ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 849 เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่
ล่ายเคอลากตัวหวังหู่ไปยังที่รกร้าง และพูดว่า “ที่นี่เถอะ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังหู่อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง และพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ท่านล่าย ทำไมคุณก็เข้าร่วมกับไป๋ยี่เฟย เขาไป๋ยี่เฟยมีดีอะไรกันแน่? แล้วมีสิทธิ์อะไร?”
ล่ายเคอถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดนี้ โยนตัวหวังหู่ลงกับพื้น มองดูเขาอย่างเหยียดหยามและพูดว่า “คำถามนี้ของคุณถามได้ดีนัก แต่ว่า………”
ในขณะที่กำลังพูด ล่ายเคอก็นั่งย่อตัวลง และตบหน้าหวังหู่ไปทีหนึ่ง “กูแม่งจะรู้ได้อย่างไร?”
หวังหู่ตกตะลึง
จากนั้นในวินาทีต่อมา เขาก็ตอบสนองทันที ล่ายเคอกำลังจะฆ่าตัวเอง และขอความเมตตาว่า “ท่านล่าย ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะ ขอทางรอดให้ผมที หลังจากกลับไปแล้วผมจะบอกกับท่านจ้าว และขอให้เขาจะต้อง………..”
“เสียงตบ!”
ล่ายเคอตบลงไปอีกครั้ง ทำให้คำพูดของหวังหู่จบลงอย่างกะทันหัน
และการตบในครั้งนี้แตกต่างจากตบครั้งก่อน เพราะหวังหู่เปิดตากว้างโดยตรง ล้มลงกับพื้น และเสียชีวิตไปเลย
ล่ายเคอปรบมือและยืนขึ้น และพูดว่า “พูดตามตรง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทั่งๆ ที่ฝั่งเต้าจ่างมีอำนาจมากที่สุด แต่ทำไมถึงกลายเป็นไป๋ยี่เฟยในท้ายที่สุด? ”
“ผมว่าคุณอย่าโทษผม สำหรับเรื่องที่คุณทำไว้ จุดจบของคุณก็จะมีเพียงคำว่าตายเท่านั้น ถึงแม้ว่า ผมจะไม่ค่อยเห็นชอบเฉินห้าวคนนั้นก็ตาม พูดตามตรง คนที่ทำให้ผมชื่นชมจริงๆ ก็มีเพียงไป๋ยี่เฟย เฉินอ้าวเจียวและซาเฟยหยาง คนอื่นที่เหลือไม่โอเคเลย”
“แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่น ใครให้คนพวกนี้เป็นเหมือนมือซ้ายมือขวาของไป๋ยี่เฟยล่ะ?”
ส่วนคนที่เขาไม่เห็นชอบและอยากอวดเขา ถ้ามีโอกาสในอนาคต เขาก็จะแอบกำจัดทิ้งให้กมด!
……..
เวลาครึ่งเดือนมันผ่านไปในชั่วพริบตา
และในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา เหลยหมิงก็ถูกขังอยู่ในเรือนจำตลอด สภาพในห้องขังก็ดีมาก เตียงเป็นแบบโซฟาเบดเดี่ยว และมีห้องน้ำแยกต่างหาก อาหารประจำวันก็ดีมาก การอาศัยอยู่ในนั้นมีชีวิตที่ดีมาก ยกเว้นไม่มีความเป็นอิสระ
ในวันนี้ หรั่นซินกลับมาเยี่ยมเหลยหมิงอีกครั้งพร้อมกับไวน์และอาหารชั้นดี
ตอนที่เดินเข้าไปเหลยหมิงกำลังนอนอยู่บนโซฟา และฮัมเพลงอย่างสบายๆ
หรั่นซินหยิบอาหารออกจากกระติกเก็บความร้อน และก็รินไวน์ใส่แก้ว เหลยหมิงถึงหันหลังและลุกขึ้นนั่ง
เหลยหมิงนั่งที่ขอบโต๊ะ เอนตัวเข้าไปดมกลิ่นไวน์และอาหาร แล้วยิ้มและพูดว่า “ผมว่า เป็นอย่างไรบ้างในช่วงนี้? มีข่าวคราวไหมว่าผมจะได้ออกไปตอนไหน?”
