ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 478 ค้างแรมบนภูเขาชุ่ยหลัว
เมื่อเห็นหยางเฟยล้มพับอยู่ตรงหน้า เจินซื่อเฉิงจึงรีบหันไปสั่งพานไห่ที่อยู่ข้างๆ ทันที “รีบตามหมอหลวงเร็วเข้า!”
ยามที่ฮ่องเต้เสด็จแปรพระราชฐานจะมีสำนักหมอหลวงติดตามไปด้วยเสมอ
พานไห่พะวงหน้าพะวงหลังชั่วครู่
เนื่องจากต้องเก็บเรื่องหยางเฟยและไท่จื่อเป็นความลับ นอกจากสามสี่คนที่ทราบเหตุการณ์อยู่แล้วก็ไม่อาจแพร่งพรายออกไป แต่หากเชิญหมอหลวงมาตอนนี้…
เมื่อเห็นพานไห่ติดจะลังเล เจินซื่อเฉิงจึงแผดเสียงดังลั่น “พานกงกง ต้องมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังหยางเฟยเป็นแน่ หากยังไม่ได้คำตอบ ก็ไม่สามารถปล่อยให้นางเป็นอะไรไป!”
พานไห่ผงกหัวรับ ก้มหน้าพลางตอบ “เช่นนั้นเชิญใต้เท้าเจินกลับไปก่อน”
มีข้าหลวงพาเจินซื่อเฉิงกลับมาหาจิ่งหมิงฮ่องเต้
“ได้ความหรือไม่” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามเคร่งขรึม
เจินซื่อเฉินยกมือขึ้นคารวะขอพระราชทานอภัย “ขณะที่กระหม่อมกำลังถามความจากหยางเฟย จู่ๆ พระนางก็ยกมือกุมพระหทัยและล้มลงไปพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตึงเครียดกว่าเก่า ใบหน้าย่ำแย่อย่างที่สุด “อาการของนางทรุดลงงั้นหรือ”
“พานกงกงไปตามหมอหลวงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่พระอาการเป็นเช่นไร ยังต้องรอคำวินิจฉัยจากหมอหลวงเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รีบสั่งให้ข้าหลวงไปสืบทันที
ผ่านไปไม่นาน พานไห่ก็กลับมาพร้อมสีหน้าย่ำแย่หนักหน่วง “ฝ่าบาท หยางเฟยสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่มันอะไรกัน”
“หมอหลวงแจ้งว่าพระนางสิ้นพระชนม์ด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลันพ่ะย่ะค่ะ…”
ไม่ทันรอให้พานไห่พูดจบ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ตบโต๊ะฉาดใหญ่ “บัดซบ!”
พานไห่เงียบกริบไม่โต้ตอบ
การที่ฮ่องเต้บริภาษออกมาเช่นนี้ได้แสดงว่าพระองค์ทรงกริ้วอย่างถึงที่สุดแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดือดดาลอย่างยิ่งยวด นอกจากความเกรี้ยวกราดแล้ว เขายังรู้สึกว่าตนเองช่างไร้ความสามารถ
ตอนที่เกิดเรื่องกับองค์หญิงสิบห้า นางในร่ายระบำที่ถูกจับได้ก็เป็นโรคหัวใจวายเฉียบพลัน มาถึงตอนนี้หยางเฟยก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุอาการเดียวกัน นี่มันเป็นโรคติดต่อให้หมู่สตรีในวังหรืออย่างไร
เหลวไหลชัดๆ!
ท่าทีของจิ่งหมิงฮ่องเต้ทำให้เจินซื่อเฉิงรู้สึกประหลาดใจจึงถามหยั่งเชิง “ฝ่าบาท พระองค์คิดว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของหยางเฟยมิใช่อาการหัวใจวายเฉียบพลันอย่างที่หมอหลวงกราบทูลหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ค่อยๆ สงบสติลง เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับงานเลี้ยงในหมู่ราชวงศ์ที่จัดขึ้นที่ตำหนักฉางเซิงที่ผ่านมา “นางในร่ายระบำที่ทำร้ายองค์หญิงที่สิบห้าก็ชีวิตลงกะทันหันในระหว่างการสอบสวน ในตอนนั้นหมอก็วินิจฉัยว่าเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันเหมือนกัน”
เจินซื่อเฉิงฟังดังนั้นแล้วก็ลูบเคราของตัวเอง
“หากเกิดแค่ครั้งเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เสียชีวิตด้วยอาการเดียวกันถึงสองครั้ง ไม่บังเอิญไปหน่อยรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวด้วยแววตาล้ำลึก
เจินซื่อเฉิงเงียบงันชั่วครู่
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่ชายวัยกลางคน “เจินอ้ายชิง เจ้าคิดอย่างไร”
เจินซื่อเฉิงยกมือขึ้นคารวะฮ่องเต้ “ฝ่าบาท การที่สตรีในวังหลวงเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันเหมือนกันถึงสองครั้งสองครา ยิ่งเป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่เจ้าบอกว่าเบื้องหลังหยางเฟยมีคนชักใยอยู่น่ะหรือ”
เจินซื่อเฉิงพยักหน้า “เป็นไปได้มากว่าคนๆ นั้นซ่อนตัวอยู่ในวังหลัง คอยยั่วยุคนนั้นที คนนี้ที จึงมีเรื่องเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลับตาลง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “หากคนๆ นั้นมีตัวตนอยู่จริงก็น่ากลัวยิ่งนัก”
การกระตุ้นให้ผู้อื่นเกิดความคิดชั่วร้ายถึงขั้นควบคุมความเป็นความตายของอีกคนได้ อีกทั้งยังทราบความมหัศจรรย์ของปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ฝีมือระดับนี้ต่างอะไรจากพวกภูตผี
ครั้นคิดว่าในวังหลังมีคนผู้นั้นซ่อนตัวอยู่ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็พะวงใจไม่เป็นสุข
“หากมีคนผู้นั้นอยู่จริงก็ต้องหาให้เจอ!”
