ดั่งรักบันดาล - ตอนที่ 254
นี่เป็นครั้งแรกที่ออกมาข้างนอกกับอวี้กู้เป่ย เธอออกจะตื่นเต้นบ้าง แต่ประจวบเหมาะกับช่วงนี้เขาค่อนข้างอารมณ์ดี บรรยากาศบนรถก็เป็นไปได้ด้วยดี
เมื่อถึงจุดหมาย อวี้กู้เป่ยก็หยิบเอกสารยื่นให้เธอ พูดขึ้นเสียงเบาว่า : "คุณไปจัดการเช็กอิน ผมจะไปห้องน้ำสักครู่"
ลู่เสี่ยวมั่นยิ้มแล้วยื่นมือรับเอกสาร เดินไปยังหน้าฟร้อนของโรงแรม
อวี้กู่เป่ยโบกมือเบาๆส่งสัญญาณให้เช่าจัวเข็นรถเข็นพาเขาไปยังห้องน้ำ
เป็นผู้ชายคนหนึ่ง แต่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างอิสระ นี่เป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่งสำหรับเขา ยังดีที่พอเวลาเริ่มผ่านพ้นไป เขาก็ค่อยๆชินกับมันมากขึ้น ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นในช่วงแรกค่อยๆชินชาจนไร้ความรู้สึกไป
ขาที่พิการทั้งสองข้างนี้กลับเป็นเกราะป้องกันที่ดีให้กับเขา ทุกคนต่างคิดว่าเขาไร้ความสามารถ เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะได้ไม่ต้องโดนหมายหัวเป็นคนแรก
ในห้องน้ำ เช่าจัวอุ้มเขาวางลงบนรถเข็นดังเดิม พร้อมกับถามว่า : "คุณชาย พาพยาบาลออกมาด้วยจะดีเหรอครับ?"
อวี้กู้เป่ยหัวเราะเบาๆ : "ทำไมจะไม่ดีล่ะ?
อวี้กู้เป่ยหันไปมองทางเช่าจัว แววตาเจ้าเล่ห์ จะทำให้เธอเป็นอาวุธชั้นดี
เช่าจัวได้ยินแล้ว ก็ไม่เซ้าซี้ถามต่ออีก
อวี้กู้เป่ยกดปุ่มบังคับรถเข็น รถเข็นเดินหน้า แล้วก็ออกจากห้องน้ำกัน
มองไกลออกไปยังทิศทางหน้าฟร้อน ที่เห็นลู่เสี่ยวมั่นพอดี
เขาบังคับรถเข็นให้เดินหน้า เตรียมจะเข้าไปนั้น ก็เห็นหญิงวัยกลางคนหนึ่งใส่เสื้อทำความสะอาดสีเขียวเดินตรงดิ่งไปหาลู่เสี่ยวมั่น
อวี้กู้เป่ยชะงัก กดปุ่มหยุดรถเข็นลง
ฝั่งนั้น หญิงวัยกลางคนก็เรียกชื่อลู่เสี่ยวมั่น : "เสี่ยวมั่น?"
ลู่เสี่ยวมั่นเมื่อได้ยินมีคนเรียก ก็หันกลับมามอง เมื่อเห็นว่าคนที่เรียกเธอนั้นเป็นใคร สีหน้าก็เปลี่ยนทันที เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว เพื่อออกให้ห่างจากผู้หญิงคนนั้น
หญิงวัยกลางคนไม่สนใจ เดินเข้ามาจับแขนของลู่เสี่ยวมั่นด้วยสีหน้าดีใจ : "เสี่ยวมั่น เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?"
