ดั่งรักบันดาล - ตอนที่ 161
เมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้นของหร่วนซือซือ อวี้อี่มั่วจึงเรียกสติกลับคืนมาได้
เธอคงไม่ใช่กำลังคิดว่าเขาและซูหลิงมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กันใช่หรือไม่ ?
เมื่อทราบทะลุไปถึงความหมายที่อยู่ในคำพูดของเธอออกแล้ว อวี้อี่มั่วกลับรู้สึกว่าน่าขันเสียจริง คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนหว่านเอ๋อเช่นนี้
หลังจากที่ตกตะลึงไปหลายนาทีแล้ว อวี้อี่มั่วจึงกระตุกริมฝีปากเล็กน้อย แววตาบนใบหน้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากมายนัก ทว่าอารมณ์กลับมีความปีติขึ้นมามากเนื่องจากการตอบสนองของเธอ การที่เธอเป็นเช่นนี้มันน่าสนใจดี
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานานพอสมควร เขาจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยแววตาแน่นิ่ง “พูดมาเถอะ ที่คุณมาหาผมมีธุระอะไร ?”
วันปกติเมื่อหร่วนซือซือเจอหน้าเขาที่บริษัทนั้น เธอมีความต้องการที่จะหลบหน้าเขาเต็มทน ทว่าบัดนี้กลับมาหาเขาที่ห้องทำงานด้วยตนเองเช่นนี้ จะต้องมีธุระอันใดเป็นแน่แท้
ทว่าหร่วนซือซือมีความโมโหจุกอยู่ในใจ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการที่จะสนทนากับเขาต่อไปแต่อย่างใด จึงได้เอ่ยขึ้นมาอย่างเย็นชา “ไม่มีอะไรค่ะ”
สิ้นเสียงเธอก็เตรียมจะออกไปข้างนอก ช่วงเวลาขณะที่กำลังกลับหลังหันนั้น เธอขยับปาก จากนั้นระหว่างฟันก็มีน้ำเสียงที่ฟังไม่ค่อยชัดเจนดังขึ้นมา “ชายชั่ว……”
แม้ว่าน้ำเสียงนั้นจะทั้งเบาและเลือนราง ทว่าอวี้อี่มั่วยังคงฟังออกอยู่ดี นัยน์ตาของเขามีแสงแวบผ่านไป และริมฝีปากอันเรียวบางนั้นก็ขยับ “หยุดก่อน”
เธอกล้าพูดว่าเขาคือชายชั่วเช่นนั้นหรือ ? บังอาจนัก !
อวี้อี่มั่วรู้สึกโมโหและน่าขัน เขาลุกขึ้นทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พร้อมสาวเท้ายาว ๆ เดินเข้ามาหาเธอ
หร่วนซือซือรู้สึกตกตะลึง แอบตะโกนอยู่ในใจว่าแย่แล้ว
คิดไม่ถึงว่า การที่เธอด่าทอเขาไปลับหลังยังถูกเขาได้ยินเข้าเช่นนี้ !
แถมเธอยังตั้งใจในการควบคุมความดังของเสียงแล้ว ปกติจะไม่ได้ยินแต่อย่างใด เขาเป็นคนปกติอยู่หรือไม่ ?
หร่วนซือซือไม่ทราบโดยปริยาย ว่าระดับความไวต่อการตอบสนองของประสาทสัมผัสทั้งห้าของอวี้อี่มั่วนั้นเหนือกว่าคนธรรมดาเยอะมาก อย่าว่าแต่เพียงหนึ่งคำพูดเลย ต่อให้เป็นการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนที่สุดเขาก็สามารถสัมผัสมันได้
หร่วนซือซือหยุดชะงัก ร่างกายแข็งทื่อ ถ้าหากเธอถูกอวี้อี่มั่วจับได้เช่นนี้ เกรงว่าคงต้องโดนลงโทษแสนสาหัสเป็นแน่ !
รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง !
เธอกัดฟันแน่น แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น จากนั้นก็สาวเท้ามุ่งไปยังด้านนอกต่อ
ทว่ามือเพิ่งจะจับลูกบิดประตูแล้วแง้มประตูออกเป็นช่องเล็ก ๆ เท่านั้น วินาทีต่อมาก็มีมือที่ข้อนิ้วชัดเจน เรียวยาวขาวผ่องยื่นเข้ามา พร้อมปิดประตูลงทันที จากนั้นก็ผลักเธอไว้กับประตู
หร่วนซือซือตกตะลึงไปทันควัน จนเกือบจะร้องตะโกนออกมา เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาก็เผชิญหน้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มในระยะประชิดทันที แววตาอันสงบนิ่งมองไม่ออกถึงอารมณ์ใด ๆ ทว่าใบหน้าที่ไร้อารมณ์นั้นยังคงสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติเช่นเคย
เธอเกร็งลำคอแน่น พยายามทำสีหน้าแน่วแน่ “มีอะไรคะ ?”
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้ว น้ำเสียงที่เปล่งออกมามีความทุ้มต่ำราวกับมีความหนัก “หร่วนซือซือ เมื่อครู่คุณพูดอะไร ?”
