ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 484 รางวัลสำหรับผู้มีผลงาน
“พระชายาเพคะ จดหมายขอเข้าเยี่ยมจากจวนฉีอ๋อง”
เจียงซื่อรับจดหมายที่พิมพ์ลายด้วยทองคำอันงดงามจากมือของจี้หมัวมัว จากนั้นเปิดอ่านดูอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะโยนมันไปที่บนโต๊ะ นางกล่าวออกมาเพียงว่า “ข้าไม่พบ”
จี้หมัวมัวขมวดคิ้วเข้าหากัน
พระชายาช่างปฏิเสธอย่างรวดเร็วและเรียบง่ายเหลือเกิน
ในฐานะนายหญิงแห่งจวนเยี่ยนอ๋อง นางมีหน้าที่จะต้องดูแลงานทั่วไปในจวนและสานสัมพันธ์ระหว่างคนจากจวนอื่นๆ การที่พระชายาฉีอ๋องเดินทางมาเยี่ยมเยียนน้องสะใภ้ผู้กำลังตั้งครรภ์ ตามเหตุผลแล้วนางจะปฏิเสธได้อย่างไร
เอาแต่ใจ พระชายาช่างเอาแต่ใจเหลือเกิน
เมื่อเหลือบมองท้องของเจียงซื่อซึ่งดูยังไม่ปูดโปนขึ้นมา จี้หมัวมัวก็ได้แต่แอบถอนหายใจ
จะทำอย่างไรได้ สตรีมีครรภ์จะทำให้ลำบากใจไม่ได้ หากนางไม่อยากพบก็คงต้องตามใจนาง
“พระชายาเยี่ยนอ๋องไม่สบายกายจึงไม่สะดวกที่จะพบแขกหรือ” เมื่อได้รับคำตอบนี้ พระชายาฉีอ๋องก็รู้สึกอึดอัดใจทำสีหน้าบูดบึ้ง
พระชายาเยี่ยนอ๋องปฏิเสธได้ตรงไปตรงมาเหลือเกิน เหตุผลที่นางให้มานั้นช่างดูไร้สาระ
ไม่สบายกายอะไรกัน บัดนี้นางตั้งครรภ์ได้เกินสามเดือน ก่อนหน้านี้อาการแพ้ท้องก็ควรหายแล้ว การที่นางให้คำตอบเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการที่จะสนทนาสร้างความสัมพันธ์กับตน
พระชายาเยี่ยนอ๋องผู้นี้ ช่างดื้อดันเหลือเกิน
นับแต่ที่เจียงซื่อตั้งครรภ์ นางก็ไม่ได้เดินทางออกไปจากจวนเยี่ยนอ๋องเลย บัดนี้ฉีอ๋องไม่อาจแม้แต่จะเห็นหน้านาง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกล่าวถึงเรื่องการผูกสัมพันธ์
ดังนั้นพระชายาฉีอ๋องจึงทำได้เพียงเดินทางไปเยี่ยมเยียนพระชายาหลู่อ๋องและพระชายาสู่อ๋อง จากนั้นจวนฉีอ๋องก็ปิดประตูไม่พบแขก ทำให้จวนฉีอ๋องกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
……
ภายในห้องทรงพระอักษร หนังสือละครที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ซุกซ่อนเอาไว้ ไม่ได้เปลี่ยนเล่มใหม่มาเนิ่นนานแล้ว
นับตั้งแต่องค์รัชทายาทถูกปลดตำแหน่ง เขาก็ไม่มีอารมณ์จะอ่านหนังสือบทละครหรือนวนิยายแสนผ่อนคลายเหล่านั้นอีก
แม้ว่าบรรดาขุนนางยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ แต่เขาก็เห็นได้จากความปรารถนาในสายตาอันกระตือรือร้นของคนเหล่านั้นว่าต้องการให้เขาแต่งตั้งองค์รัชทายาท
แต่ว่าเขายังไม่ต้องการ
ไม่ใช่ว่ายังคงอาลัยอาวรกับองค์รัชทายาทคนเก่า แต่เมื่อนึกถึงว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทที่แต่งตั้งมาเนิ่นนานหลายปี จู่ๆ ได้ถูกแทนที่ด้วยโอรสคนอื่น ในใจของเขาก็รู้สึกยากที่จะรับได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินออกไปนอกห้องทรงพระอักษร พิงศีรษะไปที่เสาแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้า
บนฟากฟ้ายามราตรีไร้ซึ่งดวงดาวและดวงจันทร์ เฉกเช่นความรู้สึกของเขาอันว่างเปล่าบัดนี้
“ซู่เย่ว์ ข้าปลดตำแหน่งหลางเอ๋อร์ เจ้าโทษข้าหรือไม่” จิ่งหมิงฮ่องเต้พึมพำถามออกมาด้วยน้ำเสียงอันบางเบา ซึ่งมีแต่เขาเท่านั้นที่ได้ยิน
ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของเขานี้ แต่จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้ดีว่าเขาสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเช่นนี้ได้มากสุดก็แค่ปีนี้ เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิในปีหน้า บรรดาขุนนางเหล่านั้นก็คงจะพากันกระโดดโล้ดเต้นออกมาบีบบังคับให้เขาแต่งตั้งตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างแน่นอน
เอาเถอะ ถึงอย่างน้อยก็ขอให้เขาใช้ชีวิตอย่างสงบสักสองสามเดือนก็ยังดี
เสียงฝีเท้าเบาๆ ลอยมา จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้เหลียวหลังมอง
“ฝ่าบาท เหตุใดจึงไม่เข้าบรรทมพ่ะย่ะค่ะ” พานไห่กระซิบถาม
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันกลับไป พระพักตร์ครึ่งหนึ่งเป็นเงามืด “ที่ด้านนอกมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”
พานไห่ลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มกล่าวจากตรงไหนก่อน
“ได้ยินมาว่า ประตูจวนจิ้นอ๋องครึกครื้นมากทีเดียว?”
