ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 459 พระชายาอ๋องมีเรื่องน่ายินดี
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสออกมาเช่นนี้ แน่นอนว่าจึงไม่มีใครกล้าเสนอความเห็นออกมาอีก
พวกขุนนางทั้งหลายแสดงสีหน้าท่าทางได้รับชัยชนะออกมา พอหันไปมองอวี้จิ่นเห็นเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกขึ้น “ขุนนางทั้งหลายกับเยี่ยนอ๋องไปรอที่ห้องทรงพระอักษร ส่วนคนอื่นก็แยกย้ายกันออกไปเถอะ”
หากภรรยาเจ้าเจ็ดยังไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงจะแกล้งป่วยก็ไม่นับว่าเป็นอะไร แต่หากเป็นโรคที่ไม่อาจเปิดเผยได้ก็ไม่อาจพูดโพล่งออกมาต่อหน้าผู้คน
เหนื่อยใจเสียจริง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้นมานวดระหว่างคิ้ว แล้วเดินเข้าไปข้างใน
“กระหม่อมขอทูลลา…” พวกขุนนางต่างเดินออกไปจากพระราชวังด้วยความคิดที่ต่างกันออกไป
นอกจากขุนนางสองสามท่านกับเยี่ยนอ๋องที่มุ่งหน้าไปยังห้องทรงพระอักษร เพียงชั่วพริบตาเดียวในท้องพระโรงก็เหลือองค์ชายเพียงไม่กี่องค์
“พวกเราจะทำอย่างไรดี” หลู่อ๋องที่ยังดูเรื่องสนุกไม่สาแก่ใจยกมือขึ้นมาเกาหัว
องค์ชายทุกองค์ต่างก็มองไปที่องค์รัชทายาท
เวลานี้ก็ต้องฟังองค์รัชทายาทสิ หากซวยก็มีองค์รัชทายาทรับมือก่อน
ยากที่จะเห็นองค์รัชทายาทตื่นตัว แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “มองมาที่ข้าทำไม ไม่ได้ยินที่เสด็จพ่อบอกว่าให้พวกเราแยกย้ายกันรึ”
พูดจบเขาก็เอามือไขว้หลังเดินออกไป รอจนกระทั่งไม่มีใครจึงได้เผยรอยยิ้มอันมีความสุขอออกมา
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เยี่ยมไปเลย เขาแทบจะอดใจรอเห็นเจ้าเจ็ดซวยไม่ไหวแล้ว เสียดายที่ไม่สามารถไปดูสดๆ ที่ห้องทรงพระอักษรได้
พวกองค์ชายเดินทยอยออกจากพระราชวังไปด้วยความคิดเช่นเดียวกัน และไม่อยากกลับไปที่จวน
“ท่านพี่และน้องๆ ทั้งหลาย ไปนั่งเล่นที่จวนข้าก่อนดีหรือไม่” ฉีอ๋องเสนอความเห็นออกมา
ในบรรดาพี่น้อง ฉีอ๋องไม่เคยมีเรื่องกับผู้ใดเลย อีกทั้งตอนนี้ทุกคนกำลังอยากจะซุบซิบนินทาพอดีจึงไม่มีใครคัดค้านข้อเสนอนี้
องค์ชายทั้งหลายแห่กันเข้ามาที่จวนฉีอ๋อง
เมื่อพระชายาฉีอ๋องรู้ว่าพวกองค์ชายทั้งหลายมา จึงรีบสั่งสาวรับใช้ให้ไปเอาขนมน้ำชามาคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ ทว่ากลับไม่เตรียมสุราหรือกับแกล้ม
หลู่อ๋องหงุดหงิดใจ เขาไม่ได้อยากจะดื่มน้ำชาสักเท่าไร
ทว่าสู่อ๋องกลับแอบชื่นชมพระชายาฉีอ๋องอยู่ในใจ
พวกเขาแค่อยู่รวมกันรอดูเรื่องสนุกๆ จากเจ้าเจ็ด แค่ดื่มน้ำชาก็พอแล้ว หากดื่มสุรากินกับแกล้มเนื้อ เสด็จพ่อรู้เข้าจะต้องถูกด่าแน่
เสด็จพ่อจะต้องคิดว่า พี่น้องกำลังถึงคราวซวย ไม่นึกเลยว่าพวกเจ้าจะมาดื่มสุรากันอย่างมีความสุข ช่างไม่มีน้ำใจระหว่างพี่น้องเลย
“พี่สะใภ้สี่จัดการได้อย่างเหมาะสมนัก พี่สี่มีพี่สะใภ้สี่คอยช่วยจึงหมดกังวล”
ฉีอ๋องรู้สึกชินกับพระชายาฉีอ๋องที่มักจะเอาใจใส่ดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มานานแล้ว จึงยิ้มให้พลางเอ่ยตอบว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ลำบากเจ้าแล้ว’ พระชายาฉีอ๋องก็ขอตัวลาออกไปด้วยความพอใจ
……
เจียงซื่อรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อยล้าไปทั้งตัว นอนเอนกายพลิกตำราอ่านอยู่บนเตียง จี้หมัวมัวเดินเข้ามาด้วยท่าทางเร่งรีบ
“พระชายา หมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ!”
