงโทษก็เพียงพอแล้ว
หร่วนซือซือที่มึนอยู่เล็กน้อย เมื่อรู้สึกตัวก็เงยหน้าขึ้นมารับคำ “………..โอเค”
เมื่อควบคุมสถานการณ์ให้คงที่เรียบร้อยแล้ว กลุ่มคนก็ยืนอยู่หลังเส้นออกตัว นับถอยหลังสามสองหนึ่งเป็นเสียงเดียวพร้อมกันกับต้าตง ทีมเล็กๆ แต่ละทีมที่มีสมาชิกอยู่สองคนต่างก็พุ่งออกตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ตอนที่หร่วนซือซือเรียนหนังสืออยู่ก็เคยได้เล่นเกมกิจกรรมต่างๆ มามากมาย ไม่ได้รู้สึกว่ายากเย็นอะไร แต่ใครจะรู้ว่าเพียงเธอสาวเท้าออกไปก้าวแรก ร่างกายของเธอก็พลันจะล้มลงไปข้างหน้า
โชคดีที่ข้างกายเธอมีอวี้อี่มั่วช่วยพยุงเอาไว้อยู่ เธอถึงได้ไม่ล้มหน้าทิ่มลงไป
อวี้อี่มั่วเปิดปากพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อน”
แม้ว่าจะพูดออกมาดังว่า แต่เมื่อหร่วนซือซือเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นว่ามีหลายทีมที่ออกตัวพุ่งไปอยู่ข้างหน้ากันแล้ว เธอจึงรู้สึกร้อนรนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเธอร้อนรนก็ทำให้จังหวะการก้าวเท้านั้นสับสนเละเทะเป็นธรรมดา ประกอบกับที่ช่วงขาของอวี้อี่มั่วนั้นยาว ร่างกายของเธอจึงโงนเงนไม่มั่นคง เพียงนิดเดียวก็สามารถล้มลงไปได้เลย
เดินๆ หยุดๆ ซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง ก็เป็นดังคาด เธอและอวี้อี่มั่วเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่สามนับจากอันดับท้ายสุด จึงหนีไม่พ้นการถูกทำโทษ
การลงโทษคือให้จับไม้เลือกเอา โดยแบ่งเป็นดื่มไวน์แดงแก้วใหญ่ในรวดเดียว คำท้าราดน้ำเย็น และการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่
หร่วนซือซือหยิบไม้มาอย่างมั่วๆ ขึ้นมาหนึ่งไม้ ก็หยิบได้บทลงโทษคำท้าราดน้ำเย็นขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด
อวี้อี่มั่วก้มหน้าลง มองดูตัวอักษรห้าตัวบนกระดาษ นัยน์ตาพลันมืดขรึมลง
ถ้าหากว่าบทลงโทษคือคำท้าราดน้ำเย็นล่ะก็ งั้นเขาและหร่วนซือซือก็จะถูกสาดน้ำเย็นที่เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งถังใหญ่ และเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เธอก็เป็นไข้ด้วย ถ้าถูกสาดน้ำเย็นอีกหนึ่งถัง กลัวว่าร่างกายเธอจะรับไม่ไหวเอา
ฉับพลันนั้นก็มีเสียงกระซิบกระซาบของเพื่อนร่วมงานหญิงที่อยู่ทางด้านข้างลอยขึ้นมา “ประธานอวี้จะถูกลงโทษแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะหร่วนซือซือ! ยัยนี่มันโง่! ”
“นั่นสิ! ตอนแรกก็คิดว่าประธานอวี้จะชนะแน่ๆ แต่ไม่คิดเลย……”
ได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว หร่วนซือซือรู้สึกว่าเป็นความผิดตน การแข่งขันเมื่อสักครู่นี้ความจริงแล้วเธอเป็นตัวถ่วงของอวี้อี่มั่วเอง
อวี้อี่มั่วเองก็ได้ยินคำพูดดังกล่าวเช่นกัน เขาทำสีหน้าให้ดีแล้วจึงเอ่ยพูดขึ้น “การรับบทลงโทษครั้งนี้ ฉันของรับผิดชอบเพียงคนเดียว เพราะในระหว่างการแข่งขันเมื่อสักครู่นี้ ฉันก้าวเท้ากว้างเกินไป ไม่ได้คิดถึงตัวของหร่วนซือซือ เพราะฉะนั้นความผิดนี้ผมขอรับเอาไว้เอง”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกพูดออกไป คนทั้งกลุ่มต่างพากันตกตะลึง เสียงกล่าวชื่นชมเยินยอเขาดังขึ้นมาแทบจะในทันที
“พระเจ้า! ประธานอวี้โคตรแมน! ”
หร่วนซือซือที่อยู่อีกด้าน ก็มองอวี้อี่มั่วที่กำลังถอดเสื้อนอกตัวเองออก เหลือเพียงเสื้อแขนสั้นที่ใส่อยู่ข้างใน จากนั้นก็ออกคำสั่งให้ตู้เยี่ยไปเอาถังน้ำใส่น้ำแข็งมา เธอรู้สึกหนาวยะเยือกตามขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
แม้ว่าสภาพอากาศจะไม่ได้หนาวจัด แต่ว่านี่ก็คือน้ำที่ผสมน้ำแข็งลงไปเต็มๆ ทั้งสองถัง เขากลับขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว!
เธอสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ รีบเดินขึ้นหน้าไปในทันทีแล้วหยุดตู้เยี่ยเอาไว้ “ไม่ได้นะ นี่ก็เป็นความผิดฉันเองเหมือนกัน”
อวี้อี่มั่วได้ยินดังว่า เงยหน้าขึ้นมองไปที่เธอ ทั้งสองสบตาเข้าหากัน เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งที่หร่วนซือซือรู้สึกราวกับร่างทั้งร่างของเธอล่วงหล่นลงไปในห้วงลึก
ชั่วขณะถัดมา เขาเบนสายตาออกหันไปมองตู้เยี่ยแทน
ตู้เยี่ยเข้าใจความนัยนั้น ยกถังน้ำที่ใส่น้ำแข็งแล้วราดลงไปบนร่างของเขา ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้คนกำลังคัดค้านนั้น ผิวของเขาก็พลันแดงขึ้นมาทั้งแถบ อวี้อี่มั่วเปิดเผยร่างกายที่มีสีผิวราวกับข้าวสาลีอันนวลเนียล ทั้งร่างเปียกโชก เสื้อแขนสั้นนั้นเปียกแนบชิดไปกับผิวหนัง เป็นไปตามดังที่ร่างอันเปียกโชกนั้นจะสามารถมองผ่านทะลุเสื้อผ้าไปได้
ต่อมาในทันทีตู้เยี่ยก็ยกถังอีกถังหนึ่งขึ้นมา หร่วนซือซือทนไม่ไหวรู้สึกปวดใจ สายตาจ้องมองไปที่เขาเอาน้ำถังที่สองราดลงไปบนตัวอวี้อี่มั่วอย่างตาไม่กระพริบ
ต้าตงที่อยู่ทางด้านข้างรีบหยิบผ้าขนหนูแล้วยื่นส่งไปให้ในทันที สีหน้าของทุกคนต่างพากันนิ่งขรึมขึ้นมา ไม่ว่าจะพูดอย่างไรอวี้อี่มั่วนั้นก็คือหัวหน้าของพวกเขา เป็นประธานแห่งอวี้อรุ๊ป ถูกน้ำสองถังราดลงต่อหน้ากลุ่มคนแบบนี้ สีหน้าจึงไม่ค่อยสู้ดีนัก
แต่ใครจะทราบได้ว่าอวี้อี่มั่วหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาซับหน้า มองไปที่กลุ่มคนโดยนัยน์ตาสะท้อนความสนุกขบขันออกมา “ถ้าคิดจะเดิมพันก็ต้องยอมรับการพ่ายแพ้ รู้แพ้รู้ชนะรู้จักปล่อยวาง พวกคุณเชิญเล่นกันต่อเลยนะ ผมขอตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย”
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ผู้คนต่างพากันยิ้ม บรรยากาศก็คึกคักขึ้นมา
ไม่คาดคิดเลยว่า ประธานที่หน้านิ่งเย็นชาแบบเขานั้นจะมีมุมนี้เหมือนกัน มีความเป็นสุภาพบุรุษที่รับผิดชอบต่อความผิดพลาด เคารพต่อการถูกลงโทษ สุดท้ายยังถ่ายทอดแนวคิดชีวิตให้แก่ทุกคนออกมาอีกหนึ่งประโยค ช่างมีเสน่ห์ล้นเหลือจริงๆ
หร่วนซือซือมองร่างที่ไกลออกไปของผู้ชายคนนั้น มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ในใจอบอุ่นและเต็มไปด้วยความหวานเยิ้ม
“เฮ้! ซือซือ”
เสี่ยวหานวิ่งเข้ามาหา ใช้ข้อศอกกระทุ้งไปที่หร่วนซือซืออยู่หลายที ฉีกยิ้มอย่างคลุมเครือ “ความรู้สึกที่ได้จับมือหนุงหนิงกับประธานอวี้เป็นยังไงบ้าง มีความสุขจนจะเป็นลมไปเลยใช่ไหมล่ะ! ”
หร่วนซือซือตีเธอกลับแล้วยิ้มออกมา “เธอยังจะมาล้อฉันอีก! ”
“ไม่นะ ฉันพูดความจริงเถอะ! ตอนนี้เธอเป็นคู่แค้นริษยาของพนักงานหญิงทั้งหมดแล้ว”
“หึ! อิจฉากับผีน่ะสิ!” จู่ๆ ทางด้านข้างก็มีเสียงของผู้หญิงดังขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด น้ำเสียงจิกกัดเจ็บแสบ
หร่วนซือซือและเสี่ยวหานต่างก็ชะงักไป เมื่อหันไปดู ก็เห็นเฉิงลู่เดินมาจากทางด้านข้าง