ลู่เสี่ยวมั่นขมวดคิ้ว ตอบกลับอย่างเย็นชาว่า : "มาทำงาน"
"ดี ก็ดี" หญิงวัยกลางคนพยักหน้า ขอบตาเคลือบไปด้วยน้ำตา : "เสี่ยวมั่น ตั้งแต่เธอหนีออกจากบ้านไปจนถึงตอนนี้ ก็ปีกว่าแล้ว มีอะไรในใจก็ควรลืมมันไปได้แล้ว ฉันกับพ่อแกยังคิดถึงแกมาก"
เมื่อพูดจบ ลู่เสี่ยวมั่นก็สีหน้าแย่ลงไปอีก เธอสะบัดมือที่จับแขนเธอออก ถอยหลังไป พูดด้วยอารมณ์ว่า : "ฉันไม่มีพ่อ! พ่อฉันตายไปตั้งนานแล้ว และจะไม่มีวันกลับไปบ้านหลังนั้นอีก"
พูดจบ เธอกัดฟันแน่นหมุนตัวเดินออกมา เก็บคีย์การ์ดที่รับมาเมื่อสักครู่ลงกระเป๋า หิ้วของแล้วเดินออกมา
หญิงวัยกลางคนคนนั้นรีบมาขวางเธอไว้ : "เสี่ยวมั่น เธอจะใจร้ายแบบนี้ไม่ได้นะ……"
ลู่เสี่ยวมั่นสีหน้าเย็นชา ไม่สนใจเดินเลี่ยงไปข้างๆ
อวี้กู้เป่ยที่อยู่อีกฝั่ง มองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ
ชั่วอึดใจ เขาก็เลิกคิ้วขึ้นสูง หันไปบอกกับเช่าจัวที่ยืนอยู่หลังรถเข็นว่า : "ไป ไปรอเธอที่หน้าลิฟต์กัน"
นี่เป็นเรื่องส่วนตัวเธอ เขาไม่อยากแทรกแซง
เมื่อถึงหน้าลิฟต์แล้ว อวี้กู้เป่ยก็พูดขึ้นว่า : "วันหลังไปสืบข้อมูลทางบ้านของลู่เสี่ยวมั่นมาให้ฉันหน่อย"
เช่าจัวตอบรับ : "ครับ"
อวี้กู้เป่ยผสานมือเข้าหากัน ในใจชัดเจนดี รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เขาอยากที่จะควบคุมลู่เสี่ยวมั่น ก็ต้องรู้และเข้าใจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเสี่ยวมั่นให้ได้มากที่สุด
ไม่นานเท่าไหร่ ลู่เสี่ยวมั่นก็หอบของเดินดุ่มๆมาทางเขา เมื่อมองเห็นเขาทั้งคู่ที่รออยู่หน้าลิฟต์ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
เมื่อกี้นี้ เขาคงไม่เห็นหรอกมั้ง
"ขอโทษทีค่ะคุณอวี้ เช็กอินค่อนข้างช้าไปหน่อยค่ะ"
"ไม่เป็นไร" อวี้กู้เป่ยยิ้มแล้วพูดขึ้น : "ไม่รีบ"
ลู่เสี่ยวมั่นได้ยินแล้วก็แอบถอนหายใจเบาๆ
ผ่านไปราวสองชั่วโมง อวี้กู้เป่ยที่นั่งอยู่บนโซฟา มองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย แล้วพูดขึ้นว่า : "เป็นอะไรไป อารมณ์ไม่ดีเหรอ?"
เย่เจ๋ออวี่ยกแก้วขึ้น กระดกเหล้าที่อยู่ในแก้วจนหมด พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : "ช่วงนี้มีเรื่องดีเสียที่ไหนล่ะ"
พูดจบก็วางแก้วเหล้าลง ยกขวดวิสกี้เติมเหล้าลงแก้ว : "ช่วงนี้หว่านเอ๋อจะหมั้นกับอวี้อี่มั่วแล้ว กับคนอื่นมีเยอะแยะ ไม่รู้ทำไมต้องเป็นอวี้อี่มั่ว"
อวี้กู้เป่ยได้ยินแล้ว ก็ยิ้มขึ้นช้าๆ : "นายก็รู้ ว่าหว่านเอ๋อชอบอวี้อี่มั่วมาโดยตลอด"
"ไม่ชอบขี้หน้า ไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นน้องเขยได้ คิดแล้วก็โมโห" เย่เจ๋ออวี่ขมวดคิ้ว พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า : "เรื่องครั้งที่แล้ว ถ้าไม่มีแผนสำรอง ของคงอยู่ในมืออวี้อี่มั่วไปแล้ว รู้ใช่ไหมว่าหลี่เซินตอนนี้หายตัวไป ก็เพราะโดนจับตัวไปนี่แหละ"
อวี้กู้เป่ยได้ยินแล้ว สีหน้าเรียบเฉย
ถึงแม้เย่เจ๋ออวี่ไม่พูด เขาเองชัดเจนเรื่องพวกนี้ดี
เย่เจ๋ออวี่สบถด้วยความโกรธ : "ไม่ว่ายังไง ฉันกับมันก็ไม่ลงรอยกันแน่นอน"
"พอแล้วเจ๋ออวี่ ออกมาเที่ยว ก็ผ่อนคลายหน่อย อย่าไปกังวลกับมันมาก"
อวี้กู้เป่ยพูดจบ ก็หันกลับมาพูดต่อว่า : "ใช่แล้ว ได้ยินมาว่าคุณลุงช่วงนี้ใส่ใจโครงการปี้สุ่ยย่วนมาก เป็นยังไงบ้างแล้ว?"