เหลยหมิงรู้ดีว่าการสังหารหมู่ครั้งก่อนที่เขาทำนั้นมันผิด และในตอนนั้นเขาก็รู้สึกหวาดกลัวมากเช่นกัน
แต่หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ความรู้สึกกลัวแบบนั้นก็ค่อยๆ จางหายไปตามเวลา ไม่เพียงเท่านั้น เขายังคงรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นมันไม่ได้รุนแรงเกินไป
หรั่นซินอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเมื่อได้ยินคำพูดนี้ จากนั้นก็วางตะเกียบไว้ข้างหน้าเหลยหมิง
เมื่อเหลยหมิงเห็นเช่นนี้ เขาก็เข้าใจความหมายในทันที และอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยว่า “ถ้าอย่างนั้นไป๋ยี่เฟยก็คงต้องลำบากใจมากอยู่ทั้งสองฝ่าย”
“คุณหมายความว่ายังไง?” หรั่นซินถามว่า
เหลยหมิงยื่นมือออกมาหยิบตะเกียบ แล้วหยิบแก้วไวน์ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง จิบมันเบาๆ จากนั้นเขาถึงพูดว่า “คุณลองคิดดูสิ ไป๋ยี่เฟยต้องอยากจะฆ่าผมมากจริงๆ อย่างแน่นอน ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้น แม้แต่คุณและหยางถิงเขาก็อยากจะฆ่าด้วย รู้ไหมว่าทำไม?”
หรั่นซินส่ายหัวด้วยความร่วมมือ
เหลยหมิงกล่าวต่อว่า “เพราะว่าพวกเราทั้งหมดเป็นคนติดตามเจ้านายของเรา และไม่ใช่คนที่ติดตามเขา”
“เจ้านายของเราไม่ต้องการให้เราถูกฆ่าอย่างแน่นอน คุณบอกว่าเขาไปหาไป๋ยี่เฟยก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้กลับไม่มีผลลัพธ์ อันที่จริงผลลัพธ์นั้นมันชัดเจนมากแล้ว”
“เจ้านายของเราไม่อยากจะให้ไป๋ยี่เฟยฆ่าผม แต่ไป๋ยี่เฟยไม่เห็นด้วย ดังนั้นพวกเขาเลยยึกยักอยู่แบบนี้ไง”
กำลังพูดอยู่ เหลยหมิงก็เยาะเย้ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “การก่อตั้งเมืองเจาหยางแห่งนี้ เราเองก็มีผลงานอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น เจ้านายของเรายังเป็นคนดูแลเมืองเจาหยางอยู่ในตอนนี้ แม้ว่าไป๋ยี่เฟยอยากจะฆ่าผม เจ้านายก็ไม่อนุญาต ไป๋ยี่เฟยเขาจะกล้าไหม?”
“ถ้าเขากล้า เขาคงฆ่าผมไปนานแล้ว เขาคงไม่ยอมให้คนอื่นพูดว่าเขาเป็นคนที่บรรลุเป้าหมายแล้วก็เตะคนที่ช่วยเหลือเขาออกไป มิฉะนั้น หลังจากพี่น้องที่อยู่ข้างล่างรู้เรื่องนี้เข้า ใครยังจะยอมสละชีวิตเพื่อเขาด้วยความเต็มใจอีกล่ะ?”
“แต่ว่า ก่อนหน้านี้เขาพูดต่อหน้าผู้คนมากมายว่าเขาจะฆ่าผม หากปล่อยผมออกไปอย่างกะทันหัน มันคงไม่มีเหตุผลพอ เขายังคงรู้สึกขายหน้าอยู่บ้าง!”
“ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงกักขังผมไว้ก่อน และสุดท้ายก็ทำอะไรกับผมไม่ได้เลย นี่ไงดูแลที่อยู่การกินผมอย่างดีไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อเหลยหมิงพูดจบเขาก็จิบไวน์จากแก้วไวน์ของเขา แล้วพูดกับหรั่นซินต่อไปว่า “ผมจะบอกคุณนะว่า ความคิดของไป๋ยี่เฟยเป็นยังไง ผมรู้มานานแล้ว”
“ผมว่าเขาก็แค่ชอบการพลิกผันทุกรูปแบบ อันที่จริงแค่มองมันให้ชัดเจนขึ้นก็พอแล้ว เดาว่าเขาคงจะกลัวว่าเจ้านายของเราจะมีอำนาจมากขึ้นในอนาคตและเขาควบคุมไม่ได้ เขาเลยอยากจะใช้เรื่องนี้กดดันเจ้านายของพวกเราก็แค่นั้น”
“หืม ถ้าเขาไม่ได้เกิดในตระกูลไป๋ ผมว่า เขาคงไม่สามารถมายืนอยู่ในจุดนี้ได้เลย! ยังจะมีวันนี้ได้สักที่ไหน?”
