ดั่งรักบันดาล - ตอนที่ 66
ทันทีที่พูดออกไปเสร็จ หร่วนซือซือก็รู้สึกคิดผิดเสียใจเสียจนอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาด
ประโยคนี้ฟังดูแล้วยังไงก็เหมือนกับว่าเธออยากจะคลอดลูกให้เขาอย่างไรอย่างนั้น
อวี้กูเป่ยมีท่าทีชะงักค้างไป เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ไปจ้องมองเธอ “ยังไงก็ได้”
หร่วนซือซือใบหน้าแดงก่ำ พยักหน้าเป็นพัลวัน และไม่ได้สนทนาเรื่องเกี่ยวกับหัวข้อนี้ต่อแล้ว
เมื่อถึงโรงพยาบาล อวี้กู้เป่ยก็ลงทะเบียนให้หร่วนซือซือ จากนั้นก็พาเธอไปเข้ารับการตรวจ
เดินไปในแต่ละแผนกตรวจไปทีละอย่าง เวลาผ่านไปมากกว่าสองชั่วโมงอย่างไม่รู้ตัว
ช่วงเวลาที่รอผลการตรวจ หร่วนซือซือรู้สึกกระหายน้ำอยู่เล็กน้อย จึงเงยหน้าขึ้นไปรอบๆ มองหาว่ามีตู้กดน้ำตั้งอยู่ที่บริเวณไหนหรือเปล่า
อวี้อี่มั่วที่ยืนอยู่ที่ด้านหนึ่ง ในมือถือเอกสารอยู่หนึ่งปึก เห็นว่าเธอหันหัวไปมาจึงเอ่ยปากถามขึ้น “เป็นอะไร”
หร่วนซือซือตอบกลับไปตามจริง “หิวน้ำนิดหน่อย…….”
อวี้อี่มั่วได้ยินดังว่า ก็ไม่พูดอะไรออกมาต่อ กดไหล่เธอดันให้นั่งลงไป “เธอนั่งรอฉันอยู่ที่นี่นะ ฉันจะไปกดน้ำอุ่นมาให้เธอเอง”
หร่วนซือซือพยักหน้าอย่างว่าง่าย มองส่งเขาจนลับสายตาไป
ผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างเธอเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็อดใจไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นมาว่า “แม่หนู นั่นแฟนหนูเหรอ”
หร่วนซือซือยกยิ้มขึ้น พูดอย่างเบาๆ ว่า “นั่นสามีหนูเองค่ะ”
หญิงวัยกลางคนคนนั้นพูดออกมาอย่างตกใจว่า “เป็นสามีหนู! ทำไมดีกับเธอแบบนี้ล่ะ! ทั้งหล่อทั้งสูง แถมเป็นผู้ชายที่ดีอีก ไม่เห็นเหมือนผัวป้าเลย ไม่แม้แต่จะยอมพาป้ามาโรงพยาบาลเลยเนี่ย”
หร่วนซือซือเงยหน้าขึ้นมอง มองไปที่ร่างอันสูงใหญ่ของอวี้อี่มั่ว ในใจก็รู้สึกหวานละมุนมีความสุข
ก่อนหน้านี้เธอคิดมาโดยตลอดว่านอกจากพ่อกับแม่แล้ว ก็ไม่มีคนรักและเอ็นดูเธออีก แต่ตอนนี้ที่ข้างกายเธอก็มีเขาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว ได้รับความรักและทะนุถนอมจากเขาก็ทำให้รู้สึกเป็นสุขอยู่บ้าง
