ซ้อจำเป็น - ตอนที่ 12
“โต๊ะของคุณคับฟ้าอยู่ทางด้านนี้ครับ ท่านประธานสั่งจัดเตรียมโต๊ะทำงานใหม่ยกเซตไว้สำหรับคุณคับฟ้าโดยเฉพาะ”
ผมเดินตามหลังคุณปริชญ์มาในห้องออฟฟิศขนาดกลางที่มีโต๊ะพนักงานจัดวางอยู่ด้านในห้องนี้ห้าโต๊ะ ซึ่งทุกโต๊ะจะจัดให้หันเข้าหากันคล้ายสี่เหลี่ยมตามขอบผนังห้อง ส่วนโต๊ะของผมจะอยู่ฝั่งกระจกใสยาวทำให้มองเห็นวิวตึกสูงของชั้นยี่สิบเป็นอย่างดี ผมยิ้มให้กับคุณปริชญ์เล็กน้อยแล้วตรงไปนั่งโต๊ะทำงานตัวเองที่ถูกเนรมิตใหม่ตามคำบอกกล่าวของบุคคลที่มีศักดิ์เป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดทีมผม
“พวกคุณช่วยดูแลคุณคับฟ้าด้วยล่ะ ผมมีเข้าประชุมช่วงเช้า ถ้าหากมีปัญหาอะไร…”
คุณปริชญ์หันไปพูดกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น กวาดสายตามองทุกคนแล้วยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์โทรศัพท์ใส่หูพร้อมกระเดาะปากขยิบตาให้หนึ่งทีแล้วหันหลังเดินออกไปจากห้อง ผมอึ้งเล็กน้อยเมื่อตัวตนของหัวหน้าทีมผมช่างตลกขบขันไม่น้อย
“คุณปริชญ์เขาเป็นคนอย่างนี้ตลอด มีหัวหน้าเหมือนมีตัวตลกคาเฟ่มาเล่นให้ดูทุกวัน”
ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวไม่ผอมแห้งแต่กลับมีน้ำมีนวลดูสุขภาพดีเดินเข้ามานั่งบนโต๊ะทำงานของผมเอย่างเนียน ๆ แถมยังวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะให้ผมอีกต่างหาก
“ดูท่าทางคุณจะชอบดื่มกาแฟมากนะครับ เจอกันสองครั้งก็ซื้อกาแฟให้ผมทุกรอบเลย”
ผมหลุบต่ำมองลงไปที่แก้วกาแฟสีขาวและระบายยิ้มอ่อน ๆ ออกมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของแก้วใบนี้ที่อุตส่าห์ลงทุนซื้อมาให้ผม รอยยิ้มละมุนและอบอุ่นส่งมาให้ผมอีกครั้งรอยยิ้มคล้ายกับไอร้อนจากแก้วกาแฟที่ถูกวางไว้ตรงหน้าผมไม่มีผิดเพี้ยน
“เรียกคุณแล้วดูห่างเหินจัง เรียกธามเฉย ๆ ก็ได้เป็นกันเองดี อย่างเช่น…”
“หือ?”
ผมเลิ่กคิ้วถามขึ้นอย่างสงสัยในประโยคที่เหมือนจะพูดไม่จบของคนตรงหน้า ชายหนุ่มหน้าตาดีได้โน้มตัวลงมาหาผมพร้อมกับชูแก้วกาแฟขึ้น แล้วยิ้มจนเห็นไล่ฟันเรียงสวย คนอะไรจะยิ้มได้ตลอดเวลาเหมือนกับตู้ความสุขเคลื่อนที่ไปอยู่ตรงไหนก็สามารถทำให้คนที่อยู่ใกล้ยิ้มตามได้อย่างน่าประหลาดใจ
“อย่างเช่น คับฟ้าไม่ชอบดื่มกาแฟแล้วคับฟ้าชอบดื่มอะไรหรอ ธามจะได้ซื้อมาให้ถูก ถ้าเรียกแบบนี้พอไหวไหม”
