ดั่งรักบันดาล - ตอนที่ 251
"**!" สวี่เฟิงหมิงสบถออกมา หมอบลงอย่างรวดเร็ว
"ปัง!" เสียงดังขึ้น กระจกรถถูกยิงเข้าอย่างจัง ร้าวทั้งบานเป็นใยแมงมุม
เขาก้มต่ำ รีบเหยียบคันเร่งจมมิด จู่ๆล้อรถก็หมุนฟรี ไม่รู้ว่าล้อรถเหยียบโดนอะไร แต่ออกมาไม่ได้ เขาเริ่มรน : "อาสวี่ ทำยังไงดี!"
ดูจากสถานการณ์ พวกเขาคงถูกล้อมไว้หมด จะเอาของแล้วค่อยถอยกลับ ก็เกรงว่าจบเห่ก่อน!
สวี่เฟิงหมิงถอนหายใจแรง กำปืนในมือไว้แน่น สบถออกมาว่า : "จัดการให้หมด"
หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ปะทะกัน เห็นเพียงแต่พวกคนที่อยู่ในเงามืดยิงมาไม่หยุด พวกเขาที่อยู่ในรถ ก้มหมอบลงไม่กล้านั่งตัวตรง ไม่เห็นแม้กระทั่งเงา
ฝ่ายหนึ่งอยู่ในที่แจ้ง ส่วนอีกฝ่ายอยู่ในที่มืด อึดใจเดียวรถทั้งคันก็พรุนไปหมด เห็นได้ชัดว่าฝั่งของพวกเขาแพ้แล้ว
สวี่เฟิงหมิงหดหัวอยู่ในรถ ใบหน้าของเขาเกรงจนกระตุกไม่หยุด สายตายังเต็มไปด้วยความดุดัน
ทำไมเบาะแสถึงรั่วไหล? มีคนปล่อยข่าวเหรอ?
กลุ่มคนเหล่านั้นล้อมรอบรถอย่างรวดเร็ว แล้วจ่อปืนมาที่รถ
ถ้าเขาขยับตัวขึ้นมา คงโดนฆ่าตายอย่างไม่ต้องสงสัย
มีเงาดำสูงใหญ่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แววตาหนักแน่นและเยือกเย็น ปราศจากความลังเลใดๆ
อวี้อี่มั่วเดินมาจนถึงข้างรถ สายตาที่แน่วแน่จ้องเข้าไปในรถ ราวกับว่าเห็นทุกอย่างในรถชัดเจน : "ลุงสวี่ ลงมาเถอะ"
ประโยคที่พูดเสียงเบาบาง แต่ความรู้สึกกลับหนักแน่น เห็นชัดว่าสวี่เฟิงหมิงแพ้ราบคาบ ไม่สามารถหนีต่อได้อีก
สวี่เฟิงหมิงรู้ดีว่าหลบต่อไปก็ไม่ใช่วิธีที่ดี เขาขมวดคิ้วแน่น แล้วลุกขึ้น เปิดประตูรถออกมา
เมื่อลงจากรถแล้ว ก็เห็นอวี้อี่มั่วที่ยิ้มอย่างเยือกเย็น : "ไม่เจอกันนานนะ"
เมื่ออวี้อี่มั่วได้ยินก็หัวเราะออกมาเบาๆ สวี่เฟิงหมิงทิ้งปืนลงบนพื้น ไม่มีสีหน้าท่าทีของคนแพ้พ่ายแม้แต่น้อย
เวลาแบบนี้ อยู่มาก็เลยครึ่งค่อนชีวิตมาแล้ว ผ่านร้อนผ่านฝนมาหมด ก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร นับภาษาอะไร ครั้งนี้ก็ไม่ใช่การโดนจับครั้งแรกเสียหน่อย
ชายชุดดำสองคนเดินเข้ามา ล็อกแขนของสวี่เฟิงหมิงไว้
สวี่เฟิงหมิงไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร เขาจ้องมองไปยังหน้าของอวี้อี่มั่ว เม้มปากแน่น ไม่พูดอะไรออกมา
คนที่อยู่บนรถอีกสามคนมองสวี่เฟิงหมิงที่ถูกจับอย่างง่ายดาย ราวกับว่าไร้วิญญาณไปแล้ว จึงรู้สึกกระวนกระวายใจไปกันใหญ่
สายตามองไปรอบๆ โฉยโอกาส รีบลงจารถเพื่อวิ่งหนี!
