ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 449 มองทะลุปรุโปร่ง
จากที่เห็นสตรีนางนั้นน่าจะอายุราวๆ สิบกว่าเท่านั้น นางสวมอาภรณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวเผ่าอูเหมียว กำไลเงินเป็นพวงที่ข้อมือกระทบกันส่งเสียงแว่วกังวานทันทีที่นางผงะตกใจ
ครั้นเห็นผู้ติดตามของเจียงซื่อ นางก็กลืนห้วงประโยคหลังลงคอไป สายตาที่จดจ้องไปที่เจียงซื่อเจือไปด้วยความสงสัย
เจียงซื่อไหวตัวได้ก่อนจึงกล่าวแผ่วเบา
ประโยคที่นางพูดเป็นภาษาอูเหมียว
สตรีนางนั้นร้อง ห๊า! ก่อนจะรีบโค้งทำความเคารพเจียงซื่อ อาการของนางตื่นตระหนกเกินจะกล่าว นางพ่นคำออกมาเป็นภาษาอูเหมียวไม่เว้นวรรค
อาหมานได้ยินก็ได้แต่ยืนงงงวย นางหันหน้าไปมองเจียงซื่อ แล้วพบว่านายหญิงที่นางคุ้นเคยเป็นที่สุดเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน
หากบอกว่าตอนที่นางก้าวเท้าเข้ามาในร้านขายของแห่งนี้ นางคือสตรีสูงศักดิ์จากเมืองหลวงที่ใช้ชีวิตตามอำเภอใจ แต่ทว่าตอนนี้ นางดูเยียบเย็นสงวนท่าที ประหนึ่งดอกบัวหิมะที่ขึ้นอยู่กลางภูเขาน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น เป็นความสงบเงียบเกินกว่าจะอรรถาธิบาย
อาหมานได้แต่เงียบ นางคิดในใจ นายหญิงกำลังจะเล่นละครตบตาหญิงผู้นี้ ติดตรงที่นางฟังผู้หญิงคนนี้พูดไม่รู้เรื่อง นางช่วยอะไรนายหญิงไม่ได้เลยสักนิด!
ชีวิตของบ่าวรับใช้นี่ไม่ง่ายเลย นอกจากจะต้องฝึกทักษะในการวางเพลิงฆ่าคนแล้ว นี่ยังต้องเรียนรู้ภาษาอื่นๆ ไว้ด้วย…
สตรีนางนั้นยื่นมือข้างหนึ่งออกมาเป็นการเชื้อเชิญเจียงซื่อเข้าไปด้านใน
เจียงซื่อพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินตามหญิงสาวเข้าไป
ครั้นเห็นว่าอาหมานก้าวเท้าตามมา สตรีผู้นั้นก็หยุดยืนนิ่ง พร้อมกล่าวด้วยภาษาต้าโจว “รบกวนเจ้ารออยู่ที่นี่”
อาหมานถลึงตา “ข้าจะตามนายหญิงเข้าไป!”
สตรีนางนั้นส่ายศีรษะปฏิเสธ
เจียงซื่อมีเรื่องจะถามจากหญิงสาวชาวอูเหมียว ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องผิดพลาด คราวนี้นางจึงส่งสายตาไปหาอาหมาน “อาหมาน เจ้ารออยู่ตรงนี้แหละ”
“แต่ว่า…”
“ข้าไม่เป็นไร” เจียงซื่อลูบเหอเปาที่เอวเบาๆ
อาหมานโล่งอก
นึกออกแล้ว นายหญิงมีผงสยบวิญญาณติดตัวไว้ตลอด การจะจัดการกับหญิงตัวเล็กๆ แค่นี้งานกล้วยๆ
ครั้นเดินอ้อมตู้วางสินค้าไปแล้วจะเจอห้องขนาดเล็กด้านใน หญิงสาวรีบคุกเข่าลงถวายความเคารพเป็นการใหญ่พร้อมกล่าวเรียกบุคคลตรงหน้าว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์”
เมื่อได้ยินหญิงสาวเรียกขานเช่นนั้นแล้ว เจียงซื่อกลับรู้สึกหายใจติดขัดเล็กน้อย
นางเคยใช้ชีวิตในสถานะของอาซังผู้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์มาหลายปี และได้ฟังเรื่องวิสัยของสตรีศักดิ์สิทธิ์จากผู้อาวุโสใหญ่ผู้เฒ่าเผ่าอูเหมียวและสาวรับใช้ข้างกายของอาซังมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้ใช้จริงคราวนี้
เจียงซื่อไม่ทราบมาก่อนว่าร้านค้าไร้นามที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตลาดเดียวกันกับร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงของตัวเองจะเป็นร้านของสตรีชาวอูเหมียว ประหนึ่งว่ามีมือที่มองไม่เห็นคอยผลักให้นางเข้าไปพัวพันกับเผ่าอูเหมียวอยู่เรื่อยๆ