ผมมองหน้าพ่อหนุ่มรอยยิ้มอบอุ่นตรงหน้าแล้วหลุดขำพรืดออกมา ซึ่งเจ้าของรูปประโยคก็ขำออกมาเหมือนกัน ตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันทางการอะไรนักหรอกเพียงแต่ผมจำชื่อของธามไม่ได้จึงใช้สรรพนามพื้นฐานเรียกตามมารยาทสากลก็เท่านั้นเอง
“ถ้าเรียกแบบนั้นผมว่าเราทั้งคู่ต้องสนิทกันตั้งแต่เกิดแล้วนะ”
ผมยิ้มขำปนเอ่ยแซวร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่ได้จริงจังอะไร ธามเมื่อได้ยินในถึงกับยื่นหน้ามาใกล้กว่าเดิมมีเพียงแก้วกาแฟหนึ่งแก้วเท่านั้นที่ใช้เป็นม่านกันระยะห่างของเราสองคน ผมชะงักไปชั่วขณะเมื่อได้จ้องมองนัยน์ตาอบอุ่นคู่นั้น มันช่างแตกต่าง
แตกต่างจากขุนศึกอย่างสิ้นเชิง…
“แล้วถ้า ผมอยากสนิทกับคับฟ้าตอนนี้ได้ไหม ถ้าจะให้ย้อนกลับไปตอนเกิดคงไม่น่าจะทันแล้ว”
“มุขใช่ไหม ถ้าใช่เป็นมุขที่กวนมาก”
รอยยิ้มนัยน์ตาจ้องมองผมแน่วแน่เหมือนกับว่าที่พูดไปนั้นมันจะเป็นจริงตามเจ้าตัวพูดไว้ ผมรู้สึกโดนจู่โจมไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถึงกับไปไม่เป็นและโชคดีในจังหวะนั้นเพื่อนร่วมงานอีกสามคนได้เดินเข้ามาหลังจากออกไปด้านนอกซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าออกไปทำอะไร เมื่อเพื่อนร่วมงานสามคนเข้ามาร่วมวงสนทนามันเลยทำให้ร่างของธามเปลี่ยนไป จากนั่งบนโต๊ะบนเปลี่ยนมาเป็นท่ายืนถือแก้วกาแฟอยู่ข้าง ๆ พนักงานชายอีกคนหนึ่งแทน
“สวัสดีค่ะชื่อเพลนนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
สาวสวยรูปร่างเล็กในชุดกระโปรงพีทรัดรูปยืนประกบด้านขวามือผม ผมยิ้มกลับไปให้ด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“สวัสดีครับผมดรัน ส่วนเจ้านี้ทัต ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับคุณคับฟ้า”
“ทำตัวตามสบายเถอะครับ อย่าพิธีรีตองอะไรให้มากเลย ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ ผมจะตั้งใจทำงานเต็มที่ถึงจะเพิ่งเริ่มงานทุกคนใช้ผมได้เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจนะครับ”
ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วโน้มตัวลงเล็กน้อยด้วยความสุภาพตามมารยาทที่โดนม๊ากับอาม่าสอนมาตั้งแต่เด็ก ทุกคนเมื่อเห็นว่าผมโน้มตัวลงก็ถึงกับเลิ่กลักโค้งตัวตอบผมอย่างลนลาน
“เป็นกันเองจนน่าตกใจ ไม่เห็นเหมือนอย่างที่คนในบริษัทพูดกันเลย…”
“เพลน! จะพูดออกมาทำไมตอนนี้!”
“อุ๊ย!…”
ดรันหนุ่มรูปร่างท้วมใช้กระทุ้งศอกใส่เพลนหญิงสาวคนเดียวภายในทีมฝ่ายโปรเจคและเหมือนเธอจะเพิ่งรับรู้ว่าได้เผลอพูดอะไรที่ไม่สมควรพูดต่อหน้าผม แต่ถึงจะนึกได้และยกมือขึ้นปิดปากยังไงมันก็คงไม่ทันเสียแล้วเพราะผมได้ยินงชัดทุกถ้อยคำที่เพลนเผลอพูดออก
“ไม่เป็นอะไรครับ ผมไม่ซีเรียส”
เมื่อเห็นสีหน้าทุกคนเริ่มสลดลงอย่างเห็นได้ชัดผมจึงเอ่ยพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มขำให้เหมือนเป็นเรื่องตลกเพราะสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นผมเตรียมตัวรับกระแสสการนินทาไว้อยู่แล้วว่ามันต้องเกิดขึ้นสักวัน ไม่ช้าก็เร็วและสิ่งที่ผมคาดการไว้มันเร็วกว่าที่คิด
เมื่อทุกคนเห็นว่าผมไม่ต่อว่าอะไรจึงกลับมามีสีหน้าที่ดูโอเคขึ้น ก็จะมีแต่ธามเท่านั้นที่คอยฉีกยิ้มส่งมาให้โดยไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับอะไรแถมเดินอ้อมมานั่งเก้าอี้ว่างอีกตัวบนโต๊ะผมอีกต่างหาก
“พนักงานในทีมคนใหม่เชิญมากรอกรหัสพนักงานและหรัสผ่านด้วยครับผม จะได้รู้อีเมลที่ใช้สำหรับติดต่อลูกค้า”
นิ้วมือเรียวของธามพิมพ์อะไรสักอย่างกับหน้าจอคอมของผม ใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มได้เงยหน้าขึ้นมามอง และเบนสายตาไปตรงเก้าอี้ที่ว่างด้านข้างเหมือนกับบอกผมทางสายตาว่าให้นั่งลงแล้วทำตามในสิ่งที่ตัวเขานั้นบอก ซึ่งผมก็ทำตามแต่โดยดี ผมหย่อนตัวนั่งลงแล้วดันเก้าอี้ล้อเลื่อนขยับเข้าไปหาเพื่อนร่วมงานคนใหม่ แต่หนึ่งสิ่งที่ผมชะงักไปเพราะการที่ผมพึ่งมาทำงานวันแรกพวกรหัสต่าง ๆ ผมยังไม่รู้เลยนะสิ
“อ…เอ่อ…คือผมพึ่งเคยทำงานออฟฟิศเลยไม่รู้รหัสผ่านแบบที่ธามพูดถึงหรอกครับ”
“อ่า ใช่แล้ว ผมลืมไปเลย เดี๋ยวผมจะติดต่อฝ่ายบุคคลเรื่องรหัสให้นะ คับฟ้ารอผมแปบ”
ร่างสูงของธามพูดมาพูดกับผมแล้วลุกขึ้นไปยังโต๊ะตัวเองที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งเพื่อต่อสายภายในไปยังแผนฝ่ายบุคคล ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีสายตาของคนอื่นยืนมองผมอย่างไม่ละสายตา
“อ…เอ่อ…มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“อ…อ้อ…เปล่าครับเปล่า…ไปทำงานกันได้แล้วพวกเราเดี๋ยวหัวหน้ามาจะโดนบ่นหูชาอีก!”
“ช…ใช่ ๆ ใช่แล้วไปทำงานกันเนาะ”
ร่างของทั้งสามคนหันหลังเดินกลับไปที่โต๊ะของใครของมัน ส่วนผมได้แต่นั่งเกาหัวตัวเองด้วยความงงงวยกับพฤติกรรมเหล่าเพื่อนร่วมงาน แต่นั่งมึนงงได้สักพักร่างสูงของธามก็ได้เดินเข้ามานั่งที่เดิมยิ้มให้ผมเล็กน้อยและเบี่ยงตัวเองพิมพ์รหัสพนักงานให้ผมเสร็จสรรพโดยมีผมนั่งตากระพริบมองร่างสูงจัดการให้
“รหัสพนักงานผมจดไว้ในกระดาษให้แล้วนะ ส่วนรหัสผ่านคับฟ้าตั้งเองได้เลย”
ผมนั่งมองแล้วยิ้มอ่อน ๆ ใส่คนตรงหน้าที่ดูจะกระตือรือร้นจัดการให้ผมเสียจริง เศษกระดาษแผ่นบางถูกเลื่อนมาอยู่ตรงหน้าโดยนิ้วเรียวของเจ้าตัว พ่อหนุ่มรอยยิ้มเคลื่อนที่คนนี้ช่างใจดีกับผมตั้งแต่วันแรกของการทำงานแถมเพื่อนร่วมงานคนอื่นก็ดูจะนิสัยดีกันหมดทุกคน ผมหวังว่าการทำงานภายในบริษัทที่มีขุนศึกเป็นเจ้าของจะไม่ทำให้ชีวิตผมยุ่งยากไปมากกว่าเดิมหรอกนะ
.
.
.
.
.
11:50 น.
“วันนี้กินอะไรดีพวกเรา ส้มตำไก่ย่างหรือก๋วยเตี๋ยวเจ้น้อยข้างตึกเหมือนเดิมดี”
ทัตหนุ่มขี้อายที่สุดในทีมเอ่ยถามขึ้นในระหว่างที่ทุกคนกำลังก้มอยู่กับกองเอกสารเพื่อช่วยกันศึกษาความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในแต่ละทุกช่วงวัย ซึ่งตัวผมที่นั่งงง ๆ ในดงงานก็ยังไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงแต่ยังดีที่มีธามเข้ามานั่งประกบสอนงานให้ บางส่วนผมก็พอจับทางถูกบ้างเพราะด้วยความที่เพิ่งเรียนจบมาได้ไม่นานความรู้ตอนที่เรียนก็หยิบมาใช้ได้พอตัว แต่บางส่วนผมทำไม่ได้เลยเห็นแล้วสตั้นไปหลายนาทีถึงกับต้องให้ธามเข้ามาช่วยสอนไปทีละจุด
“ส้มตำไก่ย่างไหม อยากกินอ่อมเนื้อเอ็นแก้ว ซดน้ำร้อน ๆ จะได้โล่งคอ”
อีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะเป็นเวลาพักเที่ยงของเหล่าบรรดาพนักงานออฟฟิศกันแล้ว เพลนรีบทิ้งเอกสารบนโต๊ะแล้วรีบวิ่งมาหยุดอยู่ตรงกลางห้อง สีหน้าแววตาฉายแววมีความสุขเมื่อได้พูดถึงเรื่องกินจนไม่สนใจเรื่องงานที่รอให้อ่านอีกต่อไป
“จะกินแบบนั้นถามคุณคับฟ้าหรือยังว่ากินได้ไหม พูดถึงเรื่องกินไม่ได้พุ่งใส่ก่อนตลอด”
“โธ่พี่ดรัน ก็เพลนหิวนี่ค่ะ ข้าวเช้าสักเม็ดยังไม่แตะลงท้องเลย”
เมื่อหญิงสาวที่ยืนเด่นอยู่ตรงกลางโดนบ่นสีหน้าที่ดูจะตื่นเต้นดูลดน้อยลง แล้วหันหาเป้าหมายใหม่คนนั้นก็คือผมเอง ดวงตากลมโตกะพริบหลายทีเหมือนเป็นคำขอร้องอ้อนวอนคนหญิงสาวตรงหน้า ผมที่นั่งอยู่ข้างธามก็อดจะยิ้มตอบกลับไปไม่ได้เพราะสีหน้าแววตานั้นช่างน่าสงสารเหลือเกิน
“ผมกินอะไรก็ได้ ไม่ต้องถามความเห็นเลยทุกคนอยากไปร้านไหนไปเลยครับ ผมกินได้ทุกอย่าง”
“นี่ไงเห็นไหมคะพี่ดรัน! คุณคับฟ้ากินอะไรก็ได้”
ใบหน้ารูปไข่สะบัดกลับไปทางคุณดรันที่นั่งเท้าคางมองมาก่อนแล้วก่อนที่จะพยักหน้าเป็นอันว่าตกลง เพลนถึงกับกระโดดโลดเต้นดีใจยกใหญ่ ผมมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าจึงได้รับรู้ว่าทีมงานเซตนี้ดูท่าทางจะสนิทกันมากน่าดู
“สรุปเที่ยงนี้เราไปกินส้มตำเจ้าประจำนะ ผมอยากกินก้อยขม พูดแล้วก็น้ำลายสอ”
ทัตก็เป็นอีกคนที่ดูจะดีใจเมื่ออาหารมื้อเที่ยงนี้ถูกปากไม่น้อย สายตาผมเบนความสนใจไปยังหน้าจอคอมตัวเองเพื่อดูเวลา และตอนนี้บ่งบอกว่าอีกเพียงสองนาทีเท่านั้นก็จะได้เวลาพักผมจึงใช้โอกาสนี้เอนหลังไปกับเก้าอี้เบาะนุ่มตัวใหม่ที่พึ่งจะแกะพลาสติกคลุมออก ทำไมผมถึงรู้นะหรอก็เพราะกลิ่นของใหม่ยังเตะเข้าจมูกผมอยู่เลย
“เที่ยงแล้ว! ไปกันทุกคนหิวข้าวมาก!”
เพลนคนแรกที่ดูจะเตรียมตัวออกก่อนใครรีบพาตัวเองมายืนรออยู่ปากทางออกจากห้อง ส่วนคนอื่นก็เก็บของนิดหน่อยแล้วเดินตามเพลนออกไป ส่วนผมหยิบแค่กระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์แค่นั้นก่อนที่จะลุกออกจากโต๊ะเดินตามหลังทุกคนโดยมีธามยืนรอเพื่อที่จะเดินไปพร้อมกัน
“งานวันแรกเป็นยังไงบ้าง พอได้ไหม?”
เสียงทุ้มของธามเอ่ยถามผมขึ้นในระหว่างที่เรากำลังเดินตรงไปยังตัวลิฟต์ในส่วนของพนักงานที่แยกออกมาจากฟากฝั่งของผู้บริหาร
“พอได้อยู่นะ แต่ผมคงต้องให้ธามสอนอีกไม่น้อยเลย”
ผมตอบกลับไปแต่ก็แกล้งพูดขอความช่วยเหลือจากคนข้าง ๆ ธามยิ้มกว้างปนขำออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมวานขอให้ช่วย ร่างสูงเพรียวถกแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างให้เข้าที่พร้อมกับหันมาตอบผมด้วยรอยยิ้มความยินดีและเต็มใจที่จะช่วยสอน
“ถึงคับฟ้าไม่บอกผมก็เต็มใจช่วยอยู่แล้ว แต่ไม่ฟรีนะคิดค่าสอน”
“คิดแพงไหม อย่าแพงนะผมพึ่งจะเป็นมนุษย์เงินเดือนได้เดือนแรก”
ผมหันตัวไปพูดขำ ๆ ให้กับธามด้วยแววตาที่ล้อเล่นซึ่งคนตรงหน้าผมก็ยิ้มขำให้กับบทเจรจาที่น่าสงสารของผม
“ผมไม่คิดเป็นเงินหรอก แต่ผมคิดเป็นเวลา…”
ร่างสูงเพรียวของธามยืนกอดอกมองผมด้วยรอยยิ้มอีกแล้ว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงยิ้มได้ตลอดเวลาไม่มีเหนื่อยบ้างเลยหรือไงกัน ส่วนผมก็ตั้งข้อสงสัยในใจพร้อมกับเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจในประโยคที่เอ่ยมา
“หือ? …เวลา…คือยังไงหรอครับ”
“ เวลา สักวันที่ผมสามารถพาคับฟ้า ไปดูหนังทานข้าวได้ ถ้าคับฟ้าตกลงผมก็พร้อมช่วย”
เจ้าหนุ่มรอยยิ้มอบอุ่นเอียงคอมองแล้วตอบ ซึ่งค่าตอบแทนนั้นช่างเป็นอะไรที่ผมพร้อมตกลงโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำไป ในจังหวะที่ยืนคุยกับเพื่อนร่วมงานคนใหม่ไปพลาง ๆประตูลิฟต์ของฝั่งพนักงานได้ถูกเปิดออก เพื่อนร่วมงานในทีมสามคนตรงหน้าเดินเข้าไปก่อนแต่ในขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้า ก็มีพนักงานแผนกอื่นอีกสี่ห้าคนเดินพรวดพรราดเข้าไปทางด้านในอย่างไร้มารยาท จึงทำให้ผมกับธามได้เข้าเป็นสองคนสุดท้าย
เมื่อคนภายในลิฟต์อัดกันเข้ามามากจนเกินไปทำให้พื้นที่คับแคบมากขึ้น ตำแหน่งยืนในลิฟต์ของผมจึงถูกเบียดชิดด้านหน้าสุดและมีธามยืนซ้อนด้านหลังคอยกันแรงเบียดเสียดทานให้และในระหว่างนั้นใบหน้าของคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังก็ก้มลงมาพูดใส่ข้างหูผมและการกระทำดังกล่าวทำให้ผมทำตัวไม่ถูกและนิ่งค้างไปหลายวินาที
“ถ้าเบียดมากไปถอยหลังมาอีกก็ได้นะ เดี๋ยวผมคอยกันให้เอง”
“อ…อื้อ”
.
.
.
.
.
ขุนศึก P
“มึงลากกูออกจากบริษัทเพื่อมาเฝ้ามึงทำกับข้าวเนี่ยนะไอ้ขุน! งานกูกองท่วมหัว! ไหนจะบ่ายนี้ก็ต้องเตรียมเรื่องประชุมแทนมึงอีก! ชีวิตกูไม่ได้ชิวแบบมึงนะครับ!”
“เมื่อไหร่มึงจะเลิกบ่นวะไอ้ธนิน ไม่เมื่อยปากบ้างหรือไง บ่นตั้งแต่เก้าโมงจนตอนนี้จะเที่ยงมึงยังไม่หยุดพล่าม”
“ผมต้องทำงานนะครับท่านประธาน งานรอให้ผมเข้าไปทำมือเป็นรวิงใครจะไปเหมือน…”
ผมตวัดสายตาขึ้นมองเพื่อนของตัวเองที่ยืนอยู่ในห้องครัวร้อน เมื่อตัวมันเห็นแววตาของผมที่บ่งบอกว่าเริ่มจะรำคาญถึงกับหุบปากแทบไม่ทัน และเมื่อสิ่งที่รบกวนสมาธิได้หยุดลงผมจึงก้มลงจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อ มือด้านขวาผมจับผ้าอย่างละเมียดละไมใช้เช็ดคราบน้ำซอสสเต๊กที่เลอะออกนอกบริเวรขอบจานด้วยความประณีต
“นี่มึงกะจะทำเซอร์ไพรส์เมียถึงกับลงครัวเองเลยหรอวะ ได้ข่าวว่าหมั้นรอบนี้เพราะจำใจไม่ใช่หรือไง แล้วมาวันนี้อยากเสือกกลับลำเองว่างั้น?”
“จะหุบปากเองหรือจะให้กูช่วยหุบ พูดห่าอะไรเยอะแยะว่ะ”
ผมเควี้ยงผ้าเช็ดจานปาใส่ตัวมันโทษฐานพูดมากจนน่ารำคาญ ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจจานอาหารที่ถูกเรียงรายเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อรอเวลาในการเสิร์ฟอาหารตามลำดับ
ในส่วนของแอพพิไทเซอร์มื้อเที่ยงนี้ผมเลือกทำหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบกระเทียมกับปลาแซลมอนรมควัน เป็นอาหารที่ถูกปากคนไทยค่อนข้างมาก ถัดมาจะเป็นซุปใสไก่ตุ๋นสูตรเด็ดของทางร้านที่ผมคิดค้นขึ้นในช่วงรอเปิดสาขาที่ประเทศจีนเมื่อห้าเดือนที่ผ่านมา และมันกลับเป็นเมนูยอดฮิตของสาขาที่นู่นเกินความคาดหมาย ส่วนของเมนคอร์สนั้นจะเป็นสเต็กออสเตรเลียวากิวโทมาฮอว์คเนื้อติดซี่โครงชิ้นโต ย่างสุกแบบปานกลาง เนื้อมีกลิ่นหอม นุ่ม และเซตสุดท้ายคือตบท้ายด้วยของหวาน ซึ่งผมปัดความรับผิดชอบให้พนักงานในร้านจัดการเพราะตัวเองไม่ค่อยจะถนัดเรื่องพวกนี้เสียเท่าไหร่
ผมยืนกอดอกมองอาหารตรงหน้าอย่างพอใจและภูมิใจในความคิดที่รังสรรค์เมนูพิเศษให้กับใครบางคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของตัวเอง หากไปบอกใครเขาคงไม่เชื่อว่าผมเดินทางเข้ามาในร้านอาหารสาขาใกล้กับบริษัทและยกเลิกนัดกับบรรดาผู้หญิงในสต๊อกเพื่อที่จะเข้าครัวโชว์ฝีมือด้วยตัวเอง และในช่วงบ่ายของวันนี้ผมสั่งให้พนักงานขึ้นป้ายปิดร้านโดยจะไม่มีการเปิดให้บริการตั้งแต่บ่ายเป็นต้นไป เพื่อที่จะพาคับฟ้าชายหนุ่มหน้าหวานที่มีฝีปากเป็นเพชฌฆาตเป็นอาวุธได้มีเวลาส่วนตัวสุดพิเศษกับผมอย่างเต็ม
“ถึงกับลงทุนปิดร้านเพื่อทำเซอร์ไพรส์ อย่าบอกนะว่ามึงเริ่มสนใจน้องคับฟ้าสุดสวยนั่นแล้ว ถ้าเป็นอย่างที่กูเดามึงไม่ใช่คนแล้วนะเพื่อน แต่มึงจะเป็นไอ้โบ้แทน”
“ใครบอกกูเริ่มสนใจ แค่ทำให้ในฐานะสามีก็เท่านั้นมันเป็นหน้าที่ที่กูต้องทำ”
ผมตอบไปในขณะกำลังถอดผ้ากันเปื้อนที่คุมเสื้อสูทด้านในของผมออก ศิลป์รีบยื่นผ้าเช็ดมือมาให้ผมอย่างรู้งาน เพราะนับครั้งได้ที่คนอย่างขุนศึกจะลงมือเข้าครัวเอง เว้นแต่ถ้าลูกค้าคนไหนอยากจะให้ผมเป็นเชฟส่วนตัวในมื้ออาหารต้องเป็นลูกค้าระดับวีวีไอพีเท่านั้นผมถึงจะตกลง และต้องยอมจ่ายค่าตัวผมตามที่ทางร้านของเราเรียกไปเท่านั้น ซึ่งค่าตัวของผมไม่คิดเป็นชั่วโมงแต่คิดเป็นนาที ถ้าใครคิดว่าจ่ายไหวก็เชิญทางร้านเรายินดีต้อนรับถ้าคุณกระเป๋าหนักพอ
“ปากแข็งไปให้ได้ตลอดนะครับท่านประธาน ผมนายธนินผู้อำนวยการคนนี้จะรอดูวันที่ท่านประธานขึ้นอย่างหงษ์แล้วลงอย่างหมานะครับ หึ!”
แท่งแครอทแท่งใหญ่ที่อยู่ใกล้มือได้ยกขึ้นปาใส่ไอ้ธนินเพื่อนรัก มันกับผมสนิทกันตั้งแต่เด็กหรือตั้งแต่จำความได้เพราะพ่อมันกับป๊าผมเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมตั้งแต่สมัยวัยรุ่น เลยทำให้พอตกรุ่นผมต้องมาสนิทกับคนอย่างมันไปปริยาย แต่ดูเหมือนประโยคของไอ้ธนินมันจะไม่มีทางเป็นจริงแน่ เพราะคนแบบผมขึ้นอย่างหงษ์แล้วไม่มีวันลงอย่างหมาแน่นอน
สายตาผมทอดมองร่างสูงของเพื่อนตัวเองที่กำลังส่งเสียงร้องโหยหวนดังลั่นห้องครัวด้วยอาการเจ็บปวดไม่น้อย ผมมองหน้ามันด้วยนัยน์ตาเรียบนิ่ง ยกยิ้มมุมปากสะใจเล็กน้อย ครั้งนี้ยังดีที่มีเพียงโต๊ะสเตนเลสกันไว้หากแต่ไม่มีอะไรมากั้นตัวของไอธนินมันได้ล้มกองลงไปกับพื้นตั้งแต่พูดคำแรกแล้ว
“ขออนุญาตครับท่านประธาน”
ในระหว่างที่ผมยืนเช็ดมืออยู่นั้นศิลป์ได้เดินเข้ามาใกล้ผมแล้วยื่นเครื่องมือสื่อสารที่เอาไว้ติดต่อระหว่างคนติดตามผมเท่านั้น ไอแพดรุ่นดังถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับรูปภาพของคนที่ผมคุ้นตาถึงแม้ว่ามองแค่เสี้ยวหน้าผมก็จดจำได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้าคือร่างบางที่กำลังยืนอยู่หน้าลิฟต์เหมือนจะออกไปข้างนอกโดยไม่สนใจในสิ่งที่ผมบอก ผมบอกตั้งแต่อยู่บนรถและบอกย้ำอีกรอบก่อนที่ร่างบางจะออกจากลิฟต์ด้วยซ้ำว่าตอนเที่ยงเรามีนัดกัน!
แถมรูปที่ถูกส่งรายงานมาให้ผมนั้นมันช่างเป็นภาพถ่ายที่สนิทสนมกับพนักงานในทีมเสียเหลือเกิน ความเกรี้ยวกราดเข้ามาปะทุขึ้นในใจ ฟันกรามขบกันอย่างข่มอารมณ์ดุเดือดไว้ไม่ให้ระเบิดลงใส่จานอาหารตรงหน้า ความโกรธตอนนี้มันถึงขั้นอยากจะคว่ำทิ้งจานทุกใบไม่ให้เหลือซาก คนอย่างขุนศึกไม่เคยลงทุนและลงแรงทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ภรรยาของผมคนนี้ช่างท้าทายและดื้อรั้นเสียจริง บางทีผมก็แอบคิดเหมือนกันว่าความสามารถพิเศษของคับฟ้า คือการยั่วยุปลุกปั่นบรรดาลโทสะผมหรืออย่างไรกัน!