หรั่นซินไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาแล้วจิบมันและพูดว่า “หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นนะ”
“นี่มันยังจะต้องหวังอะไรอีกเหรอ?” เหลยหมิงตะคอก “ผมจะบอกคุณนะว่า การคาดเดาของผมนั้นไม่มีผิดอย่างแน่นอน และไป๋ยี่เฟยก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างที่พวกเราคิดหรอก!”
“ผมจะทิ้งคำพูดไว้ที่นี่ ถ้าเขากล้าที่จะฆ่าผม กูแม่งก็จะเด็ดหัวกูลงมาให้มึงเตะเป็นลูกบอลเลยในวันนี้”
พึ่งพูดจบคำพูดนี้ ก็มีเสียงดังขึ้นอยู่ที่ประตู
ต่อมาทั้งสองก็หันศีรษะไปมองพร้อมกัน และก็เห็นไป๋ยี่เฟยเปิดประตู และเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า
หลังจากที่ได้เห็นไป๋ยี่เฟย สีหน้าของหรั่นซินและเหลยหมิงก็ดูน่าเกลียดเล็กน้อย
และเหลยหมิงถึงกับเย้ยหยันว่า “คุณมาที่นี่เพื่อมาขอโทษใช่ไหม อยากจะให้ผมออกไปข้างนอกงั้นหรือ? ผมคิดว่ามันจำเป็นต้องขอโทษหรอก ผมอยู่ที่นี่ก็สบายอยู่แล้ว กินดีอยู่ดี และไม่ต้องทำอะไรเลย เยี่ยมมาก!”
“คุณรู้สึกดีก็ดี” ไป๋ยี่เฟยเดินเข้าไปสองก้าว แล้วนั่งลงตรงข้ามของพวกเขา
หรั่นซินมองมาที่เขาและถามด้วยเสียงทุ้มว่า “คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอ? ”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ตอบในทันที แต่เขาหยิบไวน์ขึ้นมาและรินเพิ่มให้หรั่นซินและเหลยหมิง แล้วรินให้ตัวเองแก้วหนึ่ง จากนั้นเขาถึงพูดอย่างช้าๆว่า “ครึ่งเดือนก่อน ผู้อพยพหลายร้อยคนในเขตที่สามถูกตระกูลจ้าวหลอกลวง และยึดเหมืองทองคำในเขตที่สาม แต่ว่า สุดท้ายก็ถูกผมเชิญให้กลับมาแล้ว”
“มันก็แค่พวกขยะไร้ค่าเท่านั้น จะอวดอะไร?” เหลยหมิงเยาะเย้ย
ไป๋ยี่เฟยไม่สนใจเขา แต่ยังคงพูดต่อไปว่า “ที่ผมพูดคือเชิญไม่จับกุม มันเป็นการเชิญจริงๆ ผมปล่อยให้พวกเขาอาศัยอยู่ในเขตที่สาม และในเวลาเดียวกันพวกเขาก็สามารถไปที่เมืองเจาหยางได้”
“ยังไงก็ตาม เขตที่สามในปัจจุบันถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองกวงหมิงแล้ว หลังจากเจาหยาง (พระอาทิตย์ตอนเช้า) มันก็คือกวงหมิง (แสงสว่าง) ”
“ในทำนองเดียวกัน ผมยังลงทุนเงินจำนวนมาก ในเมืองกวงหมิง เพื่อให้พวกเขาปรับปรุง”
“ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา สิ่งที่พวกเราทำ และทุกอย่างในเมืองเจาหยาง ล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของพวกเขา”
“เมื่อวานก่อน เราได้เชิญให้คนเหล่านี้กลับมาอีกครั้ง แล้วเราก็จัดการประชุมเล็กๆ กัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พวกเขาเผยแพร่ทุกอย่างเกี่ยวกับเมืองกวงหมิง เพื่อให้ผู้ที่หลบหนีได้รู้ว่าเมืองกวงหมิงเป็นอย่างไรในตอนนี้”
“จนถึงตอนนี้ มีผู้คนสองในสามได้กลับไปที่บ้านของตัวเองแล้ว”
เมื่อคำพูดจบลง หรั่นซินก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
เหลยหมิงกลับไม่สนใจ แม้กระทั่งยังเยาะเย้ยว่า “ผมยอมรับว่าวิธีการของคุณนั่นดีมาก ไม่มีอะไรจะต้องพูด แต่ว่า ที่คุณมาในคราวนี้ ก็เพราะว่ามาเพื่อแสดงความสามารถเหล่านี้ให้ผมเห็นงั้นหรือ?”
