ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 426 ต้องทำให้เป้าหมายเป็นจริงโดยเร็ว
มือที่วางบนสมุดบันทึกกำแน่น แววตาลุกเป็นไฟ
พอเห็นคำว่า ‘จวนองค์หญิง’ สามคำ ก็เดาออกในใจบ้างแล้ว แต่ต่อให้ยืนยันตัวตนคนนั้นได้ ก็ระบายความโมโหออกมาไม่ได้
ชุยหมิงเย่ว์ทำได้เยี่ยมมาก เป้าหมายเล็กๆ ของนางยังไม่เป็นจริง กำลังวางแผนเลยว่าจะใช้วิธีไหน คิดไม่ถึงเลยว่าฝ่ายตรงข้ามจะใจร้อนมากถึงเพียงนี้
“มีอะไรหรือ” อวี้จิ่นเอ่ยถาม
“รอขึ้นรถแล้วคุยกันนะ”
“ขอบใจเถ้าแก่ซิ่ว ให้แม่นางฉูฉู่พาเถ้าแก่ไปทายาที่ร้านหมอนะ” เจียงซื่อคืนสมุดบันทึกให้ซิ่วเหนียงจื่อและพูดกับหลูฉูฉู่ “ขอรบกวนแม่นางหลูฉูฉู่ด้วยล่ะ”
หลูฉูฉู่ปัดๆ มือ “หม่อมฉันกินและนอนที่นี่ ถือว่าเป็นคนของร้านลู่เซิงเซียงแล้ว พระชายาเอกไม่ต้องเกรงใจกับหม่อมฉันเพคะ น่าเสียดายที่หม่อมฉันไม่ทันอยู่ตอนพวกนั้นก่อความวุ่นวาย ไม่เช่นนั้นพวกมันไม่มีทางได้แตะต้องน้าซิ่วแม้เพียงขนหนึ่งเส้น”
หลูฉูฉู่มีชีวิตที่ต้องวิ่งเต้นบากบั่น ซิ่วเหนียงจื่อสูญเสียบุตรสาวตั้งแต่วัยกลางคน จะว่าไปแล้ว ต่างก็เป็นคนมีชีวิตลำบากด้วยกันทั้งคู่
ซิ่วเหนียงจื่อดูแลหลูฉูฉู่เหมือนลูกสาว ความรู้สึกของทั้งสองคนจึงมีความลึกซึ้งต่อกันมาก
เมื่อกลับถึงรถม้า อวี้จิ่นเปิดพัดสีงาช้างพัดไปมา “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เกี่ยวข้องกับลูกสาวขององค์หญิงหรงหยางหรือไม่”
“เจ้าเดาได้แล้ว?” เจียงซื่อพิงกำแพงรถม้าและหมุนองุ่นบนโต๊ะเล่น
“ถ้าเอ่ยถึงจวนองค์หญิง ก็เดาได้ไม่ยาก คนในเมืองหลวงที่เคยมีเรื่องบาดหมางผิดใจกับเจ้า แล้วยังมีความเกี่ยวข้องกับจวนองค์หญิง นอกจากชุยหมิงเย่ว์แล้วจะมีใครอีก”
ความเย็นชาในแววตาของอวี้จิ่นเย็นเฉียบกว่าเดิม เขาพลันเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน “อาซื่อ หรือว่าให้ข้าฆ่านางเลยดีหรือไม่”
เจียงซื่อหลุดยิ้ม “เจ้าจะทำอย่างไร”
“ฆ่าคนๆ หนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรือ นอกเสียจากว่า นางอยู่แต่ในจวนไม่ยอมออกไปไหน” อวี้จิ่นกล่าวอย่างไร้สีหน้าใดๆ
เพราะการฆ่าคนสำหรับเขา เป็นเรื่องง่ายๆ เหมือนกินอาหารทั่วไป
เจียงซื่อกระตุกริมฝีปากเบาๆ
อาจิ่นยังคงหยาบคายเหมือนเดิม
อวี้จิ่นหยิบองุ่นขึ้นมาหนึ่งเม็ดและเริ่มแกะเปลือกอย่างละเมียดละไม
นิ้วเรียวทรงพลัง องุ่นสีม่วงแดงดุจหินมโนรากับของเหลวสีแดงอ่อน เปรอะเปื้อนปลายนิ้วเนียนขาวของเขา จนคิ้วที่ดูเย็นชาของชายผู้นี้ดูอ่อนลง
เขาป้อนองุ่นที่แกะเปลือกเรียบร้อยให้เจียงซื่อพร้อมกับเอ่ยถามราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม “ทำไม่ได้หรือ”
เจียงซื่อกลืนเนื้อองุ่นรสหวานเข้าไปพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปากพร้อมกับยิ้มและกล่าว “ที่นี่เมืองหลวงไม่ใช่สนามรบนะเพคะท่านอ๋อง! คนๆ หนึ่งตายไปอย่างไม่มีตัวตนมาก่อน แถมยังเป็นชุยหมิงเย่ว์ที่มีสถานะเช่นนั้น อย่างไรก็ต้องถูกตรวจสอบแน่นอน หากว่าเจ้าหน้าที่ในศาลาว่าการพระนครเป็นคนโง่เขลาก็แล้วไป แต่ใต้เท้าเจินหาใช่คนเฉกเช่นนั้นไม่ ไม่แน่ เพียงแค่ตรวจก็พบเบาะแสร่องรอยแล้ว”