เจียงซื่อวางตำราในมือลง เอ่ยเสียงเรียบ “เช่นนั้นก็เชิญเข้ามา”
“พระชายา ท่าน…” จี้หมัวมัวชะงักคำพูดลง สีหน้าย่ำแย่
นางรู้อยู่แล้วเรื่องที่พระชายาอ๋องไม่ไปร่วมไว้ทุกข์ที่จวนอี๋หนิงโหวเพราะป่วย แถมยังแอบถอนหายใจลับหลังอยู่อีกตั้งไม่รู้เท่าไร ไม่นึกเลยว่าเรื่องนี้จะแย่ยิ่งกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก คาดไม่ถึงเลยว่าทางวังจะส่งหมอหลวงมา
พระชายาอ๋องไม่สนใจว่าใครจะว่าอะไรแล้วหรือ
เจียงซื่อหลับตาลง ไม่ได้สนใจจี้หมัวมัวอีก
เหมือนกับว่าหากมีปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรง และพูดออกมาอีกสักคำสองคำก็จะอ้วก
ไม่นานหมอหลวงก็เดินเข้ามา พลางเอ่ยถามสารทุกข์สุขดิบเจียงซื่อและบอกเหตุผลที่มา
เจียงซื่อลืมตาขึ้น สีหน้าเบื่อหน่าย “เช่นนั้นก็รบกวนหมอหลวงแล้ว”
ไม่นึกเลยว่าทางวังจะตอแยเรื่องที่นางไม่ไปไว้ทุกข์ที่จวนอี๋หนิงโหวอย่างไม่จบไม่สิ้น แถมยังส่งหมอหลวงมาอีก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กที่อยู่ในท้องคงเป็นเด็กน้อยขี้อ้อนเอาใจคนเก่งมากแน่ มาได้ถูกเวลาเสียจริง
ที่จริงหากไม่มีเรื่องตั้งท้องนางก็ไม่กลัว ในเมื่อนางใช้เหตุผลว่าไม่ค่อยสบายเพื่อเลี่ยงการไปไว้ทุกข์ หากมีคนมาตรวจแน่นอนว่าอาจมีโรคอื่นก็เป็นได้
เนื่องจากภายในร่างเลี้ยงกู่ การเปลี่ยนชีพจรและสร้างอาการของโรคขึ้นมานั้นเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับนาง
หมอหลวงยื่นมือออกมาวางลงที่ข้อมือเจียงซื่อ จับชีพจรอย่างละเอียด
ไม่นานนัก เขาก็เปลี่ยนไปอีกข้างหนึ่ง
จี้หมัวมัวที่อยู่ข้างๆ แสดงสีหน้าร้อนรน ครุ่นคิดว่าควรจะหยิบเงินให้หมอหลวงเท่าไรดีถึงจะเหมาะสม
เป็นไปไม่ได้ที่จะให้หมอหลวงปั้นเรื่องบอกว่าป่วยหนัก นั่นอาจถูกลงโทษได้เพราะทูลเรื่องเท็จต่อกษัตริย์ แต่หากไม่ได้ป่วยอะไรก็น่าจะเปลี่ยนวิธีการพูดได้ หมอหลวงถนัดเรื่องการพูดไกล่เกลี่ยอยู่แล้ว
ในที่สุดหมอหลวงก็ผละมือออก
จี้หมัวมัวรีบนำเหอเปาที่หนักอึ้งยัดใส่มือหมอหลวง “หมอหลวง ท่าน…”
หมอหลวงยิ้มพลางรับเหอเปามา ท่าทางผ่อนคลาย “หมัวมัวเกรงใจเกินไปแล้ว”
ท่าทางมีความสุขของหมอหลวงทำเอาจี้หมัวมัวตกตะลึง
เก็บเงินไปอย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ มันผิดปกติเล็กน้อย
“ท่านหมอหลวง พระชายอ๋องของพวกเรา…”
หมอหลวงใบหน้ายิ้มแย้ม “ทารกในครรภ์ของพระชายาแข็งแรงนัก ขอแสดงความยินดีกับพระชายาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จี้หมัวมัวอ้าปากค้าง มองไปที่เจียงซื่อด้วยความงุนงง
เจียงซื่อยิ้มออกมาบางๆ พยักหน้าให้หมอหลวง “รบกวนท่านแล้ว”
หมอหลวงเอามือประสานที่หน้าท้องน้อมคำนับพร้อมกับเอ่ยลา “พระชายาพักผ่อนรักษาร่างกายเถิด กระหม่อมขอตัวกลับไปรายงานก่อน”
“อาเฉี่ยว ไปส่งท่านหมอหลวง”
จี้หมัวมัวมองตามหมอหลวงที่เดินตามอาเฉี่ยวออกไป ราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน “พระชายา ท่าน ท่านท้องแล้วหรือเพคะ”
เจียงซื่อพยักหน้าลง
“มิน่าล่ะ มิน่า…” จี้หมัวมัวพูดจาสะเปะสะปะ สีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
จนสุดท้าย สายตาของนางก็หยุดลงตรงบริเวณท้องน้อยของเจียงซื่อ เหลือเพียงความคิดเดียว อภิเษกสมรสได้เพียงไม่กี่เดือนก็มีข่าวเรื่องการตั้งครรภ์แพร่งพรายออกไป นี่มันเร็วเกินไปแล้ว!
