ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 339 มีผี
เจียงอันเฉิงยืนกรานที่จะส่งเจียงซื่อกลับมายังเรือนไห่ถังด้วยตนเอง หลังจากที่กลับไปยังห้องหนังสือแล้ว เขาก็ได้หยิบดาบซึ่งแขวนอยู่บนผนัง ก่อนจะสัมผัสไปที่ด้ามตัวดาบอันเยือกเย็น
รออีกไม่กี่วัน เขาจะต้องจัดการกับโต้วฉี่ถงให้ได้ เหตุผลนั้นหาได้ไม่ยากนัก เพียงแค่ไม่เกี่ยวข้องกับบุตรสาวของเขาก็พอ
ระหว่างทางที่เจียงซื่อเดินกลับมา นางรู้สึกหนาวเย็นที่ฝ่าเท้า เมื่อกลับไปถึงเรือนไห่ถังจึงได้ถอดถุงเท้ารองเท้าออกแล้วไปอุ่นร่างกายที่ข้างกรงเทียนเครื่องหอม
อาเฉี่ยวเดินถือถ้วยน้ำขิงร้อนมาแก้วหนึ่ง
เจียงซื่อเอื้อมมือไปรับแล้วจิบมัน
อาหมานลังเลอยู่หลายครั้งที่จะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่เมื่อเห็นเจียงซื่อนิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใด ก็เกรงว่าจะทำให้เจ้านายไม่พอใจจึงได้อดทนเอาไว้
“อาหมาน อาเฉี่ยว พวกเจ้าไปสืบหามาว่าอาชายโต้วพักอยู่ที่เรือนใด”
“คุณหนูเจ้าคะ…” อาหมานมองไปทางเจียงซื่อ แววตาของนางมีทั้งความประหลาดใจและความปีติซ่อนเอาไว้
คุณหนูต้องการจะทำเรื่องที่นางรู้สึกตื่นเต้นอีกแล้ว?
เจียงซื่อหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมา นางยิ้มขึ้นเบาๆ แล้วกล่าวว่า “หากเงื่อนไขเอื้ออำนวย เราไม่ควรทิ้งความแค้นไว้ชั่วข้ามคืน”
หากมีแค้นก็ต้องชำระอย่างรวดเร็วจึงจะสะใจ นางไม่อยากเป็นเช่นสุภาพชนที่เก็บความแค้นไว้และรอแก้แค้นได้นับสิบปี ผู้ใดจะรู้เล่าว่าอีกสิบปีข้างหน้าศัตรูจะยังอยู่หรือไม่ หากถูกฟ้าผ่าตายไปแล้วจะทำเช่นไร
อาหมานพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “เจ้าค่ะ”
อาเฉี่ยวรู้สึกตกตะลึง “เหตุใดจึง…”
อาหมานดึงนางเดินออกไปด้านนอก “รีบไปสืบเร็วเข้า ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังระหว่างทาง”
เมื่อบ่าวรับใช้ทั้งสองเดินออกไป ภายในห้องจึงได้เงียบสงบลง
เจียงซื่อ พิงไปที่กรงเทียนเครื่องหอม ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาพลิกอ่านเพื่อฆ่าเวลา
ที่ด้านนอกยังคงมีหิมะตกลงมาบางเบา ทำให้ท้องฟ้าและพื้นดินเป็นสีขาวจางๆ เนื่องจากด้านในไม่ได้เปิดหน้าต่างไว้ นางมองเห็นแสงสลัวเล็กน้อยผ่านหน้าต่างอันโปร่งแสง
ด้วยแสงอันริบหรี่นี้ เจียงซื่อไม่ได้ตั้งใจจะอ่านหนังสือ จิตใจของนางจึงไม่ได้อยู่ที่หนังสือแม้แต่น้อย
หลายวันมานี้ อวี้จิ่นไม่ได้ติดต่อมาหานาง นางไม่รู้ว่าเขากำลังคิดวางแผนอะไรแย่ๆ หลังจากที่ถูกท่านพ่อโจมตีอยู่
จะว่าไปแล้วก็แปลกยิ่ง ก่อนหน้านี้นางต้องการจะหนีเขาให้ไกล กลับพบว่าเขามักปรากฏตัวอยู่หน้านางบ่อยๆ บ่อยเสียจนทำให้จิตใจของนางร้อนรุ่มกระวนกระวาย ทว่าบัดนี้หลายวันมาแล้วที่ไม่มีข่าวคราวของเขา นางกลับรู้สึกคิดถึงขึ้นมา