ความคิดนี้ทำให้นางยิ่งรู้สึกไม่ดี
ในเมื่อความเข้าใจผิดที่นางมีต่ออวี้ชีในชาติก่อนถูกคลี่คลายไปแล้ว นางก็ไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำที่ไม่น่าพิสมัยเหล่านั้นขึ้นมาอีก
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ ท่านมิได้ฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่หรือ ไฉนถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่” หญิงสาวถามด้วยความสงสัย
พวกนางได้กลับไปที่เผ่าหนหนึ่ง ตอนนั้นได้ยินคนในเผ่าเล่าว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ตลอดเวลา มิได้ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนมานานแล้ว
เจียงซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมชายตามองไปที่หญิงสาว
หญิงสาวรีบก้มศีรษะขอประทานอภัย
“เรื่องบางเรื่องเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องรู้”
หญิงสาวยอมจำนน นางเพียงใคร่ครวญลำพัง การที่สตรีศักดิ์สิทธิ์มิได้ปรากฏตัวในที่สาธารณะมาเป็นเวลานาน ที่แท้ก็เพราะมีธุระต้องมาจัดการที่ต้าโจวนี่เอง
เจียงซื่อถามเป็นภาษาอูเหมียวเนิบนาบ “เมื่อไม่นานมานี้มีคนมาซื้อกู่กาฝากจากที่นี่ใช่หรือไม่”
หญิงสาวชะงักงันก่อนจะรีบพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
“เล่าเรื่องให้ข้าฟังแบบละเอียดๆ ที”
หญิงสาวพยายามควานหาความทรงจำ นางเริ่มเล่า “เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ มีฮูหยินคนหนึ่งบังเอิญเข้ามาที่ร้าน เพราะนางเห็นว่าข้าเป็นคนหนานเจียง นางจึงถามว่าข้ามีกู่กาฝากหรือไม่ หากข้ามี นางจะตอบแทนด้วยทองคำอย่างงาม…”
เจียงซื่อขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เผ่าของเรามีกฎอยู่ว่า ห้ามให้หนอนพิษกู่แก่คนนอกเผ่าตามอำเภอใจ อีกอย่างกู่กาฝากก็มิใช่หนอนพิษกู่ธรรมดาทั่วไป ด้วยสถานะของเจ้าแล้ว เจ้าไปได้มาจากที่ใด”
เจียงซื่อในมาดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ทำให้หญิงสาวลนลานซบหน้าลงถึงพื้น
“ขอสตรีศักดิ์สิทธิ์โปรดอย่าเพิ่งโมโหไปเลยเจ้าค่ะ ผู้น้อยไม่มีทางเลือก ในตอนนั้นฮวาวั่วป่วยหนัก ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อยา…”
“แล้วเจ้าไปได้กู่กาฝากมาจากไหน”
ในเผ่าอูเหมียว หญิงสาวจะใช้หนอนพิษกู่กันอย่างแพร่หลาย แต่หนอนพิษกู่พิเศษบางชนิดถือเป็นของหายากสำหรับคนธรรมดา ซึ่งกู่กาฝากเป็นหนึ่งในนั้น
เจียงซื่ออาศัยอยู่ที่หนานเจียงมาหลายปี นางจึงทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี
“กู่กาฝากเป็นของฮวาวั่วเจ้าค่ะ…” หญิงสาวยังหมอบอยู่ที่พื้นด้วยเนื้อตัวสั่นสะท้าน
สำหรับชาวอูเหมียว ผู้อาวุโสใหญ่และสตรีศักดิ์สิทธิ์มีสถานะสูงสุดในเผ่า ฉะนั้นไม่ควรทำให้ทั้งสองท่านรู้สึกขุ่นเคือง
ในขณะนั้นเจียงซื่อเริ่มข้องใจเกี่ยวกับผู้เป็นย่าของหญิงสาวตรงหน้า
การที่จะมีกู่กาฝากอยู่ในครอบครองได้แสดงว่าสถานะของนางต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
จากอายุอานามของนางที่ยังดูอ่อนเยาว์ไม่น่ามีความเกี่ยวข้องกับองค์หญิงใหญ่หรงหยาง แต่หากเป็นรุ่นย่าของนางเล่า
“เจ้ามาอยู่ที่เมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่”
หญิงสาวละล้าละลังชั่วครู่
“หืม?”
