หร่วนซือซือพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านมาสองวันแล้ว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับสายน้ำก็ไม่ปาน
เป็นเพราะว่าบนร่างกายยังคงมีบาดแผลเล็กๆน้อยๆอยู่ บวกกับในตอนแรกที่เธอบอกกับศาสตราจารย์หร่วนว่าจะไปดูงานเป็นเวลาสี่วัน เธอก็ไม่กล้าที่จะไปเยี่ยมเยียนเขาที่โรงพยาบาล ก็เลยอยู่ที่คอนโดมิเนียมคนเดียวถึงสองวัน
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องกลับไปทำงานที่บริษัท เป็นเพราะว่าเรื่องเกี่ยวกับเรื่องสภาพร่างกายของเธอจึงทำให้ต้องจบการไปศึกษาดูงานก่อนกำหนด ตอนนี้ข่าวก็แพร่กระจายไปทั้งแผนกแล้ว คุณหลันก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากควากนัก แม้กระทั้งรายงานการไปดูงานยังไม่เรียกขอจากเธอเลย
ราวกับว่าการไปที่ประเทศไทยสองวันนั้น คล้ายกับความฝันไปก็ไม่ปาน เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป ก็ไม่ได้ทิ้งบาดแผลอะไรเอาไว้เลย
หร่วนซือซือหยิบแก้วน้ำขึ้นมา ก่อนจะเดินไปที่ห้องชงชา เสี่ยวห่านพุ่งเข้ามาหาทันที ก่อนจะแตะเข้าที่ฝ่ามือของเธอไปมา แล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า "ซือซือจ๊ะ เธอไม่ต้องเศร้ามากจนเกินไปนะ เรื่องนี้น่ะจะโทษเธอไม่ได้หรอก"
สมองของหร่วนซือซือขาวโพลน เดิมทีก็ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่ "เสี่ยวห่าน เธอพูดอะไรน่ะ?"
คนที่ถูกถามอย่างเสี่ยวห่านกลับสมองขาวโพลนด้วยเหมือนกัน เธอชะงักนิ่งไปสองวินาที ก่อนจะถามกลับไปว่า "หรือว่าเธอไม่ได้รู้สึกแย่หรือไงจ๊ะ?"
"รู้สึกแย่อะไรงั้นหรือจ๊ะ?"
เสี่ยวห่านเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า "ฉันได้ยินทุกคนพูดกันว่า เพราะว่าสภาพร่างกายของเธอไม่ค่อยแข็งแรงเลยทำให้เสียโอกาสในการไปศึกษาดูงานครั้งนี้อย่างไรล่ะจ๊ะ ก็เลยรู้สึกแย่……"
เมื่อฟังเธอเอ่ยขึ้นมาดังนั้นแล้ว หร่วนซือซือกลับไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเลย กลับกันกลับรู้สึกขบขันเล็กน้อย
เธอบอกตอนไหนว่าเธอรู้สึกแย่กันนะ ไม่รู้จริงๆว่าพวกเพื่อนร่วมงานซุบซิบเรื่องอะไรกันในแผนกถึงใส่สีตีไข่กันได้ขนาดนี้
หร่วนซือซือยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะหันไปยิ้มให้เสี่ยวห่าน "วางใจเถอะจ้ะ! ไม่เป็นไรหรอก ครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะพลาดไปแล้ว ครั้งหน้าก็คว้าโอกาสอื่นเอาไว้แทนก็ได้นี่จ๊ะ"
เธอพึ่งจะพูดจบประโยค หลังจากนั้นจึงหยิบแก้วชาขึ้นมาถือไว้แล้วเตรียมที่จะเดินจากไป แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเมื่อหันหลังกลับไปแล้ว ก็เห็นเมิ่งจื่อหันกำลังยืนอยู่ทางด้านหลังไม่ไกลนัก
นัยน์ตาของเมื่งจื่อหันฉายประกายดูถูกดูแคลนออกมา เห็นได้ชัดว่าได้ยินคำพูดที่เธอพึ่งจะพูดไปเมื่อครู่นี้แล้วแน่ๆ
"หร่วนซือซือ เกรงว่าเธอคงจะลืมเรื่องจริงบางอย่างไปนะ โอกาสไม่ได้มีแค่สำหรับเธอเพียงคนเดียว ครั้งนี้เป็นเพราะว่าเธอ ฝ่ายบริหารทั้งแผนกก็เลยพลาดโอกาสที่จะได้ไปศึกษาดูงานกันทั้งหมด เธอยังมีหน้ากล้าที่จะมาบอกว่ายังอีกโอกาสครั้งหน้าอีก เธอไปเอาความมั่นอกมั่นใจนั่นมาจากไหนกันนะ?"