ผ่านไปสักพักจู่ๆ โทรศัพท์ของหร่วนซือซือก็ดังขึ้นมา เธอหยิบออกมาดู ปรากฏว่าเป็นคุณนายหลิวเองที่โทรเข้ามา
“ฮัลโหล ว่าไงแม่”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ไม่ได้เห็นหน้าลูกมาหลายวันแล้ว ก็เลยโทรมาหาเฉยๆ ”
ได้ยินคุณนายหลิวพูดเช่นนี้แล้ว ในใจของหร่วนซือซือก็มีเสียง “ตึกตัก” ดังขึ้นมา พลันนึกถึงคำสั่งที่แม่ให้ไว้กับเธอเมื่อไม่นานมานี้
เป็นดังคาดว่ากลัวอะไรก็มักจะได้อย่างนั้น คุณนายหลิวถามขึ้นมาต่อทันที “ลูกคุยกับอวี่มั่วเป็นยังไงบ้าง คิดจะจัดงานแต่งเมื่อไหร่กัน”
หร่วนซือซือสูดหายใจเข้าเต็มปอด พูดออกมาเบาๆ ว่า “แม่ เขาทำงานยุ่งมาก เรื่องงานแต่งคงต้องผัดออกไปก่อน……”
“ต่อให้งานยุ่งก็ห้ามลืมเรื่องสำคัญของตัวเองสิ! ยัยเด็กคนนี้นี่ ฉันรู้อยู่แล้วว่าแกจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ความหรอก! ” คุณนายหลิวมีน้ำโหขึ้นมา “ไหนลูกคิดว่าไง เรื่องแต่งงานเรื่องใหญ่แบบนี้ ลูกยังไม่คิดจะใส่ใจเลย……”
หร่วนซือซือฟังคำที่กรอกเข้าหูมาอย่างต่อเนื่อง อดไม่ไหวที่จะขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมา “แม่ เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก ตอนนี้หนูอยู่ที่โรงพยาบาล เอาไว้คุยกันทีหลังเถอะ แค่นี้นะ”
ขณะที่พูดเธอก็เอาโทรศัพท์ออกมาจากหูกำลังจะกดตัดสาย “เดี๋ยวก่อน! ลูกอยู่ที่โรงพยาบาล! ไม่สบายเหรอ”
“ไม่ใช่……..” หร่วนซือซือตัวนิ่งค้างไป เอาโทรศัพท์กลับมาแนบหูอีกครั้ง “หนูมาตรวจร่างกาย”
“ตรวจร่างกาย? ลูกรู้สึกไม่สบายตัวตรงไหนเหรอ”
“ก็ไม่ใช่อย่างนั้น…….” หร่วนซือซือขมิบปากพูดพึมพำ เป็นชั่วขณะหนึ่งที่กลายเป็นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
ในการถามครั้งที่สามของคุณนายหลิวนั้น เธอจึงทำได้เพียงสารภาพออกไปตามจริง “เมื่อวานหนูกับอี่มั่วกลับคฤหาสน์หลังเก่าไปเยี่ยมคุณย่า คุณย่าบอกว่าหนูเตรียมตัวตั้งครรภ์ แล้วก็ให้อาหารบำรุงหนูมาเต็มไปหมด จากนั้นวันนี้เขาก็พาหนูมาตรวจที่โรงพยาบาลดู…….”