“บ่าวเพิ่งจะย้ายมาที่เมืองหลวงเมื่อช่วงต้นปีที่แล้วเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อหันไปมองผ้าม่านล่าหราน[1] ในบริเวณที่เป็นร้านค้า “ร้านนี้เพิ่งเปิดเมื่อต้นปีที่แล้วอย่างนั้นหรือ”
หญิงสาวไม่กล้าปิดบัง “ร้านนี้เปิดมานานแล้วเจ้าค่ะ ฮวาวั่วย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว”
สิบกว่าปีที่แล้ว…
หัวใจของเจียงซื่อสั่นรัว
กู่กาฝากเป็นของหายาก เมื่อปีสิบกว่าปีก่อนท่านแม่เสียชีวิตลงก็เพราะกู่กาฝาก เป็นไปได้ไหมว่าย่าของหญิงสาวจะมีส่วนเกี่ยวข้อง
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อกำลังครุ่นคิดบางอย่าง หญิงสาวก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง นางเพียงแต่แอบมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าเงียบๆ ด้วยสายตาแห่งความชื่นชมและความอยากรู้อยากเห็น
สตรีศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นยอดหญิงงามอันดับหนึ่งของเผ่าอูเหมียว อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สรรพวิชาที่เก่งกาจ
นางเคยแต่เห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์จากที่ไกลๆ ไม่เคยได้ยลโฉมใกล้เช่นนี้มาก่อน...
หญิงสาวตื่นเต้นจนใบหน้าเรื่อสีแดง แววตาของนางเป็นประกายสุกใส
“เจ้าทราบเวลาที่ชัดเจนหรือไม่” เจียงซื่อถาม
หญิงสาวรีบหลุบตามองต่ำพร้อมส่ายศีรษะ “บ่าวไม่ทราบเวลาที่ชัดเจน เพราะไม่เคยถามฮวาวั่วเจ้าค่ะ”
“แล้วฮวาวั่วที่เจ้าพูดถึงเจ้าล่ะ” เจียงซื่อตัดสินใจถามถึงเจ้าของร้านตัวจริง
หญิงสาวรีบตอบทันควัน “ฮวาวั่วสุขภาพไม่สู้ดีจึงพักอยู่ที่ด้านหลังร้าน เดี๋ยวบ่าวจะเรียกฮวาวั่วมาพบท่านเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“ก็ดี เจ้าไปเถอะ” เจียงซื่อกล่าวเสียงราบเรียบ ไม่มีวี่แววของความเกรงใจ
นางทราบสถานะของสตรีศักดิ์สิทธิ์ยามอยู่ต่อหน้าชาวอูเหมียวเป็นอย่างดี
หากเทียบกับต้าโจว สถานะของสตรีศักดิ์สิทธิ์จะเทียบเท่าไท่จื่อ เพียงแต่ตำแหน่งนี้ได้มาจากพรสวรรค์ที่ติดตัวมาและการมุมานะที่ต้องไขว่คว้ามาเอง ถึงจะได้เป็นผู้กุมชะตาคนทั้งเผ่า ชาวอูเหมียวจึงรักและเคารพผู้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์เหนือสิ่งอื่นใด
ในทางกลับกัน หากไท่จื่อถูกปลดลงจากตำแหน่ง ก็ไม่รู้ว่าจะมีชาวต้าโจวมากมายเพียงใดแอบก่นด่าลับหลัง
หญิงสาวทำความเคารพแล้วจึงเดินเข้าไปด้านหลัง เจียงซื่อเฝ้ารอนิ่งเงียบ
ห้องข้างๆ อวลไอไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพรจางๆ
มีทั้งกลิ่นที่นางรู้จักและไม่รู้จัก
ผ้าม่านขยับยุบยับก่อนศีรษะของอาหมานจะโผล่เข้ามา “นายหญิง…”
“ออกไปก่อน บอกหลงต้านด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
นอกจากผู้อาวุโสใหญ่อูเหมียวแล้ว ชาวอูเหมียวคนอื่นๆ ไม่มีใครกล้าทำอะไรกับนาง
เจียงซื่อจำได้ว่าตอนที่นางฝึกฝนวิชาอยู่ที่หนานเจียง นางมักจะได้รับคำชมจากผู้อาวุโสใหญ่อูเหมียว
ผู้อาวุโสใหญ่เคยชมถึงขั้นว่า หากไม่รู้ว่านางเป็นคนต้าโจว คงคิดว่านางคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอูเหมียวที่สวรรค์เลือกสรรเป็นแน่
อาหมานหดศีรษะกลับไป ปล่อยให้ม่านล่าหรานแกว่งไปมาอยู่อย่างนั้น
ไม่ช้าไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น หญิงสาวพยุงหญิงชราเดินออกมาจากเรือนท้าย
“น้อมคารวะสตรีศักดิ์สิทธิ์…” เสียงสูงอายุกล่าวขาน
เจียงซื่อหันไปมองต้นเสียงก่อนจะมองไปที่หญิงชราอย่างพินิจพิเคราะห์
หญิงชราพิศมองที่นางดุจกัน
นางมองเจียงซื่ออย่างตรวจสอบ ต่างจากหลานสาวของนางที่มองด้วยสายตาเคารพ
ไม่ทันรอให้เจียงซื่อเอ่ยปาก สีหน้าของหญิงชรากลับเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา นางกล่าวเป็นภาษาอูเหมียวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “เจ้ามิใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์!”
—————————————
[1] ผ้าม่านล่าหราน คือ ม่านบาติกที่ย้อมผ้าด้วยขี้ผึ้ง
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง