เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หร่วนซือซือก็ขมวดคิ้ว และเธอก็ก้าวเข้าไปบังอยู่ตรงหน้าเสี่ยวหาน เธอยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณบอกทุกคนว่า " ทุกคนเงียบกันก่อน อย่าพึ่งกังวลไป พวกเราต้องลองไปถามถึงสถานการณ์ก่อนว่ามันเป็นมายังไง "
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้ทะเลาะกันจนหลังคาเป็นรูก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาได้หรอก
พอเธอพูดออกไปแบบนั้น ทุกคนก็ค่อยๆเงียบสงบลง และในที่สุดทุกคนก็เงียบลง
หร่วนซือซือมองไปที่เสี่ยวหานและถามขึ้นว่า " เสี่ยวหาน ทำไมฝ่ายการเงินถึงไม่ยอมเซ็นอนุมัติ พวกเขาได้ให้เหตุผลรึเปล่า? "
เสี่ยวหานกำเอกสารในมือไว้แน่นแล้วพูดว่า " พวกเขาบอกว่าเอกสารเราไม่ครบสมบูรณ์ "
เพื่อนร่วมงานที่ใจร้อนที่ยืนอยู่ข้างๆแย่งเอกสารจากในมือเสี่ยวหานไปดู พอเธอดูเสร็จหนึ่งรอบเธอก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า " ทำไมจะไม่ครบ? เมื่อเดือนที่แล้วก็ใช้เอกสารชุดนี้เหมือนกันพวกเขายังเซ็นอนุมัติให้เลย แล้วทำไมคราวนี้ถึงไม่ยอมเซ็นให้? "
เพื่อนร่วมงานทุกคนต่างก็เอาไปดูและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า " จริงด้วย ก่อนหน้านี้ฉันก็ยื่นเรื่องด้วยเอกสารแบบนี้นะ! "
หร่วนซือซือลองเอามาดูอย่างละเอียด เธอเองก็ไม่เข้าใจ ปกติก็ใช้เอกสารชุดนี้ยื่นนี่นา ก็ไม่ได้มีตรงไหนผิดพลาดนะ
" ฉันว่านะฝ่ายการเงินต้องจงใจหาเรื่องเราชัดๆ คงไม่อยากให้เราได้โบนัสประจำไตรมาสสินะ! "
" ไปดูกัน! พวกเราทุกคนไปถามเหตุผลจากฝ่ายการเงินกันว่าทำไมถึงไม่เซ็นอนุมัติให้พวกเขา! "
"……"
พอมีคำพูดแบบนี้ เพื่อนร่วมงานทุกคนก็เห็นด้วยและลุกขึ้นพร้อมที่จะพุ่งชนไปข้างหน้า
หร่วนซือซือเห็นว่าสถานการณ์มันไม่สมควร เธอขมวดคิ้วและรีบเดินขึ้นไปขวางพวกเขาไว้ " พวกเธออย่าพึ่งใจร้อน! "
ถ้าพวกเขาจะพุ่งเข้าไปหาเรื่องเพราะเหตุผลนี้จริงๆ มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ได้ อีกอย่างบริษัทก็มีข้อห้ามไม่ให้พนักงานระหว่างแผนกทะเลาะหรือเกิดความขัดแย้งกัน เพราะว่ามันจะไม่ส่งผลดีต่อการทำงานในอนาคต!
