ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 54 เข้าใจซึ่งกันและกัน
ตอนที่ 54 เข้าใจซึ่งกันและกัน
เจียงซื่อยัดขนมนั่วหมี่ฮวาใส่มืออาหมาน “พี่รอง พวกเราเข้าจวนกันเถอะ”
เจียงจั้นคว้าตัวเจียงซื่อไว้ “อย่าเข้าทางประตูใหญ่เลย เจ้าจะโดนคนเบียดเอา”
เจียงซื่อส่ายหัวเอ่ยว่า “ไม่ ข้าจะเข้าทางประตูใหญ่เนี่ยล่ะ”
“เห้อ…” เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อก้าวเดินนำหน้าไป เจียงจั้นจึงทำได้เพียงรีบเดินตามไป
มีคนมากมายถึงเพียงนี้ เกิดมีคนเดินไม่ดูตาม้าตาเรือมาชนน้องเข้าก็แย่น่ะสิ
“หลีกทางหน่อย หลีกทางหน่อย หลีกไปให้หมด”
ขณะที่เจียงจั้นเปิดทางให้เจียงซื่อ เจียงซื่อก็เดินอย่างรวดเร็วจนเกือบจะถึงหน้าประตูใหญ่สีแดงสดแล้ว
เมื่อพ่อบ้านเห็นเจียงซื่อ เขาก็สะดุ้งพลางรีบเอ่ยทักขึ้นว่า “คุณหนูสี่กลับมาแล้วหรือขอรับ”
“อืม” เจียงซื่อหยุดเท้าเล็กน้อยพลางพยักหน้าอย่างสำรวม
แต่จู่ๆ หญิงสาวในชุดคลุมสีฟ้าซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากพ่อบ้านก็พรวดพราดเข้ามาคว้าข้อมือเจียงซื่อไว้ และถามด้วยเสียงแหลมเกรี้ยวกราดว่า “ท่านเป็นเจ้าของจวนนี้หรือ”
“ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!” เจียงจั้นก้าวเท้าฉับไวราวกับดาวตกรีบเข้าไปแกะมือผู้หญิงคนนั้นออก
“พี่รอง ช้าก่อน”
เจียงซื่อพูดเสียงเบาเพียงประโยคเดียว เจียงจั้นก็หยุดการกระทำนั้นทันที เขาหันไปตะคอกใส่หญิงสาวผู้นั้นด้วยความโมโหว่า “ปัญหาระหว่างเจ้ากับหลิวเซียนกู จะมาลากจวนของพวกเราเข้าไปเอี่ยวด้วยก็เกินพอแล้ว อยู่ดีๆ เจ้ามาดึงมือน้องสาวข้าอีกด้วยเหตุใด”
จากการแต่งกายของเจียงซื่อและบทสนทนาที่คุยกับพ่อบ้านเมื่อครู่ คนทั่วไปคงสังเกตได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นคุณหนูสักคนในจวนแห่งนี้ ครั้นจะปิดบังตัวตนคงเป็นไม่ได้
คนรอบข้างที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ซุบซิบกันอย่างอื้ออึง
ผู้คนต่างเห็นใจหญิงสาวเนื่องจากลูกของนางตายตั้งแต่อายุยังน้อย แต่นางก็ไม่มีเหตุผลอะไรมาดึงตัวบุตรีผู้อื่นเช่นนี้ ต่อให้ไม่ใช่ชนชั้นสูง หากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับปุถุชนทั่วไป พ่อและพี่ชายน้องชายในครอบครัวนั้นก็ต้องเป็นกังวลไม่แพ้กัน
“อาซ้อท่านปล่อยมือข้าเสียเถิด หากคุณหนูของข้าเกิดตกใจกลัวขึ้นมา เจ้าของจวนแห่งนี้จะโกรธเอาได้” พ่อบ้านพยายามโน้มน้าวอย่างใจเย็น พลางแอบบ่นเจียงซื่ออยู่ในใจ
คุณหนูสี่ก็อีกคน รู้ทั้งรู้ว่ามีคนอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ไม่รู้จักอ้อมไปเข้าประตูหลัง ยังจะเดินผ่านมาตรงนี้
หญิงผู้นั้นบีบข้อมือเจียงซื่อแน่นกว่าเก่าพร้อมประกาศกร้าวว่า “ข้าไม่สน ในเมื่อข้าไม่อาจเจอเจ้านายจวนนี้ได้ งั้นข้าก็จะจับนางไว้อย่างนี้ล่ะ”
เจียงจั้นฮึดฮัดยิ่งกว่าเดิม แต่หันไปเห็นเจียงซื่อที่ส่ายศีรษะให้เขาเบาๆ
ตั้งแต่เจียงซื่อยื่นคำขาดให้จี้ฉงอี้ถอนหมั้นและยกเลิกการแต่งงานกับตระกูลสูงศักดิ์ เจียงจั้นก็รู้สึกชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของน้องสาวคนนี้ขึ้นมา และทันทีที่เขาเห็นท่าทีของเจียงซื่อในตอนนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาค่อยๆ สงบสติลง เขาจึงทำได้แค่จ้องเขม็งไปที่หญิงสาวในชุดคลุมสีฟ้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
เจียงซื่อชำเลืองมองพ่อบ้านด้วยหางตาผ่านผ้าบางสีดำพลางยกมุมปาก
ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยจริงๆ นางเดินผ่านประตูใหญ่และโดนรั้งตัวไว้ตามคาด
ในยุคต้าโจวมีการผ่อนปรนธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับสตรีมากกว่าแต่ก่อน ฉะนั้นการที่ชาวบ้านทั่วไปจะเลี้ยงดูบุตรีให้เป็นคนเผ็ดแสบแก่นกร้านวิ่งไล่บุรุษตามถนน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด แต่สำหรับบุตรีของชนชั้นสูงแล้ว การมาโต้เถียงกับชาวบ้านกลับเป็นการสร้างภาพจำที่ไม่ดีเอาเสียเลย