“อยากจะให้ผมขอบคุณคุณ และทำให้ผมรู้สึกว่าคุณช่วยผมแก้ไขความผิดพลาดที่ผมทำลงไป ใช่ไหม?”
“ไป๋ยี่เฟย ไม่ต้องเสียเวลาไปกับเรื่องนี้แล้ว” เหลยหมิงดื่มไวน์ในแก้วจนหมดในคำเดียว “ผมไม่มีวันขอบคุณคุณแน่นอน!”
“ถ้าอยากจะปล่อยผมออกไป ก็ช่างมันไปซะ ผมค่อนข้างรู้สึกสบายอยู่ที่นี่!”
ไป๋ยี่เฟยกลับส่ายหัว และพูดด้วยสีหน้าจางๆ ว่า “แค่นี้ยังไม่พอ”
“หมายความว่ายังไง?” เหลยหมิงขมวดคิ้วด้วยจิตสำนึก
หรั่นซินก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างเฉยเมยว่า “เพราะความโกลาหลในครั้งนี้ ทำให้สมาชิกในตระกูลจ้าวจำนวนมากหลบหนีไปได้ และปะปนกับประชาชน”
“แม้ว่าพวกเราจะเชิญพวกเขากลับมาทั้งหมดแล้ว แต่ถ้าพวกเขาไม่เห็นความจริงใจของพวกเราเป็นเวลานาน ถ้าอย่างนั้นตอนที่ตระกูลจ้าวทำให้พวกเขาสับสนอีกครั้ง เรื่องมันก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น”
“ผมจะไม่พูดมากแล้ว ทุกคนก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว และก็ควรรู้ว่าตัวเองควรรับผลจากสิ่งที่ตัวเองทำผิดไว้ ผมจะขอโทษกับทุกคน แต่ก่อนหน้านั้น คุณชอบการกินดีอยู่ดีอยู่ที่นี่ ก็อยู่ที่นี่ต่อเถอะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหลยหมิงและหรั่นซินก็ดูเคร่งขรึม ตาของพวกเขาก็ตกใจเล็กน้อย
“คุณหมายความว่ายังไงกันแน่” เหลยหมิงหรี่ตามองเขา
ในที่สุดไป๋ยี่เฟยก็ยิ้มและพูดว่า “ผมหมายความว่า นี่เป็นอาหารมื้อสุดท้ายในชีวิตของคุณแล้ว”
สีหน้าของเหลยหมิงมืดมนลงอย่างกะทันหัน และเขาก็ส่ายหัวอย่างไม่น่าเชื่อและพูดว่า “ไม่ มันเป็นไปไม่ได้ คุณจะฆ่าผมได้อย่างไร?”
หรั่นซินยืนขึ้นในทันทีที่เขาเห็นเช่นนี้ และขอร้องว่า “เจ้านายไป๋ นี่…….คุณก็ยกโทษให้เขาสักครั้งเถอะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น!”
ไป๋ยี่เฟยยืนขึ้นอย่างไร้อารมณ์ เหลือบมองหรั่นซิน จากนั้นก็มองไปที่เหลยหมิง และพูดอย่างจางๆ ว่า “คุณไม่ต้องกังวล ผมจะช่วยดูแลคนในครอบครัวของคุณให้ดี จะให้พวกเขาอยู่ดีมีสุขไปตลอดชีวิต”
หลังจากพูดเช่นนี้ ไป๋ยี่เฟยก็ออกไปทันที
หรั่นซินและเหลยหมิงต่างก็ตกตะลึงไปกับที่
เหลยหมิงเพิ่งกล่าวตอนเมื่อกี้นี้ว่าไป๋ยี่เฟยจะไม่ฆ่าเขาอย่างแน่นอน แต่ในพริบตา อาหารเหล่านี้ที่อยู่บนโต๊ะก็กลายเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของเขาไปแล้ว
เหลยหมิงเริ่มกังวลขึ้นมา และตะโกนว่า “เขา……..เขาต้องกำลังทำให้ผมตกใจอย่างแน่นอน คุณไปหาเจ้านายของเราเดี๋ยวนี้ รีบไป!”