“ไม่พบหรอก” อวี้จิ่นแสดงสีหน้ามั่นใจ “ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาบนถนนนับไม่ถ้วน เพียงไหล่กระทบกัน ก็มีเวลามากพอให้ฆ่าคนได้แล้ว ไม่มีใครรู้”
เจียงซื่อส่ายหัว “นอกจากเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นกับจูจื่ออวี้ ชื่อเสียงชุยหมิงเย่ว์ในกลุ่มหญิงชนชั้นสูงคือเป็นคนอ่อนโยนใจกว้าง ชื่อเสียงของนางค่อนข้างดี นั่นหมายความว่านางไม่เคยล่วงเกินผู้ใดมาก่อน คนที่ปฏิปักษ์กับนางก็คงเป็นตระกูลจูกับตระกูลเจียงสองตระกูล หากนางถูกฆาตกรรมกลางถนน อย่างน้อยพวกเราก็หนีการเป็นผู้ต้องสงสัยไม่พ้นแน่”
นางพูดพร้อมกับเอามือคล้องแขนอวี้จิ่น “อาจิ่น ข้าไม่อยากรับความเสี่ยงเหล่านี้เพราะชุยหมิงเย่ว์ มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย”
อวี้จิ่นยักคิ้วและยิ้ม “แสดงว่าเจ้ามีวิธีแล้ว?”
ลอบฆ่าโดยไม่รู้ตัว ถึงมีความเสี่ยงเป็นผู้ต้องสงสัยแล้วอย่างไรเล่า ไม่มีหลักฐานใดแล้วจะนำตัวพระชายาเอกไปสอบสวนเลยหรือ
อวี้จิ่นรู้สึกว่าความคิดของสตรีนั้นละเอียดอ่อนมากเกินไป แต่เพราะผู้หญิงคนนี้คืออาซื่อ เขาจึงทำได้เพียงตามใจนาง
เจียงซื่อยิ้มมุมปากพร้อมฉายแววตาแหลมคมดุจดาบ “ก็ควรรีบทำเป้าหมายให้เป็นจริง อาจิ่น เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องทำอะไร ถ้าข้าต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ข้าจะบอกแก่เจ้านะ”
อวี้จิ่นลูบผมของเจียงซื่ออย่างไม่พอใจ “ระหว่างเราสองคนยังต้องใช้คำว่าช่วยเหลืออีกหรือ”
เจียงซื่อปัดมือเขาออก “ใกล้ถึงจวนอันกั๋วกงแล้ว อย่าทำทรงผมข้าเสีย”
“น้อมรับคำสั่ง” อวี้จิ่นขยับมือออกและวางลงบนหน้าอกที่นูนสูงของเจียงซื่อ
เจียงซื่อชะงักไปครู่หนึ่ง
อวี้จิ่นดึงมือกลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้าไร้เดียงสา “ข้ารู้สึกว่าข้างในนี้ร้อนกว่า”
เจียงซื่อหยิกแขนอวี้จิ่นอย่างแรง “ข้างในนี้ร้อนกับการกระทำของเจ้าเมื่อครู่นี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
“ใครบอกว่าไม่มี ก็ตัวเจ้าเย็นกว่าข้ามาก”
“อวี้ชี เจ้านี่มันหน้าไม่อาย…”
ภายในรถม้ามีทั้งเสียงหัวเราะกับเสียงโมโหดังออกมา
เหล่าฉินที่บังคับรถม้าฟาดลงที่ก้นม้าอย่างแรงหนึ่งที เพราะจะเดินทางไปสายแล้ว ที่เขาทำเช่นนี้ ไม่ได้แอบอิจฉาแน่นอน
ภายในจวนอันกั๋วกง ฉีอ๋องกับพระชายาเอกมาถึงตั้งนานแล้ว
ทุกคนนั่งรออยู่ในห้องโถง ดื่มชาไปแล้วหลายแก้วก็ยังไม่ได้ยินว่าเยี่ยนอ๋องกับพระชายาเอกเดินทางมาถึง
“น้องเจ็ดอาจมีธุระจึงมาสาย” ฉีอ๋องกล่าวขึ้นเพื่อช่วยรักษาบรรยากาศให้มีชีวิตชีวา อารมณ์ที่กล่าวนั้นดีเยี่ยม
แม้ว่าเขากับเจ้าเจ็ดเป็นพี่น้องท้องแม่เดียวกัน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาจืดจางมาก จนถึงวันนี้เขาก็ยังใช้งานเจ้าเจ็ดไม่สำเร็จ
คนที่อยู่เบื้องหลังนอกจากเสด็จแม่ คนที่เป็นแรงสนับสนุนหลักก็คือท่านตาแห่งจวนอันกั๋วกง หากว่าเจ้าเจ็ดมีความสัมพันธ์กับจวนอันกั๋วกงดีเกินไป เขาจะกลายเป็นฝ่ายที่ต้องทุกข์ใจ
ทรัพยากรนั้นมีจำกัด ถ้าจวนอันกั๋วกงแบ่งการสนับสนุนให้เจ้าเจ็ดไปส่วนหนึ่ง ส่วนที่เขาได้ก็จะลงดลง
จี้ฉงหลี่ซื่อจื่อแห่งอันกั๋วกงยืนขึ้น “ข้าไปดูเสียหน่อยดีกว่า”
ถ้าคนยังมาไม่ถึงอีก ก็จะไม่ทันเวลาเปิดงาน
เสียงย่ำเท้า ฉับๆ ดังขึ้น
“เยี่ยนอ๋องกับพระชายาเอกมาถึงแล้ว!”