ในประโยคของเธอแฝงไปด้วยความทิ่มแทง เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าจงใจมาหาเรื่องกัน หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆหนึ่งครั้ง ไม่ยอมที่จะเสวนากับเธอไปมากกว่านี้แล้ว ทำเพียงแค่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "โอกาสเป็นของทุกคน ครั้งนี้เป็นเพราะฉันคนเดียวจริงๆก็เลยพลอยทำให้ทุกคนต้องศูนย์เสียโอกาสในการไปศึกษาดูงาน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีความมั่นใจว่าจะไม่มีโอกาสอีกหรอกนะคะ"
เมื่อพูดจบ เธอก็สาวเท้ายาวเพื่อที่จะเดินจากไป เมื่อเดินผ่านเมิ่งจื่อหัน ทันใดนั้นเองก็ถูกแรงบางอย่างชนเข้าให้ เมื่อมือสั่นไหว น้ำร้อนในแก้วจึงหกกระจายออกมาทันที เละเต็มพื้นไปหมด
หร่วนซือซือขมวดคิ้วแน่น หมุนตัวกลับไปมองเมื่งจื่อหัน ภายในใจก่อนเกิดโทสะขึ้นมาทันที "เมิ่งจื่อหัน คุณทำอะไรน่ะ?"
จงในชนเธออย่างเห็นได้ชัดมากขนาดนี้ แถมยังทำต่อหน้าเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนด้วย เห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่สนใจเลยว่าคนอื่นจะมองว่าอย่างไร
"หร่วนซือซือ ฉันจะขอเตือนเธอเอาไว้สักประโยคนะ ไม่มีความสามารถนี้แล้ว ก็อย่าคิดนะว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องจริง ไม่อย่างนั้นแล้วจะมาเป็นภาระพวกเราทั้งหมด สุดท้ายแล้วทุกคนก็จะต้องกล่าวโทษเธอแน่"
เมิ่งจื่อหันทิ้งประโยคจบไป ก่อนจะหมุนตัว แล้วเดินจากไปด้วยท่าทางอวดดี
หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง หันศีรษะกลับไปมองเหล่าเพื่อนร่วมงานที่กำลังแอบมองดูอยู่ ภายในใจกลับรู้สึกราวกับว่ามีหินก้อนหนึ่งมากดทับไว้ก็ไม่ปาน ทับจนหายใจไม่ออก
ไม่มีใครเลยสักคนที่จะออกมาพูดแทนเธอเลยจริงๆ
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเมื่อครั้งที่เธอไปที่แผนกการเงินแล้วเสนอขออนุมัติเงินเรื่องนั้น ทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีทัศนคติต่อเธอแปรเปลี่ยนไป แต่ทว่าตอนนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับการถูกพูดจี้จุดเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ของตนเองเข้า ทุกคนก็ยังคงเลือกที่จะนิ่งเฉย
หร่วนซือซือขบเม้มริมฝีปากไปมา ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรจะพูด ไปหยิบไม้ถูพื้นมา หลังจากจัดการพื้นตรงหน้าให้สะอาดเรียบร้อยแล้ว จึงจะหยิบแก้วขึ้นมาแล้วเดินจากไป
ในเมื่อไม่มีคนมายืนอยู่เคียงข้างเธอเลย เธอก็ยังคงแข็งใจต่อไป ยังคงพยายามช่วงชิงเวลาและจะไม่ยอมถอยแน่