เจินซื่อเฉิงยังคงเงียบงัน
คนผู้นั้นอยู่ในวังหลัง เขาเองก็จนปัญญา
ดูเหมือนฮ่องเต้ก็ฉุกคิดในจุดนี้ ใบหน้าของเขาจึงพลันหมองหม่น
แม้ว่าเจินซื่อเฉิงจะไขคดีได้ดีเลิศเพียงใด แต่อย่างไรแล้วก็เป็นเพียงข้าราชการจากนอกวังหลวง ไม่สามารถเข้ามายุ่มย่ามเรื่องในวังหลัง
อีกประการหนึ่ง หากไปสอบปากคำพระสนมในวังหลังโดยไม่มีหลักฐานชี้ชัด ไทเฮาคงได้เอาไม้เท้าเขกหัวเขาเป็นแน่
ในขณะที่ความกลัดกลุ้มรุมซ้ำเติม จู่ๆ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็นึกถึงใครบางคน อวี้จิ่น
เจ้าเจ็ดตามเจินซื่อเฉิงไปทำคดีตั้งมากมาย อีกทั้งในตำหนักฉางเซิงเมื่อคราวก่อนก็แสดงฝีมือได้อย่างน่าประทับใจ หรือว่าควรให้เขาลองทำดู
ความคิดแวบผ่านเข้ามาพร้อมกับอาการปวดหนึบในศีรษะเนื่องจากการเสียชีวิตของหยางเฟย
พายุหิมะด้านนอกยังคงไม่ผ่อนเบาเลยแม้แต่น้อย พื้นถนนเรียบลื่น การจะเดินทางกลับวังหลวงแทบเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นมีความเป็นไปได้มากว่า คืนนี้อาจต้องพักแรมอยู่ที่นี่ และค่อยออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น
แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น การจะให้พานไห่และคนอื่นๆ ช่วยกันปิดเรื่องนี้เป็นความลับจากเหล่าพระสนมคงเป็นงานยากยิ่ง
จากรูปการณ์แล้ว ฮ่องเต้คงต้องขอความช่วยเหลือจากฮองเฮา
จิ่งหมิงฮ่องเต้คิดตกดังนั้นก็มุ่งหน้าไปยังที่ประทับของฮองเฮาทันที
เนื่องจากพระราชวังนอกเมืองหลวงมีขนาดไม่ใหญ่นัก พื้นที่พำนักของเหล่าพระสนมจึงอยู่ในบริเวณเดียวๆ กัน ฉะนั้นแค่เสียงลมพัดใบไม้ไหวก็คงได้ยินกันทั่ว
ครั้นเห็นฮ่องเต้เสด็จมาในยามนี้ ฮองเฮาก็ทราบทันทีว่ามีเหตุไม่ปกติ
นางเข้าไปต้อนรับด้วยสีหน้าราบเรียบ “ฝ่าบาท…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้จับมือฮองเฮาและจูงนางไปที่เตียง
“เรื่องวันนี้ เจ้าคงได้ยินมาบ้างแล้วรึ”
ฮองเฮาลังเลชั่วครู่ก่อนจะถาม “ฝ่าบาทหมายถึงเรื่องอันจวิ้นอ๋องรึเพคะ”
งานเลี้ยงที่ตำหนักหน้าจัดขึ้นเพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่เหล่าขุนนาง แม้นางจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เหตุการณ์สุดสะเทือนเลือนลั่นเช่นนั้นก็คงปิดไว้ไม่มิด
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้ตอบคำถาม สายตาจดจ้องลึกเข้าไปในตาของฮองเฮา “ฮองเฮา ข้าเชื่อใจเจ้าได้หรือไม่”
ฮองเฮาผงะไปชั่วครู่
ประโยคของฝ่าบาทตีความได้มากมายยิ่งนัก ทำให้ในชั่วขณะนั้นนางรู้สึกสับสนไม่น้อย
หลังจากรวบรวมสติได้ ฮองเฮาพยายามข่มความสงสัยไว้ก่อนพลางบอก “หม่อมฉันและพระองค์เป็นสามีภรรยากัน หม่อมฉันจะอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้ารับก่อนจะกล่าวแผ่วเบา “ข้าตัดสินใจจะปลดไท่จื่อ!”