เจียงซื่อวางหนังสือในมือลง ก่อนจะพิงไปที่กรงเทียนนั้น กรงที่สานด้วยไม้ไผ่ถูกทับเสียจนผิดรูป จู่ๆ นางก็นึกถึงค่ำคืนนั้นที่ถูกเขากดร่างทับลงมาที่กรงเทียนเครื่องหอมนี้ เสื้อผ้าของนางแทบจะถูกเผาไหม้ด้วยถ่าน…
เจียงซื่อคิดไปคิดมาแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
การที่สามารถคิดถึงใครคนหนึ่งได้อย่างเปิดเผยเช่นนี้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากยิ่ง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เจียงซื่อเอนกายอยู่ด้านข้างกรงเทียนเครื่องหอมจนแทบจะหลับไป อาเฉี่ยวและอาหมานจึงได้เดินทางกลับมา
อาเฉี่ยวเข้ามารายงานว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอาชายโต้วอาศัยอยู่ที่เรือนลั่วเฝิงเจ้าค่ะ”
เรือนลั่วเฝิงหรือ ที่นั่นอยู่ติดกับเรือนของพี่รองนี่
เมื่อเจียงซื่อนึกถึงเรื่องนี้ ในใจของนางก็รู้สึกรังเกียจเขามากขึ้น
มองไปแล้วอาหญิงโต้วดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวที่สงบเสงี่ยม ยังไม่ต้องคำนึงว่านิสัยแท้จริงของนางเป็นเช่นไร แต่ในวันนี้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมื่อท่านพ่อสั่งให้นางอยู่ห่างๆ เอาไว้ เช่นนั้นนางก็จะไม่กำหนดเป้าหมายไปยังอาหญิงโต้ว
แต่สำหรับอาชายโต้วคงไม่ได้
เจียงซื่อรู้สึกว่าความคิดของชายผู้นี้ไม่ปกติ ไม่เช่นนั้นหากพบกับหญิงสาวในสวนดอกไม้ของจวนคนอื่น เหตุใดจึงกล้าเข้ามาลวนลาม
คงเพราะสมองเขาผิดปกติไม่ใช่หรือ
คนเช่นนี้นางไม่อยากจะให้อยู่ในจวนตงผิงปั๋วอีกต่อไป
ในจวนแห่งนี้ แม้ผู้อาวุโสไม่มีความเมตตาและไร้ซึ่งความอบอุ่น แต่ถึงอย่างไรนางก็อาศัยอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน หากมีคนที่ปรากฏกายขึ้นซึ่งเมื่อเห็นก็อยากจะหลีกหนี คงจะทำให้ตนรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิม
อีกอย่าง ในจวนนี้ยังมีพี่สาวน้องสาวของนางอยู่ หากว่าบังเอิญพบกับคนอื่นเข้าในสวนดอกไม้อาจจะเกิดเรื่องปัญหาใหญ่ได้ “จัดเตรียมให้พร้อม คืนนี้เราจะไปที่เรือนลั่วเฝิงกัน”
อาหมานดีใจยิ่งนัก นางคุกเข่าตอบรับอย่างรวดเร็ว
อาเฉี่ยวเหลือบตาขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างใด
เจียงซื่อมองดูปฏิกิริยาของบ่าวทั้งสองคนแล้วได้แต่หัวเราะขึ้นเบาๆ นางโบกมือเป็นสัญญาณให้ทั้งสองคนออกไป
ต้องนอนหลับเอาแรงสักหน่อย ตอนกลางคืนจะได้ทำงานได้เต็มที่
เมื่อตกดึก โคมไฟแต่ละแห่งในจวนปั๋วก็ถูกจุดขึ้นจนสว่างไสวไปทั่ว
บัดนี้หิมะหยุดตกแล้ว ตามรอยแตกร้าวของหินฉนวนมีน้ำแข็งก่อตัวขึ้นบางบาง
ร่างของคนสองคนปรากฏขึ้น พวกนางเดินไปบนถนนอย่างระมัดระวังโดยไม่ได้จุดตะเกียง เสื้อคลุมสีหมึกดำผสมผสานกลมกลืนกับความมืด
“คุณหนูเจ้าคะ ไม่มีใครอยู่ระหว่างทางเดินนี้เลย”
เจียงซื่อยิ้มขึ้น
ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ หากไม่ได้คิดอยากจะทำเรื่องน่าอับอายในตอนกลางคืน ผู้ใดเล่าอยากจะออกมา