ได้ยินลูกพูดมาเช่นนี้แล้ว ทางด้านคุณนายหลิวน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาทันที “ถึงเวลาตรวจก็ควรตรวจไปนั่นแหละดีแล้ว ในเมื่อลูกจดทะเบียนกับเสี่ยวอวี้แล้ว ก็ต้องเร่งวันที่จะมีลูกได้แล้วนะ คุณนายใหญ่เขารออุ้มเหลนอยู่ ส่วนแม่กับพ่อแกก็รออุ้มหลานอยู่เหมือนกัน! ”
ได้ยินคุณนายหลิวพูดดังว่าแก้มหร่วนซือซือก็แดงก่ำขึ้นมา และมุมปากก็เผลอยกยิ้มขึ้นมาอย่างหยุดไม่ได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นเธอก็เห็นอวี้อี่มั่วกำลังเดินมาทางนี้ จึงรีบพูดตัดบท “โอเคแม่ หนูไปทำธุระก่อน แค่นี้นะ”
“โอเคโอเค วันหลังแกก็พาเสี่ยวอวี้มาทานข้าวที่บ้านเราด้วยนะ ฉันกับพ่อแกจะรออยู่ที่บ้าน”
หร่วนซือซือรีบตอบรับคำก่อนจะกดวางสายไป
อวี้อี่มั่วเดินมา ยื่นแก้วน้ำให้เธอ “ค่อยๆ จิบนะ น้ำมันร้อน”
“โอเค”
เวลาก็ผ่านไปอีกมากกว่าหนึ่งชั่วโมง พวกเขาค่อยๆ ไปรับเอกสารผลตรวจทั้งหมด ผลทุกอย่างล้วนออกมาปกติดี
เมื่อออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ทันทีหลังจากที่กลับมาถึงบ้านอวี้อี่มั่วก็รวบรวมเอกสารผลตรวจรูปแบบดิจิทัลทั้งหมดส่งให้ปีเตอร์ไป
เมื่อเสร็จเรื่องทั้งหมดนี้ อวี้อี่มั่วเงยหน้าขึ้นมองหร่วนซือซือที่กำลังกินข้าวอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ในใจก็รู้สึกสับสนยุ่งเหยิง
หร่วนซือซือเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นอวี้อี่มั่วกำลังจ้องมองมาที่เธออย่างเหม่อลอย จึงเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง “เป็นอะไร ทำไมไม่กินข้าว”
อวี้อี่มั่วพูดอย่างเบาๆ ว่า “ดูเธอกินแล้ว ก็ไม่ได้หิวอะไรนัก "
หัวใจหร่วนซือซือพลันอุ่นวาบขึ้นมา รู้สึกขวยเขินอยู่เล็กน้อย “ใช่แล้ว วันนี้แม่ฉันโทรมาหา บอกว่าวันหลังให้พวกเราไปทานข้าวที่บ้าน”
“ได้ รอหลังจากที่พวกเรากลับมาจากวิลล่าริมทะเลสาบแล้วค่อยไปหาพวกท่าน”
หร่วนซือซือยิ้มตอบรับไปหนึ่งที “โอเคเลย! ”
เวลาผ่านไปราวชั่วกระพริบตาก็มาถึงวันสัมมนานอกสถานที่ หร่วนซือซือเดินทางมาถึงบริษัทก็เห็นทุกคนต่างพากันหอบหิ้วกระเป๋าใบเล็กใบน้อย รวมกลุ่มพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น
“ซือซือ!”
เสี่ยวหานวิ่งมาจากทางด้านข้าง ดึงแขนเธอมาอย่างตื่นเต้นดีอกดีใจ มองเธอหัวจรดเท้าเสียหนึ่งรอบ แล้วก็อดใจไม่ไหวเอ่ยปากชมเธอขึ้นมา “วันนี้แต่งตัวได้สวยมากเลย!”
สไตล์ไม่เหมือนกับที่มาทำงานตามปกติ วันนี้เธอสวมใส่ชุดสบายๆ เสื้อฮู้ดสีขาวตัวโคร่งเข้าคู่กันกับกางเกงวอร์มตัวใหญ่สบายๆ ประกอบกับที่เธอมัดผมรวบเป็นหางม้า ทำให้ทั้งตัวดูมีภาพลักษณ์ของความหนุ่มสาวที่สดใสและดึงดูดสายตา
หร่วนซือซือยิ้ม “ที่เธอใส่อยู่ก็สวยเหอะ!”