นั่นสินะ…เพราะคืนหนึ่งต้องใช้ถึงห้าน้ำ
ความคิดอันหนักแน่นที่ก่อตัวมานานหลายปีของจี้หมัวมัวแอบสั่นคลอนเล็กน้อย
……
ณ ภายในห้องทรงพระอักษร สถานการณ์ตึงเครียดพิเศษ
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองเจ้าลูกชายที่เย่อหยิ่งไม่ยอมใคร แล้วหันไปมองขุนนางที่ต่างก็ไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กัน จึงอดทนข่มกลั้นความโกรธไว้ จนกระทั่งหมอหลวงกลับมา
หมอหลวงก้มหัวเดินเข้ามา “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดสายตามองขุนนาง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามหมอหลวงออกไป “พระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”
เขาตั้งใจส่งหมอหลวงที่มากประสบการณ์และสุขุมที่สุดไปตรวจ หากพระชายาอ๋องมีอะไรไม่เหมาะสม จะได้รู้ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด
หมอหลวงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ว่ากันตามเหตุผล สตรีที่มีครรภ์ยังไม่ครบสามเดือนไม่ควรจะบอกให้ผู้อื่นทราบ
สำหรับหมอหลวงแล้ว เนื่องจากสตรีที่ยังอยู่ในช่วงร้อยวันแห่งการตั้งครรภ์นั้นมันยังไม่แน่นอนและมีโอกาสแท้งได้ง่าย ว่ากันตามความเชื่อของคนทั่วไปแล้ว หากบอกเรื่องตั้งครรภ์เร็วไปอาจจะฝ่าฝืนกฎของเทพดูแลครรภ์จะไม่เป็นการดีต่อลูกในท้องได้
“หมอหลวงมัวแต่อึกอักไม่พูดเช่นนี้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด” ขุนนางที่ว่ากล่าวด้วยวาจาดุเดือนผู้นั้นได้เอ่ยถามขึ้น
“หมอหลวง?” จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
หรือว่าภรรยาของเจ้าเจ็ดเป็นโรคที่เปิดเผยออกมาไม่ได้จริงๆ
ถึงแม้ว่าเจ้าเจ็ดจะถูกอกถูกใจภรรยาคนนี้เอง แต่สุดท้ายแล้วเป็นเขาเองที่มองข้ามความไม่พอใจของเสียนเฟย แถมก่อนหน้านี้ยังเป็นคนพระราชทานหยกสมปรารถนาเป็นรางวัลให้ภรรยาเจ้าเจ็ดเองด้วย
หากภรรยาเจ้าเจ็ดมีอะไรไม่เหมาะสม อาจจะเสียหน้าเล็กน้อย
จิ่งหมิงฮ่องเต้ครุ่นคิดด้วยความกังวล
เนื่องจากถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้เร่ง หมอหลวงจึงไม่กล้าลังเลอีก รีบเอ่ยพูดออกไป “พระอาญามิพ้นเกล้า พระชายาของเยี่ยนอ๋องไม่ได้ป่วยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้สีหน้าแข็งทื่อ จ้องมองไปที่หมอหลวง
ปกติหมอหลวงเก่งเรื่องพูดปั้นเรื่องได้หน้าตาเฉยไม่ใช่รึ วันนี้เป็นอะไรไป
ภรรยาเจ้าเจ็ดแกล้งป่วยสมควรถูกลงโทษ แต่ว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัว ถูกขุนนางทั้งหลายดึงลูกชายเขาและภรรยาของลูกชายมาด่า คงไม่เหลือหน้าตาไว้ให้ใครเคารพแล้ว
เมื่อขุนนางได้ยิน ความรู้สึกก็พรั่งพรูออกมา “ฝ่าบาท พระชายาเยี่ยนอ๋องไม่เป็นอะไรชัดๆ ทว่ากลับอ้างว่าป่วยจึงไม่ไปร่วมไว้ทุกข์ให้ป้าสะใภ้ กิริยาท่าทางเช่นนี้มันช่าง…”
“พระชายาเยี่ยนอ๋องทรงมีเรื่องน่ายินดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยขัดคำพูดเสียดสีของพวกขุนนางได้ทันจังหวะพอดี
ภายในห้องทรงพระอักษรเงียบไปครู่หนึ่ง
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกว่าได้ยินไม่ค่อยชัด จึงตรัสถามออกไปอีกครั้ง “หมอหลวงบอกว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นอะไรนะ”
หมอหลวงเอ่ยตอบเสียงแหลม “พระชายาอ๋องทรงมีเรื่องน่ายินแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
พานไห่ที่ยืนอยู่ด้านข้างอธิบายให้ฟังอย่างรู้ใจ “พระชายาอ๋องทรงครรภ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”