ทุกคนลุกขึ้นออกไปต้อนรับ
อวี้จิ่นกับเจียงซื่อเดินเคียงข้างกันเดินเข้าไปด้านใน มีสายตานับไม่ถ้วนของบ่าวรับใช้มองมาตลอดทางเดิน
ฉีอ๋องเห็นคู่สร้างคู่สมเดินมาพร้อมกันอยู่ไกลๆ หางตาพลอยมองพระชายาข้างๆ อย่างอดไม่ได้หนึ่งที
วันนี้พระชายาเอกสวมเสื้อคอกลมพับลายดอกไม้สีน้ำผึ้ง มีความสุภาพเหมาะสม บุคลิกสวยสง่า
แต่ในสายตาของฉีอ๋อง เขากลับไม่คิดเช่นนั้น
หยางซื่อ พระชายาของเขามีรูปโฉมธรรมดา แล้วยังแต่งตัวดูแก่ เขาแทบจะไม่อยากมอง…
ฉีอ๋องสูดหายใจเข้าลึกอยู่ภายใจ แล้วดึงสภาพจิตใจให้กลับมาปกติพร้อมกับฉีกยิ้ม
และจี้ฉงอี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดกำลังมองหญิงสาวที่กำลังก้าวเท้าเดินเข้ามาด้วยสภาพจิตใจที่ว้าวุ่น
คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเยือนจวนอันกั๋วกง และได้พบหน้านางด้วยสถานะเช่นนี้อีกเช่นเคย
หากไม่มีอุบัติเหตุในวันนั้น นางควรได้เป็นภรรยาของเขา
จี้ฉงอี้มองดูความว่างเปล่าด้านข้าง
ไม่มีเฉี่ยวเหนียงอยู่ด้วย
ท่านแม่เกรงว่าพระชายาฉีอ๋องเห็นเฉี่ยวเหนียงแล้วจะอารมณ์ไม่ดี จึงไม่ให้เฉี่ยวเหนียงปรากฏตัวในเวลาเช่นนี้
เขารู้สึกโกรธในความไม่ยุติธรรมของท่านแม่ และผิดหวังในความยอมคนของเฉี่ยวเหนียง
ที่น่ารำคาญใจกว่าคือหลังจากที่เฉี่ยวเหนียงยอมคน แต่นางมาตำหนิถือโทษเขา
ยิ่งนึกถึงการทะเลาะในแต่ละคืนของเขาสองคน จี้ฉงอี้รู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจเป็นอย่างมาก
เขายังชอบเฉี่ยวเหนียงไม่เปลี่ยน และยิ่งหวงแหนช่วงเวลาที่เขาสองคนรู้จักกันจนถึงชอบซึ่งและกัน
หัวใจที่นิ่งสงบใจเต้นเป็นครั้งแรก เขาไม่อาจลืมมันลงได้ง่ายๆ
แต่ชีวิตในทุกวันนี้เหตุใดถึงไม่มีความสุขหมือนอย่างที่คิดเลย ทั้งๆ ที่เขาได้รับเฉี่ยวเหนียงเข้ามาเป็นภรรยาดั่งใจหวังแล้ว
เมื่อเห็นเจียงซื่อกับอวี้จิ่นเดินจับมือใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ริมฝีปากยังคงแสดงไว้ด้วยรอยยิ้มที่สดใส แต่จี้ฉงอี้พลันมีความคิดหนึ่งแล่นผ่านเข้ามา หากว่าตอนนั้นไม่มีอุปสรรคเหล่านั้น คุณหนูเจียงแต่งงานกับเขาแล้วชีวิตตอนนี้จะเป็นอย่างไร
“เจ้ามาสายนนะน้องเจ็ด” ฉีอ๋องกล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“เกิดความล่าช้าระหว่างทางเล็กน้อยขอรับ”
“อ่อ รถเสียหรือ”
อวี้จิ่น “เดินผ่านร้านเครื่องประทินโฉมร้านหนึ่งแล้วได้ยินว่าพระชายาชอบ ข้าเลยซื้อไว้ขอรับ”