ทันทีที่เห็นเธอ สายตาของหร่วนซือซือก็ขรึมขึ้น
เฉิงลู่มองเธอด้วยหางตาหนึ่งที พูดเสี่ยงฮึ่มฮั่มอย่างเย็นเยียบออกมา “เธอไม่ได้ยินที่ประธานอวี้พูดเมื่อกี้นี้หรอกเหรอ เขาแต่งงานแล้ว! ทำไมบางคนยังคิดที่อยากจะไปเป็นมือที่สามทำให้บ้านคนอื่นเขาแตกแยกกันอยู่อีกห๊ะ! ”
เสี่ยวหานทนดูอีกต่อไปไม่ไหว เปิดปากเรียกร้องความยุติธรรมแทนหร่วนซือซือ “แกก็พูดจามากเกินไปหน่อยมั้ง! ”
เฉิงลู่ยิ้มอย่างเย็นๆ ตอบกลับ “ฉันได้พูดชื่อแซ่ออกมาหรือยังล่ะว่าฉันพูดถึงใคร ก็ร้อนตัวกันไปเองทั้งนั้น แล้วคนที่รับเอาไว้ก็ไม่ต้องมาโทษคนอื่นเขานะ! ”
“แก! ”
หร่วนซือซือยื่นมือขึ้นไปรั้งเสี่ยวหานเอาไว้ แล้วลากเธอให้ไปอยู่ที่อีกด้านหนึ่ง “พอแล้ว ไปโกรธให้คนแบบนั้นมันก็ไม่คุ้มค่าหรอก”
อีกทั้งเธอก็รู้ดีอย่างแน่ชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอวี้อี่มั่ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปโกรธกับคำว่า “มือที่สาม” ที่เธอพูดขึ้นมา
เสี่ยวหานโกรธจนควันออกหู “นังนั่นมันน่ารังเกียจเกินไปแล้วนะ! ”
หร่วนซือซือยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะ ไปกินอะไรที่ห้องอาหารกันสักหน่อยดีกว่า”
“โอเค”
เมื่อทั้งสองคนพูดถึงเรื่องกิน อารมณ์ก็พลันเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมากเลยทีเดียว หลังจากที่ไปบอกกับผู้ดูแลแล้ว พวกเธอก็ออกไปจากห้องสันทนาการ
ตอนที่รีบเดินมาถึงห้องอาหารนั้น ข้างในก็มีคนเข้าออกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
หร่วนซือซือกับเสี่ยวหานหาที่แล้วจึงนั่งลง จากนั้นก็สั่งอาหารมา
ขณะที่พูดคุยกันไปได้สักพัก ฉับพลันนั้นเสี่ยวหานก็เห็นอะไรบางอย่าง สีหน้าตื่นตะลึงพลางยกมือชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ซือซือ เธอดูสิ! ”
หร่วนซือซือหันหน้าไปตามทิศทางนิ้วที่เธอกำลังชี้ ก็เห็นอวี้อี่มั่วกำลังเดินเคียงคู่มากับซูหลิง เดินผ่านประตูใหญ่เข้ามาในห้องอาหาร
ที่ด้านหลังของทั้งสองไร้ซึ่งผู้ช่วยคอยติดตาม เดินไปพลางพูดคุยอะไรบางอย่างไปพลาง ซูหลิงหันไปทางด้านหลังบ้างเป็นบางครา มองไปที่ฝ่ายชายที่เดินเยื้องอยู่ข้างเธอ รอยยิ้มช่างดูอบอุ่นเสียเหลือเกิน
หัวใจของหร่วนซือซือก็บีบรัดแน่นขึ้นมาทันที ตามมาด้วยความรู้สึกหดหู่ฝืนใจ ถึงเธอไม่จ้องมองไปใจก็ยังคงรวดร้าว
เสี่ยวหานยังคงจ้องไปที่ทั้งสองคนนั้น พูดออกมาอย่างตกใจอย่างควบคุมไม่ได้ “ที่เมิ่งจื่อหันพูดวันนี้ก็เป็นความจริงงั้นสิ หรือว่าประธานอวี้ของพวกเรากำลังเดตอยู่กับซูหลิง แต่ไม่ใช่ว่าประธานอวี้แต่งงานไปแล้วเหรอ…..”
ได้ยินประโยคข้างต้น หร่วนซือซือก็เผลอขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว เธอสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ในใจสับสนอลหม่านไปหมด
หรือว่า อวี้อี่มั่วจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับซูหลิงจริงๆ