ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 986 มาเยี่ยมกลางดึก
แต่เวลานี้เอง จู่ๆ คนรับใช้คนหนึ่งก็เข้ามา แถมยังร้องเรียกเสียงดังว่า “คุณชาย แย่แล้ว แย่แล้ว!”
ฉุงโยวหมิงพากลุ่มคนรุดมายังด้านหลังห้องของฉุงลี่ซือ ก็พบว่าบนเตียงของฉุงลี่ซือ มีไป๋ยี่เฟยที่พวกเขาตามหากำลังนอนอยู่
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงมีสีหน้าดำคล้ำ โดยเฉพาะคนหนานเหมินที่ผิวดำเข้มคนนั้น
คนรับใช้รีบพูดว่า “พวกเราได้ยินเสียงกรีดร้องของคุณหนูจึงได้รีบรุดมา ก็เห็นคุณคนนี้บุกเข้ามาในห้องของคุณหนู คลานขึ้นเตียงแล้วก็หลับกรนเสียงดัง”
“คุณหนูกับพวกเพื่อนๆ ของเธอต่างถูกทำให้ตกใจกันหมด”
พรุ่งนี้ฉุงลี่ซือก็ต้องแต่งเข้าหนานเหมินแล้ว คืนนี้ย่อมจะมีเพื่อนมากมายมาหาเธอ
เดิมทีพวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องดีๆ จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็บุกเข้ามาด้วยความเมามาย จากนั้นก็ตรงไปล้มตัวบนเตียง ทำเอาคนเหล่านี้ตกใจกันหมด
ฉุงโยวหมิงพูดกับลูกน้องคนนั้นด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “พาเขากลับไปที่ห้องตัวเองให้ฉัน!”
ลูกน้องสองสามคนรีบเดินขึ้นหน้ามาทันที แล้วพยุงไป๋ยี่เฟยขึ้นมา
หลังจากที่พวกเขาพาไป๋ยี่เฟยไปส่งแล้ว ฉุงโยวหมิงก็พูดกับทุกคนในห้องเสียงต่ำว่า “เรื่องในวันนี้ ห้ามใครพูดออกไป ไม่อย่างนั้นได้เห็นดีกับฉันแน่!”
พึงรู้ไว้ว่า พรุ่งนี้ฉุงลี่ซือก็ต้องแต่งให้จีซือ แต่คืนก่อนแต่งงานเตียงเธอถูกชายอื่นนอนไปแล้ว หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะไม่ได้มีเพียงตระกูลฉุงที่เสียหน้า ยังมีหน้าของจีซืออีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงเหล่านั้นจึงรีบพยักหน้า เพื่อแสดงออกว่าจะไม่พูดออกมา
ฉุงโยวหมิงแค่นเสียงเบา แล้วค่อยออกจากห้องไป
หลังออกไปแล้ว ฉุงโยวหมิงก็ถามลูกน้องอีกว่า “ฉุงเฉ่าเจว๋ล่ะ? จับตัวได้หรือยัง?”
ลูกน้องคนนั้นตอบด้วยความระมัดระวังว่า “ยังไม่ได้ครับ……แต่ส่งคนในตระกูลออกไปหมดแล้ว อีกไม่นานคงจะจับตัวได้”
ฉุงโยวหมิงแค่นเสียงเย็น “ตอนนี้เขาออกตระกูลฉุงไปแล้ว ก็คือสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง ใครยังจะกล้าเก็บเขาไปอีก?”
“ครับ คุณชาย” คนรับใช้คนนั้นรีบตอบรับ
ต่อมาฉุงโยวหมิงก็ถามชายร่างสูงใหญ่คนนั้นอีกว่า “ท่านใหญ่จั่ว คุณว่ายังไง?”
ท่านใหญ่จั่วสีหน้าดูเหมือนจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย น้ำเสียงก็นุ่มนวลลงเช่นกัน “คุณชายฉุงเกรงใจแล้ว หลังจากพรุ่งนี้ไป ก็คือคุณหญิงน้อยของตระกูลเราแล้ว เรียกชื่อฉันโดยตรงก็พอ”
ท่านใหญ่จั่วผู้นี้ชื่อว่าต๋านี
ต๋านีเอ่ยต่อว่า “คนที่บุกรุกคฤหาสน์หนีไปแล้ว คิดว่าคงไม่กล้ากลับมาอีก การเดินทางพรุ่งนี้ไม่มีทางได้รับผลกระทบ ให้ปล่อยไปชั่วคราวก่อน”
“ที่พี่ต๋าพูดมาถูกต้อง” ฉุงโยวหมิงพยักหน้า กล่าวเห็นพ้อง
……
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยถูกส่งกลับห้อง รอจนกระทั่งคนรับใช้เหล่านั้นจากไปแล้ว จึงคลานขึ้นมา พุ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
“พรูด!”
ไป๋ยี่เฟยกระอักเลือดออกมาคำโต
เมื่อกี้ตอนที่เขาถูกหิ้วกลับมา เขาใช้ตามองผ่านรอยแยกแวบหนึ่งอย่างระมัดระวัง เห็นชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้น
คนคนนั้นน่าจะเป็นคนที่ทำร้ายตนจนบาดเจ็บ อีกฝ่ายเพียงแค่ออกกระบวนท่าเดียวใส่ตน ตนก็บาดเจ็บจนมีสภาพเช่นนี้แล้ว คิดว่าคงจะเป็นยอดฝีมือแดนเทพยุทธ์
แต่หยุนอิงบอกว่า ลูกน้องของจีซือส่วนใหญ่เป็นแค่ยอดฝีมือระดับที่หนึ่งไม่ใช่หรือ?
“แม่งเอ๊ย!” ไป๋ยี่เฟยยกมือขึ้นมาเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก จากนั้นก็นั่งลงบนโถชักโครกโทรหาหยุนอิง
ไม่นานนัก หยุนอิงก็รับโทรศัพท์ เสียงงัวเงีย ท่าทางเหมือนกับถูกปลุกให้ตื่น “นายเป็นบ้าหรือไง กลางดึกไม่หลับไม่นอน โทรมาทำไม?”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ของหยุนอิงก็โมโหขึ้นมาอย่างหนัก “เธอยังจะมีอารมณ์นอนอีก เธอรู้ไหมว่าฉันเกือบถูกคนฆ่าตายแล้ว?”
“ดูจากที่นายพูด หากนายถูกคนฆ่าตายแล้ว ตอนนี้ยังจะโทรหาฉันได้เหรอ?” เสียงหยุนอิงยังคงงัวเงียอยู่เช่นเดิม ราวกับไม่สนใจ
ไป๋ยี่เฟยอดทน สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “ไม่ว่างพูดไร้สาระกับเธอ ไหนเธอบอกว่าข้างกายจีซืออย่างมากสุดก็แค่ยอดฝีมือระดับที่หนึ่งอย่างไรล่ะ? ทำไมเขายังมียอดฝีมือแดนเทพยุทธ์อีกหนึ่งคนด้วย?”
“แดนเทพยุทธ์?” หยุนอิงเห็นได้ชัดว่าตกใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่น้ำเสียงก็ขรึมลง
ไป๋ยี่เฟยกล่าวอย่างโมโหว่า “ใช่ แค่กระบวนท่าเดียว ฉันเกือบตายแล้ว!”
หยุนอิงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “นั่นคงเป็นผู้พิทักษ์สำนักจั่ว”
“ผู้พิทักษ์สำนักจั่วคือใคร?” ไป๋ยี่เฟยถาม
หยุนอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงขรึมลงว่า” ชื่อต๋านี นายควรระวังหน่อยจะดีกว่า”
ไป๋ยี่เฟยโกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ “เขาเป็นแดนเทพยุทธ์ จะให้ฉันระวังยังไง?”
ผลคือหยุนอิงกลับพูดอย่างหน้าด้านๆ ว่า “อย่างไรตอนนี้นายก็ไปแล้ว และต้องไปอย่างช่วยไม่ได้ คงทำได้เพียงฝืนไปต่อเท่านั้น”
“อีกอย่างนะ หากนายหนีก็หนีไม่พ้น อ้อ จริงสิ ยังมีอีกเรื่อง ต๋านีก็คือพี่ชายของดาร์ส นายอย่าให้เขารู้เชียวว่านายเป็นใคร”
“ไม่อย่างนั้น หากให้เขารู้ว่านายคือมือสังหารที่ฆ่าน้องชายเขา เขาไม่มีทางปล่อยนายแน่”
ไป๋ยี่เฟยสีหน้ามืดครึ้มลง “เธอขู่ฉันอีกแล้ว?”
หยุนอิงพูดอย่างไม่สนใจว่า “นายจะคิดยังไงก็ตามใจ อย่างไรตอนนี้นายก็ขี่หลังเสือแล้ว ระวังตัวให้มากเถอะ”
หลังกล่าวจบหยุนอิงก็วางสายไปทันที
ไป๋ยี่เฟยกำโทรศัพท์ไว้ โกรธจนเกือบจะบีบมันแหลกเสียแล้ว
แต่เขายังคงอดทนไว้ ตอนนี้ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ เต้าจ่างเคยเห็นเขาแล้ว ตอนออกเดินทางพรุ่งนี้ ขอเพียงเห็นแวบเดียวก็ต้องถูกจำได้แน่ นี่จึงยากจะรับมืออย่างยิ่ง
อีกทั้งตอนนี้เขาจะไปฆ่าเต้าจ่างอีกก็แทบจะเป็นไปไม่ได้
พร้อมกันนั้นไป๋ยี่เฟยยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นั่นก็คือตั้งแต่มาจนถึงตอนนี้เขายังไม่เห็นฉุงเฉ่าซินเลย
ลูกสาวเขากำลังจะแต่งงานออกไป ตั้งแต่ต้นจนจบฉุงเฉ่าซินกลับไม่เคยปรากฏตัวออกมา ประกอบกับเมื่อกี้เสียงดังขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รบกวนเขา
ดังนั้น ฉุงเฉ่าซินจะต้องมีปัญหาแน่
ไป๋ยี่เฟยใช้น้ำเย็นกลั้วปาก แล้วค่อยกลับมานอนดีๆ ในห้อง จากนั้นก็ใช้พลังอ้านจิ้งในร่างรักษาบาดแผลให้ตนเอง
กลับกลายเป็นว่าเพิ่งจะเข้าไปไม่กี่นาที จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังเข้ามาทันที
ไป๋ยี่เฟยในใจตระหนกวาบ ลืมตาดูประตูห้องอย่างรวดเร็ว
สภาพเขาในตอนนี้ควรจะเมาจนไม่ได้สติ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจขานรับได้
ไป๋ยี่เฟยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ไม่นานนัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ก๊อกๆๆ …..”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย เสียงเคาะประตูนี้เบามาก ดูท่าทางไม่เหมือนกับคนที่มีพลังอ้านจิ้ง
ดังนั้นเขาจึงเกิดความแปลกใจขึ้นมา จึงลงจากเตียงมาหยุดตรงข้างประตูอย่างแผ่วเบา ฟังลมหายใจของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
ต่อมาเขาก็ประหลาดใจ เพราะฟังจากลมหายใจของอีกฝ่าย เหมือนกับเป็นผู้หญิง
แต่ในเวลานี้เอง ก็มีเสียงเบามากเสียงหนึ่งดังมาจากนอกประตู “คุณคะ คุณหลับหรือยัง?”
ไป๋ยี่เฟยประหลาดใจเล็กน้อย เพราะว่าเสียงนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นฉุงลี่ซือนั่นเอง
ฉุงลี่ซือมาทำอะไรที่นี่?
ไป๋ยี่เฟยยังคงไม่ส่งเสียงออกไป คิดจะรอจนตนไม่ขานรับ ให้เธอจากไปเอง
แต่เสียงของฉุงลี่ซือดังขึ้นมาอีกครั้ง “คุณหลับหรือยัง? หากยังไม่หลับ ช่วยเปิดประตูให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
“ฉันเตรียมชาสร่างเมามาให้คุณ”
หลังกล่าวจบเธอก็หยุดนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “คุณไม่ต้องกังวล ฉันไม่ได้มีเจตนาร้าย อีกทั้งฉันก็ได้กลิ่นแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยในใจตระหนกวาบขึ้นมาอีกครั้ง เธอได้กลิ่นอะไร?
“แม้จะมีกลิ่นเหล้ากลบไว้ซะมาก แต่ฉันยังคงได้กลิ่นบนตัวคุณ”
“ดังนั้น คุณเปิดประตูให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
คราวนี้ไป๋ยี่เฟยไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก พริบตาที่เปิดประตู ก็ดึงฉุงลี่ซือเข้ามาทันที
ฉุงลี่ซือตกใจจนสะดุ้งก่อน หลังเข้าห้องมาจึงผ่อนคลายลงอีกครั้ง
จากนั้นเธอก็วางถ้วยใบหนึ่งไว้บนโต๊ะของเขา แล้วพูดเสียงเบาว่า “นี่คือชาสร่างเมาค่ะ ฉันชงเอง คุณดื่มสักหน่อยก็ได้”
ไป๋ยี่เฟยเปิดดูแวบหนึ่ง แล้วก็ลองดมดู เป็นชาสร่างเมาจริงๆ แต่เขาไม่ดื่ม เพียงแค่วางถ้วยชง แล้วจ้องมองฉุงลี่ซือ
ตอนนี้เขารู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง ดึกขนาดนี้ฉุงลี่ซือมาหาเขาด้วยเรื่องอะไร ขณะเดียวกันเขาก็ยังมีความกังวลใจอยู่เล็กน้อยว่าฉุงลี่ซือใช่อยู่ข้างเดียวกับฉุงโยวหมิงหรือไม่ หรือว่าหลังจากแต่งให้จีซือแล้ว จะยืนอยู่ข้างเดียวกับจีซือ
แต่ฉุงลี่ซือถูกไป๋ยี่เฟยจ้องเช่นนี้ ก็บีบนิ้วอย่างเคร่งเครียด สุดท้ายก็กัดฟัน จู่ๆ ก็คุกเข่าลงตรงหน้าไป๋ยี่เฟย ก่อนจะพูดเจือเสียงสะอื้นว่า “ช่วยฉันด้วยค่ะ ขอร้องคุณล่ะ ช่วยฉันด้วย”
ไป๋ยี่เฟยตกใจจนสะดุ้ง ไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้อยู่บ้าง แต่เขายังคิดตอบสนองอย่างรวดเร็ว รีบยื่นมือไปพยุงฉุงลี่ซือขึ้นมา