" เดิมทีทั้งๆที่เป็นความผิดของฝ่ายการเงิน แต่ถ้าเราพุ่งเข้าไปหาเรื่องพวกเขาแบบนี้ เราจะกลายเป็นฝ่ายผิดได้นะ "
หร่วนซือซือพูดออกไปเสียงดัง เพื่อนร่วมงานต่างก็เงียบและหยุดคิดตาม
มีคนหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า " แต่ถ้าจะให้เราอยู่เฉยๆแล้วปล่อยให้ฝ่ายการเงินมารังแกและกลั่นแกล้งเราแบบนี้ เราทนไม่ได้หรอกนะ! "
หร่วนซือซือขบกราม และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า " แต่ถึงจะเข้าไปหาเรื่องก็ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาอะไรได้หรอกนะ ถ้าคุณหลานอยู่ที่นี่ด้วยทุกคนคิดว่าคุณหลานจะเห็นด้วยงั้นหรอ? "
พอเอ่ยถึงคุณหลาน ทุกคนต่างก็เงียบ
ตอนนี้คุณหลานก็ไม่ได้อยู่บริษัท เพื่อนร่วมงานในแผนกก็ไม่ค่อยสบายใจกันอยู่แล้ว พอเจอเรื่องแบบนี้อีกก็ทำให้พวกเธออารมณ์ขึ้นและโกรธได้ง่าย
พอเห็นว่าทุกคนต่างก็เงียบ หร่วนซือซือก็สูดหายใจเข้าลึกๆและพูดต่อว่า " ในเวลานี้เราควรจะส่งตัวแทนแผนกเพื่อนไปหารือกับฝ่ายการเงินก่อน ถามเหตุผลพวกเขาว่าทำไมไม่เซ็นอนุมัติเงินให้เรา ถ้าความผิดพลาดเกิดจากฝ่ายเราจริงๆเราก็จะรีบแก้ไขให้เร็วที่สุด "
ทันทีที่พูดแบบนี้ออกไป เพื่อนร่วมงานก็พยักหน้าเห็นด้วย
เพื่อนร่วมงานที่สนิทกับเมิ่งจื่อหันก็พูดเสนอขึ้นว่า " พี่จื่อหัน พี่ลองไปคุยกับพวกเขาหน่อยไหม? "
" ใช่ ผู้ช่วยเมิ่ง คุณลองไปถามหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น? "
เมิ่งจื่อหันที่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มผู้คนจู่ๆก็ถูกเรียกชื่อขึ้น สีหน้าของเธอไม่พอใจ เธอเหลือบมองหร่วนซือซือแวบหนึ่ง เธอก้มหน้าและยกมือขึ้นมาดูเล็บที่เธอพึ่งไปทำมาอย่างไม่แยแส และเธอก็พูดขึ้นอย่างสบายใจว่า " ฉันจะไปทำไม? ฝ่ายการเงินไม่ได้จงใจหาเรื่องฉันสักหน่อย? "
เธอพูดพร้อมกับทำหน้าไม่สนโลกและเดินจากไป
ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง และไม่มีใครเข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่อ
หร่วนซือซือก็งงเช่นกัน แต่ว่าเห็นได้ชัดว่าเมื่อกี้เมิ่งจื่อหันมองมาทางเธอนะ หรือว่าเรื่องนี้มันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ?
ทันใดนั้น ก็มีเรื่องหนึ่งผ่านแวบเข้ามาในหัว ครั้งที่แล้วที่มีพนักงานสองคนคุยกันว่าเฉิงลู่เป็นหลานสาวของเฉิงเหยียนผู้จัดการฝ่ายการเงิน
หรือว่า เฉิงเหยียนจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งที่ผ่านมาแล้ว ก็เลยใช้หน้าที่การงานของเขามากดดันแผนกบริหาร แต่ที่จริงแล้วคือเขาจงใจหาเรื่องเธอ?