เมื่อกลับมายังห้องทำงานได้ไม่นานนัก เสี่ยวห่านก็มาส่งรายงานฉบับหนึ่ง "ซือซือจ๊ะ นี่คือเอกสารที่จะต้องไปส่งที่ห้องทำงานของท่านประธานจ้ะ"
"ได้จ้ะ ฉันขอตรวจสอบดูก่อนนะ หากไม่มีข้อผิดพลาดอะไร เดี๋ยวจะไปส่งให้นะจ๊ะ"
"ถ้าอย่างนั้นแล้วก็ฝากด้วยนะจ๊ะ"
หลังจากที่เสี่ยวห่านจากไปแล้ว หร่วนซือซือสบมองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนจะลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
วันนี้เธอพึ่งจะกลับมาทำงาน บวกกับที่พักรักษาตัวไปสองวัน ระยะเวลาที่กลับมาจากที่ประเทศไทยก็รวมๆสองสามวันมาแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้อวี้อี่มั่วกลับมาหรือยัง?
หลังจากที่เธอได้โทรศัพท์หาอวี้อี่มั่วในครั้งนั้นแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีกเลย ตอนนี้เธอต้องไปส่งเอกสาร ไม่ต้องพบเจอเขาจะเป็นการดีที่สุด
แต่ทว่าเรื่องราวกลับไม่เป็นดั่งที่หวังเอาไว้เลย หลังจากที่เธอตรวจสอบเอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พึ่งจะมาถึงห้องทำงานของท่านประธาน ก็เห็นอวี้อี่มั่วกับตู้เยี่ยเดินออกมาด้วยท่าทีเร่งรีบจากห้องประชุม
เธอรู้สึกประหม่าขึ้นอัตโนมัติ มือที่ถือเอกสารอยู่กำเข้าหากันแน่นขึ้น ก้มหน้าก้มตาก่อนจะเดินต่อไปทางด้านหน้า วางแผนไว้ว่าจะนำเอกสารไปส่งให้อันหร่านแล้วก็รีบกลับ
แต่ใครจะรู้ล่ะว่า เธอที่พึ่งจะมาถึงหน้าประตูของห้องเลขานุการ ก็ได้ยินเสียงของตู้เยี่ยจากทางด้านหลังดังขึ้นมาทันที
"คุณผู้ช่วยหร่วนครับ ท่านประธานอวี้ให้คุณไปพบที่ห้องทำงานหน่อยครู่หนึ่งครับ"
เมื่อหร่วนซือซือได้ยินดังนั้น ก็กัดฟันแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆแรงๆ แล้วจึงแสร้งทำท่าทางเป็นปกติแล้วหันหลังกลับไป พยักหน้าเบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า "ค่ะ"
เมื่อเดินตามเขาเข้าไปในห้องทำงานแล้ว ตู้เยี่ยไม่ได้มีท่าทีจะหยุดฝีเท้าลงเลย หลังจากที่วางของในมือลงแล้ว ก็หมุนตัวกลับออกไปอย่างรู้งาน แถมยังปิดประตูห้องทำงานให้พวกเขาทั้งสองคนด้วย
หร่วนซือซือพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเป็นการเป็นงานว่า "นี่คือเอกสารที่คุณต้องดูค่ะ"
พูดไป เดินก็สาวเท้าเข้าไปใกล้ ก่อนจะวางเอกสารลง
อวี้อี่มั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ สบมองสีหน้าเย็นชาของหญิงสาว
อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่นออกมา
ไม่เจอกันไม่กี่วัน เธอกลับแปรเปลี่ยนไปห่างเหินมากขนาดนี้
นัยน์ตาเป็นประกายแวววับขึ้นมาทันที อวี้อี่มั่วเอนตัวไปทางด้านหลัง พิงเข้ากับพนักพิง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบขึ้นว่า "ร่างกายดีขึ้นหน่อยแล้วหรือยัง?"