แม้ว่าเจียงซื่อจะไม่ได้สนใจว่าผู้อื่นจะมองอย่างไร แต่หากสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ตรงหน้าได้ ก็จะพยายามหลีกเลี่ยง
“อาซ้อรั้งข้าไว้เช่นนี้ ต้องการสิ่งใดจากข้างั้นหรือ” เจียงซื่อภายใต้หมวกเหวยเม่าถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หญิงผู้นั้นตะลึงไปชั่วขณะ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายที่ถูกทำให้กลัวเช่นนี้กลับไม่มีท่าทีขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังพูดกับนางอย่างสุภาพ
นั่นทำให้การกระทำของนางกลายเป็นเรื่องหยาบช้าไร้มารยาทในสายตาคนรอบข้างขึ้นมาทันที
“ข้าต้องการพบหลิวเซียนกู ข้าจะเอาตัวนางไปให้ทางการ!”
“แล้วเหตุใดท่านจึงต้องนำตัวหลิวเซียนกูไปให้ทางการล่ะ”
ทันทีที่เจียงซื่อเอ่ยถาม หญิงผู้นั้นก็ร้องไห้โหยหวนขึ้นมาทันควัน “นางฆ่าลูกของข้า…”
เจียงซื่อฟังนางเล่าเรื่องลูกของนางอีกครั้งอย่างอดทนแล้วจึงเอ่ยว่า “เรื่องความทุกข์ของท่าน ข้าเองก็เห็นใจ ว่าแต่ลูกของท่านตายตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
หญิงผู้นั้นทำทีพิรี้พิไร พูดเสียงแหลมเพื่อกลบเกลื่อนความลุกลี้ลุกลนว่า “เมื่อปีก่อน ทำไมหรือ”
เจียงซื่อถอนหายใจ
ยามที่คนในเมืองหลวงมุงดูเรื่องชาวบ้านก็พอมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่บ้าง เมื่อทั้งสองฝ่ายกำลังพูดคุยถึงสาระสำคัญ ทุกคนก็จะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ไม่มีผู้ใดปริปากส่งเสียงเลยสักคน ดังนั้น คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ จึงได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของเจียงซื่ออย่างชัดเจน
คุณหนูจวนปั๋วถอนหายใจเรื่องอะไรกันนะ
ความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนรอบข้างจึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
เจียงซื่อจึงพูดต่อว่า “ท่านก็น่าจะทราบดีว่า ดวงตาของท่านย่าข้ามองไม่เห็นมาหลายวันแล้ว อาสะใภ้รองจึงเชิญหลิวเซียนกูมาทำพิธีให้ หลิวเซียนกูก็ช่วยทำพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ทั้งยังบอกอีกว่าดวงตาของท่านย่าจะหายดีในสามวัน”
เมื่อพูดจบ เจียงซื่อหันไปทางฝูงชนและเอ่ยถามว่า “เรื่องนี้พวกท่านก็คงได้ยินกันมาแล้วมิใช่หรือ”
“ได้ยินแล้ว เรื่องนี้มีใครไม่รู้บ้างเล่า” ผู้คนต่างพากันหัวเราะ
เจียงซื่อจึงหันไปทางหญิงผู้นั้นและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เรื่องของลูกท่านเป็นเรื่องที่เกิดตั้งแต่ปีที่แล้ว เหตุใดจึงไม่นำตัวหลิวเซียนกูไปให้ทางการเสียตั้งแต่ตอนนั้น ไฉนจึงต้องรอจนถึงบัดนี้”
หญิงผู้นั้นกลอกตา ร้องไห้ฟูมฟายพลางกล่าว “คุณหนูจะมาเข้าใจความทุกข์ยากของคนธรรมดาอย่างพวกข้าได้อย่างไร ท่านอยากจะเชิญหลิวเซียนกูมาเมื่อใดก็ย่อมได้ แต่สำหรับพวกข้าแล้วไม่มีปัญญาไปเชิญคนใหญ่คนโตเช่นนั้นไหวหรอก นางรักษาลูกชายข้าจนตายยังไม่ยอมรับผิด ซ้ำร้ายยังให้คนมาไล่ครอบครัวข้าให้ไปอยู่นอกเมือง ในตอนนั้น บ้านข้ามีทั้งคนแก่ เด็ก คนป่วย ถึงบัดนี้ก็เพิ่งจะดีขึ้น…”
หญิงผู้นั้นร้องห่มร้องไห้ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างพากันเห็นใจ
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” เจียงซื่อพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นขอให้ท่านทนรออีกสักวันเถิด หลิวเซียนกูบอกว่าดวงตาของท่านย่าจะดีขึ้นในสามวัน พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายแล้ว”
“ไม่ได้!” หญิงผู้นั้นแผดเสียงดัง “เกิดพรุ่งนี้หลิวเซียนกูหนีไปจะทำอย่างไร ถึงเวลานั้นข้าจะไปตามหานางได้ที่ไหนอีก ข้าต้องการพาตัวนางไปส่งให้ทางการเดี๋ยวนี้!”