ความคาดเดานี้ของเธอผ่านเข้ามาในหัวและผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธอไม่มีเวลามาคิดทบทวนอะไรมาก ในเวลานี้ถ้าเมิ่งจื่อหันไม่เต็มใจที่จะออกหน้า ก็คงต้องเป็นเธอที่ต้องอาสาเป็นตัวแทนของแผนกไปคุยเรื่องนี้ให้รู้เรื่อง
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และมองไปที่เพื่อนร่วมงานที่ไม่มีเจ้านายอยู่ด้วยในตอนนี้ เธอจึงพูดขึ้นว่า " ฉันไปเอง ทุกคนทำงานกันต่อได้เลย ถ้าได้เรื่องยังไงฉันจะมาบอกทุกคนนะ "
พอทุกคนได้ยินว่าเธอเต็มใจไป ทุกคนต่างก็โล่งอก เสี่ยวหานลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาว่า " ซือซือ ให้ฉันไปกับเธอไหม? "
หร่วนซือซือยิ้มปลอบใจเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆว่า " ไม่เป็นไร ฉันไปคนเดียวก็พอแล้ว เธอพักเถอะ "
เรื่องแบบนี้ ไม่ได้สำคัญว่าคนจะไปเยอะหรือน้อย
พอพูดเสร็จ เธอก็ขอเอกสารจากมือเสี่ยวหานมา ออกจากแผนกและมุ่งหน้าไปที่แผนกการเงิน
พอมาถึงแผนกการเงิน เธอเคาะประตูและตรงไปทีไปที่ห้องทำงานของผู้จัดการแผนกเพื่อถามถึงความเป็นมา " ผู้จัดการเฝิง ฉันคือเสี่ยวหร่วนจากแผนกบริหาร ฉันมีเรื่องอยากจะถามว่า……"
เธอยังไม่ทันพูดจบ ผู้จัดการเฝิงก็ยกมือขึ้นโบกไปมาด้วยสรหน้าที่ไร้ความปรานีสุดๆ " มายื่นเอกสารเรื่องการเงินใช่ไหม? ก็ฉันบอกไม่แล้วไม่ใช่หรอว่าเอกสารไม่ครบ? ฉันเซ็นอนุมัติให้ไม่ได้ "
หร่วนซือซือมองไปที่ท่าทีที่ร้อนรนของผู้จัดการเฝิง และก้มมองเอกสารในมือตัวเอง เธอหายใจเข้าลึกๆและพูดอย่างใจเย็น " ก่อนหน้านี้แผนกของเราก็ยื่นเรื่องด้วยเอกสารแบบนี้ และไม่เคยมีเหตุการณ์ที่เอกสารไม่ครบเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำไมคราวนี้ถึงยื่นเรื่องไม่ผ่านได้ละคะ? "
ผู้จัดการเฝิงเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า " เพราะว่าก่อนหน้านี้ปล่อยปะละเลยเกินไป ตอนนี้มีกฎออกมาใหม่ว่าเอกสานจำเป็นต้องครบจริงๆ เพราะไม่อย่างนั้นถ้ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจะให้ทางเราอธิบายกับผู้นำระดับสูงของบริษัทยังไง ?"
หร่วนซือซือกัดฟันตัวเอง และถามต่อว่า " แต่ทำไมถึงได้เซ็นอนุมัติให้ฝ่ายการตลาดได้ แต่ฝ่ายบริหารของเราทำไมถึงไม่……"
สีหน้าผู้จัดการเฝิงไม่พอใจ และเขาก็พูดอย่างไม่มีความปรานี " แผนกบริหารก็คือแผนกบริหาร พวกเธอก็คือพวกเธอ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเธอไม่มีแม้แต่ลายเซ็นของผู้จัดการประจำแผนก เธอจะให้ฉันเซ็นอนุมัติได้ยังไงกัน? "
หร่วนซือซือมองดูท่าทางที่ดื้อรั้นของผู้จัดการเฝิง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ยอมเซ็นอนุมัติให้แน่ๆ เธอก็ขมวดคิ้วและรู้สึกว่าเรื่องนี้เหมือนมีเงื่อนงำบางอย่าง
ที่ผ่านมาถึงจะมีปัญหาเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นก็จริง แต่ทั้งสองแผนกต่างก็ถอยกันคนละก้าว แต่ครั้งนี้การกระทำของฝ่ายการเงินแน่วแน่และมั่นใจมากขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่คิดมาก
หรือว่าเฉิงเหยียนจะมีคำสั่งให้ผู้จัดการเฝิงกดดันแผนกพวกเธอจริงๆ?