แนวกรามหยิ่งผยองของเขาเกร็งขึ้นเล็กน้อย พูดราวกับกัดฟันเล็กน้อย “พูดอีกทีซิ”
เมื่อเห็นดวงตาอันลึกมืดดำสนิทคู่นั้นของชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า หร่วนซือซือไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง แววตาของเธอเลื่อนลอยทันใด “ฉันไม่ได้พูดอะไรนี่คะ……”
หากเธอยอมรับไปเสียโดยตรง เกรงว่าอวี้อี่มั่วคงจะทำให้เธอตายอย่างน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่งเป็นแน่ !
บนใบหน้าของเธอปฏิเสธอย่างแน่วแน่ ทว่าภายในจิตใจกลับนึกเสียใจอย่างหน้าชา !
ด่าทอเขาไม่ดีที่ไหน ขอแค่ออกจากประตูบานนี้ไป ไม่ว่าเธอจะด่าไปหนึ่งพันหนึ่งหมื่นรอบก็ไม่เป็นไร แต่ดันหลุดปากออกมาโดยอดไม่ได้เสียนี่ แถมยังถูกเขาได้ยินเข้าเสียแล้ว นี่เธอเบื่อหน่ายกับชีวิตแล้วหรืออย่างไร ?
เมื่อเห็นหญิงสาวเบื้องหน้าเปลี่ยนสีหน้าอย่างเร็วไว อวี้อี่มั่วจึงรู้สึกน่าขันยิ่งขึ้น ทั้งที่เธอหวาดกลัวเขาแท้ ๆ ครั้นเมื่อสักครู่กลับอ้าปากด่าทอเขา ช่างเป็นต้นแบบของผู้ที่ทั้งดุร้ายทั้งขี้ขลาดเสียจริง
เขายื่นมือมา จากนั้นก็บีบคางของหร่วนซือซือ ใช้แรงเล็กน้อยเพื่อบังคับให้เธอสบสายตากับตนเอง เวลาต่อมาริมฝีปากอันบางก็เปิดออก “คำพูดเมื่อกี้ พูดอีกทีซิ”
ในครานี้ หร่วนซือซือจะกล้าพูดที่ไหนกัน ทำได้เพียงสูดลมหายใจเข้าลึกและแสร้งทำเป็นใสซื่อบริสุทธิ์พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ฉัน…ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นค่ะ”
อวี้อี่มั่วได้ยินดังนั้นจึงยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย นิ้วโป้งชูขึ้นมา พร้อมปาดไปยังริมฝีปากอันแดงก่ำและอ่อนนุ่มของเธอ จากนั้นก็จงใจโน้มตัวลงมาใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น “แต่เมื่อกี้ผมได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง”
ลมหายใจอันสดชื่นของชายหนุ่มลอยเข้ามา หร่วนซือซือใจเต้นระรัว ไม่กล้าที่จะไปสบสายตากับเขาและไม่กล้าตอบกลับไปแม้แต่แอะเดียว นิ้วมืออันหยาบพร้อมปูดขึ้นของเขาเมื่อปาดริมฝีปากของเธอ ทำให้เธอขนลุกซู่จนตัวสั่นเทา
สายตาของอวี้อี่มั่วดิ่งลง จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างไม่รีบร้อนและไม่เชื่องช้า “ไม่พูดใช่ไหม ?”
หร่วนซือซือไม่ทราบว่าควรจะตอบกลับเช่นไรดี รู้สึกกระวนกระวายภายในใจอย่างถึงที่สุด เวลาปูนนี้แล้วเธอเป็นเหมือนเนื้อปลาที่อยู่บนเขียงยอมให้คนอื่นมาหั่นตามใจชอบนี่นา ไม่ว่าจะตอบหรือไม่ตอบก็ไม่มีจุดจบที่ดีอันใด !
และในขณะนั้นเอง อยู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
“ปัง ปัง ปัง !”
เสียงแรงสั่นสะเทือนกระทบอยู่บนบานประตู หร่วนซือซือกำลังแนบอยู่บนประตูอยู่พอดี จึงตกใจจนตัวสั่น สีหน้าก็ซีดเซียวเป็นอย่างมาก
วินาทีต่อมา เสียงของตู้เยี่ยก็ดังเข้ามา “ประธานอวี้ครับ ซูอวี้เฉิงมาแล้วครับ ผมให้เขารออยู่ที่ห้องรับแขกเรียบร้อยแล้วครับ”
อวี้อี่มั่วได้ยินดังนั้น จึงตอบกลับไปทันทีโดยไม่ลังเลใด ๆ แม้แต่น้อย “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
เขาพูดพลางก้มหน้ามองผู้หญิงที่ถูกตนดันไว้บนกำแพงจนขยับตัวไม่ได้ แววตาแวบแสงอันมืดมิดเข้ามา เขากระตุกมุมปากพร้อมโน้มตัวเข้าไปกระซิบเสียงเบาข้างใบหูของเธอ “บัญชีนี้ พวกเราค่อยมาสะสางกันทีหลังนะ”
เขาไม่รีบร้อนแต่อย่างใด ถึงอย่างไรก็มีเวลาอีกมาก
สิ้นเสียง เขาจึงคลายเธอออกพร้อมเปิดประตูสาวเท้ายาว ๆ เดินออกไปทันที
หร่วนซือซือยืนอึ้งอยู่กับที่ ในหูสะท้อนคำพูดเมื่อสักครู่นี้ของชายหนุ่มอยู่ เธอสูดหายใจเข้าลึกรัว ๆ เพื่อทำให้อารมณ์สงบนิ่ง
ทั้งที่เขาหว่านเสน่ห์ไปทั่วแถมยังขี้หลอกลวงอีก เหตุใดจึงทำราวกับเธอเป็นผู้ที่กระทำความผิดเช่นนั้น ?