เพราะว่ามีการออกไปเล่นกิจกรรมนอกสถานที่ ทุกคนเลยพากันสวมใส่ชุดที่ดูสบายๆ ไม่ค่อยเหมือนกับวันธรรมดาทั่วไปเท่าไหร่นัก และยังดูกระตือรือร้นมีพลังมากกว่าปกติอีกด้วย หลังจากที่แต่ละแผนกนับจำนวนคนเสร็จ ก็พากันขึ้นไปนั่งบนรถบัสแล้วออกเดินทางไปวิลล่าริมทะเลสาบที่ตั้งอยู่นอกเมืองเจียงโจว
เมื่อขึ้นมาบนรถก็มีคนถกกันด้วยความตื่นเต้น “วิลล่าริมทะเลสาบนี้น่าสนใจมากเลยนะ ได้ยินมาว่า ประธานอวี้ของพวกเราอยากจะพัฒนาพื้นที่บริเวณใกล้ๆ เพราะงั้นก็เลยตัดสินใจจัดกิจกรรมในครั้งนี้ที่นั่นเลย”
“จะพัฒนาไม่พัฒนาฉันไม่สนทั้งนั้น ตอนนี้ฉันสนแค่ว่าอยากจะเห็นหน้าประธานอวี้ เมื่อกี้พวกแกเห็นกันยัง ประธานอวี้ใส่ชุดลำลองสีเขียวลายพราง แม่เอ้ย! โคตรหล่อ! ”
“บ้าผู้ชาย! ”
มีหลายเสียงดังขึ้นสอดแทรกสร้างเสียงหัวเราะขึ้นมา บรรยากาศบนรถคึกคักขึ้นเป็นอย่างมาก
ในแต่ละแผนกของบริษัทจะมีบรรดาหญิงสาวอยู่หลายคนที่เพ้อฝันถึงอวี้อี่มั่ว การได้พบกับเจ้านายที่ทั้งหล่อเหลาและร่ำรวยแบบนี้ มีสาวน้อยอยู่ไม่กี่คนหรอกที่จะต้านทานไหว
หร่วนซือซือกับเสี่ยวหานนั่งอยู่ที่แถวหน้าของรถบัส ได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานจากทางด้านหลังได้อย่างชัดเจน
พวกเขาพากันพูดเย้าหัวเราะคลอกันไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใครกันที่เอ่ยพูดแทรกขึ้นมา “จะบ้าผู้ชายก็บ้าไปเถอะ แต่อย่าหลวมตกหลุมลงไปซะล่ะ ผู้ชายสมบูรณ์แบบประธานอวี้น่ะ พวกแกไม่ได้อยู่ในสายตาเขาหรอก พวกแกไม่ได้ยินเหรอว่า วันนี้ดาราสาวคนนั้นก็มาด้วยนะ ซูหลิงน่ะ! ”
เดิมทีหร่วนซือซือก็รู้สึกง่วงอยู่เล็กๆ แต่หลังจากที่ได้ยินชื่อนี้ขึ้นมาแล้ว ความรู้สึกง่วงนั้นพลันหายเป็นปลิดทิ้ง
ซูหลิง พอดีว่าวันนั้นเธอเห็นดาราพิธีกรที่งานจัดแสดงอัญมณี ที่ช่วงนี้การพัฒนาดีขึ้นมากจนมาเป็นหนึ่งในสุดยอดสามนักแสดงหญิง
“อะไรนะ ใช่ซูหลิงคนที่เล่นเรื่องฤดูใบไม้ผลิครานั้นไหม ช่วงนี้เธอโคตรดังเลย! ”
“ใช่คนนั้นแหละ! เมื่อกี๊ฉันเห็นเธอขึ้นรถประธานอวี้ไปด้วย เหมาะสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก! ”
“…….…”
ได้ยินกลุ่มคนผลัดกันพูดคนละประโยคสองประโยคแล้ว ใจของหร่วนซือซือก็ว่างเปล่าล่องลอยขึ้นมา ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นคนหูเบาเชื่อคำพูดเจื้อยแจ้วลอยตามลมของคนอื่น แต่เป็นเพราะว่าที่งานจัดแสดงวันนั้น เธอเห็นมาด้วยกับตาตัวเองถึงท่าทางของอวี้อี่มั่วที่เมื่อได้อยู่ด้วยกันกับซูหลิง
กระซิบกระซาบกันข้างหู สนิทสนมกันปานจะกลืนกิน ก็เป็นดังที่ทุกคนพูดตามนั้นจริงๆ สมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก
เธอกัดริมฝีปากแน่น สองมือที่ทิ้งลงข้างลำตัวก็กำแน่นขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เธอกับอวี้อี่มั่วก็ไม่ได้ดูเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