หร่วนซือซือขบกรามตัวเอง และไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ผู้จัดเฝิงก็ยกมือโบกไปมาและพูดทิ้งท้ายว่า " ผู้จัดการประจำแผนกเธอกลับมาเมื่อไหร่เธอค่อยมาอีกรอบแล้วกันนะ! "
การไปทำงานนอกพื้นที่ของคุณหลานในครั้งนี้ต้องใช้เวลานานหลายวัน คงกลับมาเร็วๆนี้ไม่ได้แน่ๆ ถ้าเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้การยื่นเรื่องเอกสารเกิดความล่าช้าจริงๆแล้วพวกเธอทำโครงการที่วางแผนไว้ไม่สำเร็จ โบนัสประจำไตรมาสนี้ก็ต้องลอยหายไปกับตาแน่ๆ
หร่วนซือซือมองไปที่ผู้จัดการเฝิงและพูดเน้นย้ำทีละคำว่า " ผู้จัดการเฝิง คุณเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าถ้าในเวลานี้คุณไม่ยอมเซ็นอนุมัติให้กับแผนกเรา โครงการที่แผนกเราวางแผนไว้ก็จะทำไม่สำเร็จ โครงการของเราในครั้งนี้มันมีผลต่อโบนัส คุณลองคิดดูนะ คนที่แผนกตั้งหลายคน ถ้าพวกเขาไม่ได้รับเงินโบนัส พวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจได้ "
" ไม่พอใจก็ไม่พอใจไปสิ มันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยหรอ? "
หร่วนซือซือสูดหายใจเข้าลึกๆและเดินเข้าไปใกล้เขา สายตาทั้งคู่ของเธอจ้องหน้าเขาอย่างไม่กระพริบตา " ทุกคนต่างก็ทำงานหนักมานานหลายเดือน ก็เพราะมุ่งหวังกับเงินโบนัสก้อนนี้ ถ้าฉันกลับไปบอกพวกเขาว่าเงินลงทุนโครงการก้อนนี้ฝ่ายการเงินไม่ยอมเซ็นอนุมัติให้ ไม่แน่นะอาจจะมีคนยื่นเรื่องร้องเรียนกับท่านประธานบริษัทก็เป็นได้ ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา แน่นอนว่าประธานอวี้ต้องส่งคนมาตรวจสอบแน่นอน ซึ่งมันจะส่งผลต่อแผนกการเงินแน่ๆ และไม่แน่นะอาจจะส่งผลต่อเงินโบนัสของพวกคุณด้วย "
ผู้จัดการเฝิงไม่คาดคิดว่าหร่วนซือซือจะเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เขาขมวดคิ้วและถามกลับไปว่า " เธอกำลังขู่ฉันงั้นหรอ? "
หร่วนซือซือยกยิ้มมุมปาก และพูดอย่างมั่นใจว่า " ไม่ได้เป็นการข่มขู่หรอกค่ะ เพียงแต่ว่าฉันหวังว่าผู้จัดการเฝิงจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกคน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นในโค้งสุดท้ายของการทำโครงการแบบนี้ ฉันเกรงว่าความสูญเสียงคงไม่ได้เกิดขึ้นกับแผนกการเงินอย่างเดียวแน่ๆ "
ผู้จัดการเฝิงไม่ใช่คนโง่ เมื่อได้ฟังหร่วนซือซือพูดแบบนี้เขาก็รู้ทันทีเลยว่าหร่วนซือซือไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่ เขาเองก็ไม่กล้าเอาเงินโบนัสประจำไตรมาสของคนทั้งแผนกมาเป็นเดิมพัน ถึงแม้ว่าจะเป็นคำสั่งของเฉิงเหยียนผู้เป็นหัวหน้าเขาอีกที แต่ว่าในเวลาแบบนี้ เขาก็พิจารณาเองได้ว่าเรื่องไหนสำคัญกว่ากัน
พอเห็นว่าท่าทางที่ดื้อรั้นของผู้จัดการเฝิงเริ่มอ่อนลงบ้างแล้ว หร่วนซือซือก็ยื่นเอกสารในมือของตัวเองให้เขา และยิ้มให้เขา " เรื่องนี้ต้องรบกวนผู้จัดการเฝิงด้วยนะคะ "
MANGA DISCUSSION