"ปัง!" กระสุนผ่าเข้าที่หน้าขา ล้มลงบนพื้น เลือดไหลออกมาไม่หยุด
เวลานี้ การวิ่งหนีคือวิธีที่โง่เขลาที่สุด อีกสองคนที่อยู่บนรถก็กลัวขึ้นมา ไม่กล้าต่อต้านอีก ยอมแต่โดยดี
อวี้อี่มั่วมองคนที่ถูกล็อคตัวแล้วพาไป เขาเดินไปยังท้ายรถ ซูอวี้เฉิงเปิดกระโปรงรถขึ้น เห็นลังลังหนึ่ง และเปิดมันออก
ซูอวี้เฉิงหยิบขึ้นมาหนึ่งถุงแล้วแกะออก บี้เบาๆ แล้วดมกลิ่น ขมวดคิ้วขึ้น : "ผงขาวครับ เกรดทั่วไป"
อวี้วี่มั่วขมวดคิ้วแน่น มองลังลังนั้น รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก
อวี้อี่มั่วหมุนตัว แล้วพูดขึ้นว่า : "พาคนที่จับได้ กลับไปที่คลังสินค้า ดูว่ายังมีของเหลืออีกรึเปล่า"
พูดถึงความเป็นไปได้ คนสี่คนที่พากันออกมา เป็นไปไม่ได้ว่าจะทำเพื่อของลังเดียว ถ้าของไม่ได้อยู่ที่คลังสินค้า ก็คงมีคนอื่นเอาของออกไปแล้ว
ทันใดนั้น เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม : "ไม่มีแล้วเหรอ แค่ลังเดียว?"
ซูอวี้เฉิงหันไปมองอวี้อี่มั่ว แล้วถามขึ้นมาว่า : "ทำไมครับ?"
"ไม่น่าจะใช่ " อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วแน่น : "มันแปลกๆ มีอะไรไม่ชอบมาพากล"
มาตั้งสี่คนเพื่อลังเพียงลังเดียว หนึ่งในนั้นยังเป็นสวี่เฟิงหมิง นี่เป็นการค้าล็อตใหญ่ ดูจากสไตล์คนๆนั้นแล้ว ไม่ทำธุรกิจขาดทุนหรอก
อวี้อี่มั่วออกคำสั่งผ่านหูฟัง : "หลัวยู่ ไปตรวจดูว่ามีอะไรอย่างเคลื่อนไหวรึเปล่า!"
อวี้อี่มั่วไม่กล้าที่จะคิดมากไป แต่ก็ไม่คิดไม่ได้ ถ้าสวี่เฟิงหมิงเป็นแค่เหยื่อล่อ……
ทันใดนั้น หลัวยู่ก็รายงานขึ้นว่า : "ท่าเรือผิงชังครับ"
อวี้อี่มั่วเมื่อได้ยินแล้ว รีบออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเข้ม : "ไปที่ท่าเรือผิงชัง เดี๋ยวนี้!"
ทุกคนรีบขึ้นรถอย่างเร่งรีบ และออกตัวอย่างเร็วที่สุด
อวี้อี่มั่วนั่งอยู่บนรถ สีหน้าเคร่งขรึม
พอได้ยินว่าเป็นท่าเรือผิงชัง ในใจก็รู้สึกแปลกๆและไม่ชอบมาพากลเลย ท่าเรือผิงชังตั้งอยู่ทางทิศใต้ แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าจะไปถึง!