เจียงซื่อค่อยๆ ชักมือของตัวเองออกจากมือของหญิงผู้นั้น “หากแค่อีกวันเดียวท่านยังรอไม่ได้ ข้าเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว หากท่านเข้าไปพบนางในยามนี้และกระทบกับการรักษาท่านย่าขึ้นมาล่ะ”
“คุณหนูช่างไม่ยุติธรรมกับข้าเสียจริง ข้าแค่กลัวว่าหลิวเซียนกูจะหนีไปเท่านั้น”
เจียงซื่อหัวเราะพลางเอ่ยเสียงดังว่า “ข้าถามพวกท่านหน่อยเถิดว่า ท่านคิดว่าพรุ่งนี้หลิวเซียนกูจะหนีรอดจากจวนปั๋วไปได้หรือไม่”
คนรอบข้างต่างพากันหัวเราะตอบว่า “ไม่มีทางหรอก”
หญิงผู้นั้นมองไปที่ฝูงชนด้วยสีหน้าว่างเปล่ากับจิตใจสับสนว้าวุ่น
มีคนช่วยเสนอ “เจ้าไม่รู้หรือว่า พวกข้าเดิมพันเอาไว้แล้ว หากดวงตาของเหล่าฮูหยินดีขึ้น ไม่ว่าผลจะแพ้หรือชนะ ก็ต้องมาดูกันว่าเซียนกูที่มีพลังเทพเจ้านั้นเป็นอย่างไร แต่หากดวงตาของเหล่าฮูหยินรักษาไม่หาย เหอะๆ พวกเรายิ่งต้องจับตาดูให้ดีมิใช่หรือ”
หากหลิวเซียนกูเป็นเทพเจ้าที่มีชีวิตอยู่จริง ไม่ว่าจะคนแพ้หรือชนะก็คงไม่มีใครมีปัญหาอะไร แต่หากกลายเป็นแม่หมอลวงโลกล่ะก็ คนที่แพ้พนันคงจับนางมาทุบตีระบายความโกรธให้สาสมกับเงินที่เสียไปเป็นแน่
“ดังนั้นเจ้าวางใจเถอะ พวกเราคอยจับตามองกำแพงรอบจวนปั๋วทั้งหน้าและหลังเป็นอย่างดี หลิวเซียนกูจะหนีไปได้ก็ต่อเมื่อนางติดปีกเหาะไปเท่านั้น”
หญิงผู้นั้นได้ฟังแล้วก็ตะลึงตาค้างไป
ตอนที่อธิบายให้นางฟังไม่เห็นบอกว่าจะยุ่งยากถึงเพียงนี้
“ท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ มีคนคอยจับตาดูอย่างตั้งใจเช่นนี้ หลิวเซียนกูคงหนีไม่รอดแล้วล่ะ ท่านทนรออีกสักวันเถิด อย่าเพิ่งเข้าไปขวางการรักษาของท่านย่าเลย ผู้คนในจวนปั๋วจะรู้สึกซาบซึ้งในความเห็นใจและความเข้าใจของท่าน” เมื่อพูดจบ เจียงซื่อก็ย่อตัวให้กับหญิงผู้นั้น
“คุณหนูเจียงพูดถูก พวกเราเอาหัวเป็นประกันว่าหลิวเซียนกูจะไม่มีทางหนีรอดไปได้” เสียงฝูงชนกล่าวเซ็งแซ่
หญิงผู้นั้นหันไปมองพ่อบ้านอย่างอดไม่ได้
เมื่อพ่อบ้านเห็นว่าสถานการณ์บานปลายจึงถอยออกมาเงียบๆ เตรียมนำเรื่องนี้ไปรายงาน
“พ่อบ้านหวัง เหตุใดจึงไม่นำสำรับน้ำชามาให้อาซ้อท่านนี้เล่า นางอุตส่าห์เข้าใจพวกเรา พวกเราเองก็ควรแสดงน้ำใจต่อนางด้วยเช่นกัน” เจียงซื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