เมื่อประจันหน้ากับเขาแถมยังถูกยิงคำถามขึ้นมากระทันหันแบบนี้ หร่วนซือซือลังเลไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปว่า "ดีขึ้นแล้วค่ะ"
เมื่อพูดประโยคนั้นออกไปแล้ว เธอนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ"
ตอนนี้เมื่อเธอเห็นอวี้อี่มั่ว ก็หวนนึกถึงโทรศัพท์สายนั้นที่ซูหลินรับสายขึ้นมาในทันที ภายในใจรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นเธอตั้งท่าหมุนตัวจะเดินจากไป สีหน้าของอวี้อี่มั่วฉายความไม่สบอารมณ์ออกมา ก่อนจะเอ่ยเรียกเธอให้หยุดเอาไว้ด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก "ใครให้เธอไป?"
ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน เธอก็เปลี่ยนไปนิ่งเฉยมากขนาดนี้ เกรงว่าเธอคงจะจำไม่ได้แล้วสินะว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอนั้นได้ซุกอยู่ในอ้อมแขนอ้อนขอไออุ่นจากเขาในตอนนั้นใช่ไหม?
เขาไม่เคยพบไม่เคยเจอผู้หญิงที่ไร้ความรู้สึกขนาดนี้มาก่อน
หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้าปอด หมุนตัวกลับมาก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า "ท่านประธานอวี้มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าคะ?"
อวี้อี่มั่วเปิดลิ้นชักหยิบนามบัตรหนึ่งใบขึ้นมา ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่เอ่ยขึ้นว่า "เบอร์โทรศัพท์ที่เธออยากได้"
เมื่อหร่วนซือซือได้ยินดังนั้น นัยน์ตาฉายแวววับเป็นประกายทันที ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง แล้วสาวเท้าก้าวเข้าไปหา
ครั้งที่แล้วที่อวี่อี่มั่วอยู่ที่ประเทศไทย ในตอนนั้นเขาตอบตกลงแล้วว่าจะนำช่องทางการติดต่อของหัวหน้าแผนกเฝิงให้กับเธอ เดิมทีบอกว่าจะให้ตู้เยี่ยนำมาให้เธอ แต่ทว่าผ่านมาสองสามวันแล้วเธอกลับยังไม่ได้รับ
เมื่อสบมองนามบัตรที่อยู่บนโต๊ะ หร่วนซือซือรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า "ขอบคุณค่ะ"
พูดไป เธอก็ยื่นมือไปหยิบนามบัตรใบนั้นไปพลาง
แต่ใครจะรู้ล่ะว่ายังไม่ทันที่จะได้หยิบขึ้นมา นามบัตรใบนั้น ก็ถูกปลายนิ้วเรียวยาวกดทับเอาไว้เสียแล้ว
หร่วนซือซือช้อนสายตาขึ้นสบมอง ประจวบเหมาะสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำขลับคู่นั้นของอวี้อี่มั่วเข้าพอดี หัวใจกระตุกวูบอย่างรวดเร็ว
เธอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า "คุณ……"
ดวงตาของชายหนุ่มหรี่เล็กลง คล้ายกับว่ามองเธอจนแทบจะทะลุปรุโปร่งก็ไม่ปาน
ในที่สุด ริมฝีปากของเขาก็ขยับขึ้น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบขึ้นว่า "หร่วนซือซือ ฉันสัมผัสไม่ได้ถึงความจริงใจของเธอเลยนะ"
เมื่อเขายกนามบัตรขึ้น เธอถึงมีปฏิกิริยาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ช่วงเวลาที่เหลือหลังจากนั้นก็ทำเพียงแค่มีท่าทีเย็นชาใส่เขา
เธอลืมข้าวแดงแกงร้อนที่เคยกินมาแล้วอย่างงั้นหรือ?
MANGA DISCUSSION