และแล้ว เมื่อถึงที่หมาย ท่าเรือเงียบสงบ ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยเลย
"***นี่มันล่อเสือออกจากถ้ำเหรอ!" ซูอวี้เฉิงสบถ : "***!"
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วแน่น มองท่าเรือที่กำลังขนสินค้าอย่างเร่งรีบ เม้มปากแน่น
หลัวยู่ที่อยู่ข้างๆพูดขึ้นอย่างเกรงกลัวว่า : "ดูแล้ว สวี่เฟิงหมิงน่าจะโดนเขี่ยทิ้ง เอาไว้ดึงดูดความสนใจของเราเพื่อทำให้เราสับสน"
นี่คือเรื่องจริง
เพื่อที่จะส่งสินค้าล็อตใหญ่ จึงเขี่ยสวี่เฟิงหมิงทิ้ง ร้ายกาจ นัดแนะทั้งสองที่ ฝั่งหนึ่งแจ้งฝั่งหนึ่งมืด ใช้สวี่เฟิงหมิงล่อเราไว้ วางแผนเก่งจริงๆ
อวี้อี่มั่วดวงตาสีดำทมิฬ ดำสนิทราวกับน้ำหมึก หยุดนิ่งไปชั่วครู่ หมุนตัวขึ้นรถ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : "กลับ!"
พักเรื่องไว้เพียงเท่านี้ ไม่มีอะไรให้จัดการต่อ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ คนๆนั้นรู้และเข้าใจเขาเป็นอย่างดี ถึงขั้นเดาทางได้ว่าเขาจะเลือกที่จะเจาะจงไปที่สวี่เฟิงหมิง เพราะคนนั้นคาดเดาจิตใจเขาได้ รวมไปถึงความสนใจและรายละเอียดอื่นๆ
น่ากลัวไปแล้ว
อวี้อี่มั่วกำหมัดแน่น ความเย็นยะเยือกปะทุไปทั่วร่างของเขา
เขาสัญญากับตัวเองในใจ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นปีศาจในยมโลก เขาจะไม่ปล่อยมันไว้แน่
ห้วงเวลาเดียวกัน ในคฤหาสน์ชานเมือง แสงไฟสว่างทั่ว อวี้กู้เป่ยที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองไปยังความมืดมิดที่ไกลโพ้น ความดันอากาศที่ค่อนข้างต่ำ บรรยากาศอบอ้าว ราวกับว่าฝนจะตกลงมา
เวลานี้ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เช่าจัวรีบเข้ามาข้างใน เดินไปยืนข้างๆ โค้งตัวไปกระซิบข้างหูของเขา เพื่อรายงานสถานการณ์
อวี้กู้เป่ยได้ยินแล้ว อารมณ์ก็ดีขึ้นมา ยิ้มขึ้นที่มุมปาก พูดเสียงเบาว่า : "ในที่สุด มันก็แพ้ แพ้ให้ฉันแล้ว"
เช่าจัวเห็นอวี้กู้เป่ยที่นานๆทีจะอารมณ์ดีขนาดนี้ ก็ยิ้มขึ้นตาม : "ยินดีด้วยครับคุณชาย"
เมื่อได้ยินแล้ว อวี้กู้เป่ยยิ่งหัวเราะชอบใจไปกันใหญ่ เหมือนพูดเองไปคนเดียวว่า : "ภายภาคหน้า วันที่มันจะแพ้ มีถมเถไป"
พูดจบ ก็หันหน้ามาถามต่อว่า : "นัดเจอเย่เจ๋ออวี่เรียบร้อยแล้วรึยัง?"
พูดจบ ปลายฟ้าก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นใกลๆ
"ครับ เรียบร้อยแล้ว"
"ดี"
อวี้กู้เป่ยหันหน้ากลับ มองไปยังนอกหน้าต่าง อารมณ์ดีเพิ่มขึ้นไปอีก
อากาศอบอ้าวของฤดูร้อน ต้องมีฝนห่าใหญ่อากาศถึงจะโล่งขึ้น ได้ชะล้างความสกปรกพร้อมกับลบรอยเท้าไปด้วย