แม้ฮองเฮาจะเป็นคนที่ควบคุมสติได้ดี แต่ทว่าเรื่องนี้กลับทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มือของนางสั่นเกินจะคุมได้ “ฝ่าบาท?”
นี่นางประสาทหลอนไปงั้นหรือ ถึงได้ยินว่าฝ่าบาทจะปลดไท่จื่อ!
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางเฝ้าดูเหล่าองค์ชายเติบโตขึ้นด้วยสายตาเย็นชา นางเพียงแต่คิดว่าความระส่ำระสายที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางหมู่องค์ชายเป็นเพียงเรื่องน่าขัน
แปลกที่เหล่าองค์ชายกลับดูไม่ออกว่า ในสายตาฝ่าบาท ไม่มีโอรสองค์ใดสำคัญไปกว่าไท่จื่อผู้ประสูติจากฮองเฮาพระองค์ก่อนอีกแล้ว
เพราะนั่นเป็นเพียงบุตรชายคนเดียวที่ถูกต้องตามกฎหมายของฮ่องเต้ และเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนเดียวจากภรรยาคนแรก
สถานะของไท่จื่อมั่นคงหาใดเปรียบ
ทว่าในยามนี้ ฝ่าบาทตรัสออกจากพระโอษฐ์เองว่าจะปลดไท่จื่ออย่างนั้นหรือ
ในขณะนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้ห่วงหน้าตาของตนเองอีกแล้ว เขากัดฟันพลางบอก “ไท่จื่อและหยางเฟยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน!”
ฮองเฮาลุกพรวด ใบหน้าของนางสั่นวูบ แต่ไม่นานนางก็นั่งลง ยังคงไม่พูดไม่จา
ที่นางสงบเงียบมิได้แสดงออกว่านางมีสติ แต่เป็นเพราะอาการตกใจที่ไม่รู้ว่าควรตอบสนองเช่นไร
ผ่านไปนานหลายอึดใจ น้ำเสียงสั่นๆ ของฮองเฮาก็เปล่งออกมาในที่สุด “แล้วตอนนี้หยางเฟยและไท่จื่อเป็นอย่างไรหรือเพคะ”
“ไท่จื่อถูกหน่วยองครักษ์จิ่นหลินและหน่วยงานบูรพาคุมตัวอยู่ ส่วนหยางเฟยก็เสียชีวิตลงกะทันหัน ข้ามีเรื่องให้ฮองเฮาช่วยหน่อย ก่อนที่จะกลับไปถึงวังหลวง อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้เรื่องที่หยางเฟยเสียชีวิตเป็นอันขาด”
มิใช่แค่เรื่องการเสียชีวิตของหยางเฟยเท่านั้น เรื่องที่ไท่จื่อกำลังจะถูกปลดก็ไม่อาจแพร่งพรายออกไป
พระราชวังนอกเมืองแตกต่างจากพระราชวังในเมือง เพราะมีปัจจัยภายนอกที่ไม่อาจควบคุมมากมาย หากพลาดนิดเดียวก็อาจนำไปสู่วิกฤต
จิ่งหมิงฮ่องเต้เปิดเผยแผนการให้ฮองเฮาทราบในเวลาอันรวดเร็ว
ครั้นฟังจนจบแล้ว ฮองเฮาก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฝ่าบาทวางพระทัยได้เพคะ เรื่องหยางเฟยทางนี้ หม่อมฉันจะจัดการเองเพคะ”
เหล่าขุนนางที่นั่งรอในตำหนักจนฟ้ามืดก็ปวดก้นไปตามๆ กัน และในที่สุดก็มีขันทีมาส่งข่าว
“เชิญทุกท่านแยกย้ายได้ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งว่าคืนนี้ให้พักแรมอยู่ที่ภูเขาชุ่ยหลัวแห่งนี้”
พายุหิมะด้านนอกยังคงเทกระหน่ำไม่ขาดสาย เหล่าขุนนางถึงได้เตรียมใจเรื่องการพักแรมบนภูเขาชุ่ยหลัวไว้บ้างแล้ว แต่พวกเขามิได้เตรียมใจกับการให้นั่งรอจนฟ้ามืด และปล่อยให้แยกย้ายไปเฉยๆ เช่นนี้
“กงกง แล้วสาเหตุที่องครักษ์จินอู๋สังหารอันจวิ้นอ๋องเล่า”
ขันทีเหลือบมองผู้ที่ถามก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม “ใต้เท้าอย่าเพิ่งถามจะดีกว่า ขนาดฝ่าบาทยังมิได้คำตอบ บัดนี้ทรงไม่พอพระทัยยิ่งนัก”