หร่วนซือซือฉุนเฉียวกับการตอบสนองของตนเองเมื่อสักครู่นี้เล็กน้อย เธอจึงส่ายหัวเพื่อสงบสติอารมณ์ลง จากนั้นค่อยเดินออกจากห้องทำงานไป
เพิ่งจะเดินได้ไม่กี่ก้าว อยู่ ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ถึงจุดมุ่งหมายที่ตนมาหาอวี้อี่มั่ว เธอมาเพื่อต้องการช่องทางการติดต่อของผู้จัดการเฝิง ทว่าดันไปเจอเรื่องย่ำแย่ เลยลืมไปเสียหมด !
หร่วนซือซือส่ายหน้าอย่างเอือมละอา ช่วยไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงไปรับประทานอาหารก่อน
ระหว่างเวลาว่างของการรับประทานอาหารนั้น อยู่ ๆ ก็มีสายโทรศัพท์จากซ่งอวิ้นอันโทรเข้ามา
เมื่อรับสายโทรศัพท์ หร่วนซือซือก็ได้ยินน้ำเสียงอันมีชีวิตชีวาของซ่งอวิ้นอัน “ฮัลโหลซือซือ สุดสัปดาห์นี้พวกเราออกไปเที่ยวกันไหม ?”
“อันอัน เกรงว่าจะไม่ได้น่ะ อีกสองวันฉันจะต้องไปทำงานต่างถิ่นที่ประเทศไทย”
ซ่งอวิ้นอันโศกเศร้าเล็กน้อย จึงถามขึ้น “ไปทำงานต่างถิ่นที่ประเทศไทย ? ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงเลย ?”
หร่วนซือซือยิ้มขึ้นมา เธอฟังออกถึงความเศร้าใจในน้ำเสียงของเพื่อน จึงได้ปริปากพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “เพิ่งจะยืนยันช่วงนี้เอง ไปแค่สามสี่วันเอง รอฉันกลับมานะ ถึงตอนนั้นค่อยไปเที่ยวกัน”
ซ่งอวิ้นอันได้ยินดังนั้น จึงทำได้เพียงเอ่ยขึ้นอย่างคลายความโกรธเคือง “ก็ได้ ถ้างั้นฉันจะรอเธอกลับมาแล้วค่อยว่ากัน”
หลังจากที่วางสายโทรศัพท์ ซ่งอวิ้นอันได้หันหน้ามองไปยังผู้ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็พูดขึ้นมาพร้อมเบ้ปาก “ได้ยินหรือยัง ? คนเขาไม่มีเวลา จะมาโทษฉันไม่ได้นะ!”
เมื่อซ่งเย้อันได้ยินดังนั้น จึงฉีกมุมปากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ไม่เป็นไร รอให้เขากลับมาค่อยว่ากัน”
ในที่สุดซ่งอวิ้นอันก็ทนดูต่อไม่ไหวแล้ว จึงได้ยกมือขึ้นมาตบไปยังไหล่ของเขาน้ำหนักไม่เบาและไม่แรง “เฮ้อ พี่ ทำไมฉันไม่เคยรู้เลยว่าพี่ก็มีช่วงที่ขี้ขลาดด้วย ?”
ปกติแล้วเรื่องในชีวิตประจำวันหรือการงานเขาก็มักจะจัดการอย่างเด็ดขาด ทว่าขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหร่วนซือซือ เขาก็ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น
แม้แต่นัดคนออกมาก็ยังต้องให้น้องสาวอย่างเธอออกโรงเอง !
ซ่งเย้อันได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้โมโห เขายกมุมปากขึ้นมา เงียบงันไม่ได้ตอบอันใด
เขามีการพิจารณาของเขาเอง ยอมที่จะทำให้ความคืบหน้าช้าสักหน่อย แต่ไม่ยอมที่จะทำร้ายเธอ เมื่อดูจากเรื่องราวครั้งที่แล้วของหร่วนซือซือและอวี้อี่มั่วนั้น เขามองออกว่าเธอเคยได้รับความเจ็บปวด ดังนั้นเขาจึงไม่อยากที่จะทำให้เธอเสียขวัญ
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนต้องค่อย ๆ พัฒนาไปอย่างช้า ๆ น้ำมาคลองก็เกิด นี่ก็คือวิธีที่เขาคิดว่าดีที่สุดแล้ว