เย่เจ๋ออวี่ได้ยินแล้ว ก็อิงลงบนโซฟา เลิกคิ้วขึ้นสูง : "อย่าไปพูดถึงเลย เกิดเรื่องรอบที่แล้ว ก็ไม่มีใครอยากร่วมลงทุนด้วย ไม่มีผู้ลงทุน โครงการปี้สุ่ยย่วนก็ไม่สามารถเดินต่อได้ แต่โครงการมันเริ่มไปแล้ว หยุดลงไม่ได้ ทำได้แค่หาแหล่งเงินทุนที่อื่นมาเรื่อยๆ"
พอได้ยินแล้ว ดวงตาของเขาฉายแววขึ้นจางๆ
เย่เฟิงเผิงคนนี้ โลภเกินมากไป หลายๆครั้งก็ใจใหญ่เกิน ไม่เป็นผลดี ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปวันหนึ่งก็จะล้มเพราะความโลภมากให้จนได้!
แต่สำหรับเขาแล้ว การล้มคือโอกาสที่ดีทีเดียว
หร่วนซือซือรู้สึกตัวขึ้น มองเห็นด้านนอกเริ่มมืดแล้ว ไม่นึกว่าตัวเธอเองจะนอนไปนานขนาดนี้
เธอลุกขึ้นจากโซฟา เดินเข้าห้องน้ำ เมื่ออาบน้ำแล้ว ค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย เธอมองตัวเองในกระจก เห็นตาที่บวมแดงของตัวเองแล้ว อารมณ์ก็กลับมาแย่ลงอีก
ใบหน้าของอวี้อี่มั่ววนเวียนในหัวตลอดเวลา พยายามสลัดเท่าไหร่ก็ไม่ออก
เมื่ออาบน้ำเสร็จเธอก็สวมเสื้อผ้า ในใจเธอไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้น เดินไปเปิดตู้เย็นในห้องครัว กะว่าจะดื่มเบียร์สักกระป๋อง แต่ในตู้เย็นมีเพียงนมเท่านั้น
เธอถอนหายใจเบาๆ อึดอัดอยู่ข้างในใจไม่สามารถระบายมันออกไปได้ คิดไปคิดมา เธอจึงตัดสินใจออกไปข้างนอก
เดินเล่นสักพัก เธอก็เจอเข้ากับคู่รักหลายคู่ ไม่รู้ทำไม พอเห็นแล้วก็นึกถึงหน้าของอวี้อี่มั่วกับเย่หว่านเอ๋อ ในใจรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่
ทำไมเธอถึงใส่ใจเรื่องของอวี้อี่มั่วขนาดนี้นะ? หรือเธอจะชอบเขาแล้วจริงๆ
หร่วนซือซือทุบหัวตัวเองไปทีหนึ่ง กวักเรียกรถ ตรงไปที่Kบาร์
เวลาแบบนี้ ดื่มเหล้าอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดื่มสักแก้วสองแก้ว ไม่แน่อารมณ์อาจจะดีขึ้น
ถึงร้านเหล้าแล้ว ด้านในคนไม่เยอะมาก หร่วนซือซือก็ตรงไปนั่งที่นั่งมุมในสุดของบาร์
เมื่อบาร์เทนเดอร์เห็นเธอ ก็ตรงมายิ้มทักทาย : "พี่สาว มาอีกแล้ว"
"อืม ช่วงนี้มีเมนูใหม่ๆไหม เอามาลองหน่อยสิ"
บาร์เทนเดอร์ยิ้มตอบ "เมนูใหม่ๆน่ะมีครับ แต่แรงไม่ใช่เล่น จะลองเหรอครับ?"
หร่วนซือซือยิ้ม : "ก็อยากได้แบบแรงๆนั่นแหละ"
ที่ผ่านมานี้เธอดื่มแค่พอเป็นพิธี ยังรู้ตัวสติดีครบถ้วน แต่วันนี้อยากจะลิ้มลองการเมาเหล้าว่ามันเป็นยังไง