พานไห่ไม่กล้าตอบ
“แล้วที่จวนฉีอ๋องเล่า”
“ฉีอ๋องปิดประตูจวนมาหลายวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้น สีพระพักตร์ก็ผ่อนคลายลงมากทีเดียว
แต่ไหนแต่ไรมา เจ้าสี่เป็นคนที่รักพี่น้อง ไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่น่าเสียดายนัก หากนับตามลำดับแล้ว เขาไม่อาจยืนได้มั่นคงเท่ากับเจ้าสาม…
หลังจัดการกับความคิดเหล่านี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็หันไปเอ่ยถามขึ้นว่า “แล้วในพระราชวังเล่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเฉินเหม่ยเหรินและหยางเฟยหาตัวเจอแล้วหรือไม่”
เดิมทีเขาก็ไม่อยากจะผิดกฎโดยให้หน่วยงานบูรพาไปสืบเรื่องในวังหลังอย่างลับๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้กระทำการแหกกฎ
แม้ว่าเจินซื่อเฉิงจะทำเพียงคาดเดาออกมา แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเชื่อ
จะต้องตามตัวคนผู้นั้นออกมาให้ได้!
สีหน้าของพานไห่ดูละอายใจแล้วกล่าวว่า “บัดนี้ยังไม่พบเบาะแสใดพ่ะย่ะค่ะ ผู้คนที่ติดต่อกับเฉินเหม่ยเหรินและหยางเฟย เป็นประจำ สืบไม่พบความผิดปกติใด”
ในเมื่อเป็นการแอบสืบ แน่นอนว่าจะตีหญ้าให้งูตื่นไม่ได้ แต่คนคนนั้นมีผลกระทบต่อเฉินเหม่ยเหรินและหยางเฟย ไม่แน่ว่า อาจจะอยู่ที่ในพระราชวังนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาเบาะแส
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้ในส่วนนี้ดี และเขาก็ไม่อยากจะไปตำหนิพานไห่ จึงได้นึกถึงอวี้จิ่นขึ้นอีกครั้ง
บางทีควรจะลองเรียกเจ้าเจ็ดมาลองดู?
แต่เรื่องระหว่างองค์รัชทายาทและหยางเฟย เขาไม่อยากให้เจ้าเจ็ดรับรู้…
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกสับสนชั่วขณะ
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ บัดนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว เขาบรรทมเถิด” พานไห่กล่าวโน้มน้าว
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้า น้ำเสียงของเขาดูเหนื่อยล้า “อืม”
บัดนี้คงได้แต่รอดูไปก่อน ให้เวลาพานไห่อีกสักพักในการสืบหาเบาะแส
วันแห่งความสงบสุขของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ในวันต่อมาก็ได้ถูกทำลายลง
เนื่องจากมีผู้ตรวจการคนหนึ่งเข้ามาฟ้องร้องเจินซื่อเฉิง
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เจินซื่อเฉิงแห่งศาลาว่าการพระนครสืบพบว่าจิ้งอ๋องใช้ให้องครักษ์จินอู๋คนหนึ่งลอบปลงพระชนม์อันจวิ้นอ๋องเพื่อสตรีนางหนึ่งที่แม่น้ำจินสุ่ย แต่กระหม่อมได้ยินมาว่าสตรีนางนั้นไม่รู้จักอันจวิ้นอ๋องเสียด้วยซ้ำ…ดังนั้นกระหม่อมจึงคิดว่าเจินซื่อเฉิงตัดสินคดีผิด และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตำแหน่งขององค์รัชทายาท ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาใหม่อีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้น เส้นเลือดบนพระพักตร์ก็ปูดโปน
พิจารณาอะไรอีกเล่า หากให้พิจารณาอีก ฉะนั้นคงต้องให้ประกาศต่อผู้คนทั้งโลกว่าองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์กับนางในอย่างงั้นหรือ
ผู้ตรวจการผู้นั้นจึงได้รับการตำหนิอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อทอดพระเนตรไปยังขุนนางต่างๆ ที่ทำสีหน้าแตกต่างกันไป จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ตระหนักได้ว่ามองดูแล้วผู้คนมากมายยังไม่ยอมรับความเป็นจริงเรื่องที่องค์รัชทายาทถูกปลดจากตำแหน่ง
จิตใจของผู้คนนั้นไม่หนักแน่น นี่ไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะมีความคาดหวังต่อองค์รัชทายาทที่ถูกปลดตำแหน่งไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยถามว่า “ในวันนั้นองครักษ์จินอู๋ที่ช่วยใต้เท้าเจินปราบปรามฆาตกรนามว่าอะไร คือผู้ใด”
เขาจำได้ว่าเป็นพี่ชายภรรยาของเจ้าเจ็ด ชายหนุ่มรูปงามผู้นั้น
ใครบางคนรีบทูลขึ้นทันทีว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ องครักษ์จินอู๋ผู้นั้นคือคุณชายแห่งจวนตงผิงปั๋ว”
“เรียกเขาเข้ามาเข้าเฝ้า”
จังหวะเดียวกันกับที่เจียงจั้นอยู่เวร ใช้เวลาไม่นาน เขาก็ถูกทหารพาเข้าไปในห้องโถง
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงจั้นอยู่ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ โชคดีที่เขาเป็นคนใจกล้า อีกทั้งไม่ค่อยสนใจกับชนชั้นวรรณะเท่าไร จึงมีท่าทางแสดงออกอันผ่าเผย
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปยังชายหนุ่มที่สูงสง่าทำการคารวะต่อเขา จากนั้นจึงได้พยักหน้าเบาๆ ไม่แปลกใจเลยที่เป็นพี่น้องกับภรรยาเจ้าเจ็ด เป็นชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
“หลังจากเหตุการณ์วันนั้นข้าก็ยุ่งเสียจนไม่มีเวลา แต่คุณงามความดีของเจ้า ข้าได้จารึกไว้ในใจเสมอ” น้ำเสียงของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดูอ่อนโยน แล้วเอ่ยถามเจียงจั้นว่า “เจียงเอ้อร์ เจ้าลองกล่าวมาสิว่าต้องการผลตอบแทนเช่นไร”
ในเมื่อมีคนกล่าวโทษเจินซื่อเฉิง เช่นนั้นเขาก็จะให้รางวัลผู้ที่ช่วยปกป้องเจินซื่อเฉิง เพื่อให้คนเหล่านั้นนำกลับไปครุ่นคิดพิจารณา
เจียงจั้นเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเป็นประกาย “ฝ่าบาทจะประทานรางวัลให้แก่กระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางทั้งหลายพากันตกตะลึง
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นท่าทางอันกระตือรือร้นของผู้ที่ฝ่าบาทจะประทานรางวัลให้
คุณชายรองของจวนตงผิงปั๋วช่างเหมือนกันกับบิดาของเขาเหลือเกิน
ความตรงไปตรงมาของเจียงจั้นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับรู้สึกชื่นชม ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว เมื่อมีผลงานก็ควรได้รับรางวัล เมื่อกระทำผิดก็ต้องลงโทษ เพียงแค่รางวัลที่เจ้าต้องการนั้นสมเหตุสมผลข้าก็จะมอบให้แก่เจ้า”
พี่ชายของพระชายาอ๋อง ต่อให้ไม่มีผลงานใด การที่เขาจะเลื่อนตำแหน่งให้จากองครักษ์ธรรมดา ก็นับว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้และสมเหตุสมผล เมื่อคิดได้ดังนี้ ความรู้สึกชื่นชอบที่จิ่งหมิงฮ่องเต้มีต่อเจียงซื่อก็ดูลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย
เป็นการดีที่เขาพยายามช่วยบิดาในการเลื่อนตำแหน่งเลื่อนยศ
ดวงตาของเจียงจั้นเป็นประกาย มองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ สามารถส่งกระหม่อมไปเป็นทหารที่เขตชายแดนทางใต้หรือทางเหนือได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้คิดว่าตนได้ยินผิดไป เขาจึงนั่งตัวตรงแล้วเอ่ยถามอีกครั้งว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ!”
เจียงจั้นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันดังฟังชัดว่า “กระหม่อมประสงค์ไปเป็นทหารที่หนานเจียงหรือเขตเหนือ เพื่อปกป้องดินแดนราชวงศ์ต้าโจวของเราพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินคำร้องขออันเด็ดเดี่ยวและกระตือรือร้นของชายหนุ่ม เขาก็รู้สึกกระสับกระส่ายทำตัวไม่ถูก จึงโพล่งออกมาว่า “ไร้สาระ!”