เมื่อเดินทางมาถึงประตูที่สอง อาหมานก็ใช้กุญแจเปิดประตูออกช้าๆ ในใจของนางรู้สึกตื่นเต้น
นับจากต้นปีเมื่อคุณหนูให้นางไปทำกุญแจสำรองสำหรับประตูนี้ ชีวิตของนางก็ตื่นเต้นขึ้น
ท้องฟ้าไร้ดวงจันทร์และดวงดาว มีเพียงเมฆดำที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นเท่านั้น โชคดีที่แสงไฟประดับประดาบนชายคาตรงทางเดินยังสว่างพอ ไม่ทำให้ทั้งสองคนตกอยู่ในความมืดมนจนมองไม่เห็น
สายลมช่างหนาวเย็น ดุจดั่งมีดกรีดลงบนผิวอันบอบบาง บางคราที่เดินผ่านใต้ต้นไม้ก็จะมีหิมะตกลงมาเย็นซ่านไปที่คอ
นายบ่าวสองคน พยุงกันไปตลอดทางจนกระทั่งมาถึงเรือนลั่วเฝิง
เรือนที่อยู่ทางด้านหน้านี้ไม่มีผู้เฝ้าประตู มีเพียงประตูจันทราที่ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป
เจียงซื่อสัมผัสไปที่กำแพงของประตูวงเดือนแล้วแอบมองไปข้างในอย่างเยือกเย็น
ไฟในเรือนลั่วเฝิงดับลงหมดแล้ว
เมื่อตอนกลางวันมีข่าวลือแพร่ออกไปว่าคุณชายโต้วที่เข้ามาอาศัยอยู่ใหม่นี้ ก่อเรื่องชั่วร้ายขึ้นในสวนดอกไม้ ซึ่งเป็นวิญญาณของหงเย่ว์ที่กระโดดน้ำตายในฤดูใบไม้ร่วงเข้าสิงร่าง
อาหมานเล่าเรื่องนี้ให้เจียงซื่อฟัง เจียงซื่อได้ใจยิ้มขึ้น
นับจากที่หงเย่ว์จมน้ำตาย เซียวมาหม่าก็ได้แต่นั่งอยู่ริมสระน้ำในตอนกลางคืนเพื่อคะนึงหาบุตรสาว นางถูกอวี้ชีทำให้สลบ จากนั้นปล่อยข่าวลือเรื่องผีออกไป นับจากนั้นเป็นต้นมา ต่อให้เฝิงเหล่าฮูหยินกำชับว่าไม่ให้เผยแพร่เรื่องนี้ออกไป แต่เรื่องที่มีผีสิงอยู่ในสวนดอกไม้ก็ยังคงถูกเผยแพร่ออกไปไม่จบสิ้น
ส่วนนางกำลังคิดว่าหากมีข่าวลือเช่นนี้คงจะสะดวกยิ่งสำหรับตัวนาง
เป็นไปดังนั้น เมื่ออาชายโต้วถูกทำร้ายเสียจนหน้าบวมเป็นหมู เขาก็ไม่กล้าบอกเหตุผลอันแท้จริงออกมา ทุกคนจึงได้เชื่อมโยงกับเรื่องที่มีผีสิงในสวนดอกไม้ไปโดยปริยาย
เจียงซื่อก้าวขาเข้าไปด้านใน
โต้วฉี่ถงกำลังนอนหลับอยู่บนที่นอนอันแสนนุ่ม เขาห่อตัวด้วยผ้านวมและมีเทียนเครื่องหอมจุดไว้ เขากำลังสะลึมสะลือแต่ยังนอนหลับไม่ลึก
ใบหน้าที่เกิดเป็นรอยแดงทำให้เจ็บปวดเสียจนนอนไม่หลับ
เขาพลิกตัวไปมา จากนั้นโต้วฉี่ถงก็รู้สึกว่าอยากเข้าห้องน้ำ ท่ามกลางความงัวเงียเขาได้ตะโกนสั่งให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านนอกนำโถใส่ปัสสาวะเข้ามา
บ่าวรับผู้ใช้นี้ติดตามเขามาจากเมืองจินซาด้วย ดังนั้นโต้วฉี่ถงจึงเรียกใช้ได้อย่างง่ายดาย
แต่บ่าวรับใช้ตัวน้อยนี้กลับไม่ส่งเสียงตอบ
โต้วฉี่ถงจึงได้ตะโกนร้องเรียกอีกหลายครั้ง ไม่เห็นบ่าวรับใช้เดินเข้ามา ทว่าอาการง่วงนอนกลับหายไปแล้ว
เขาจึงทำได้เพียงลืมตาขึ้น
ภายในห้องนั้นทั้งเงียบและมืดมิด
ผ่านไปไม่นานดวงตาของเขาก็ปรับสภาพให้คุ้นชินกับความมืด ในที่สุดเขาก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ตกแต่งอยู่ในห้องได้ชัดเจน
โต้วฉี่ถงด่าทอพลางลุกขึ้น แต่ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ต้องหยุดนิ่งลง
ดูเหมือนจะมีเสียงลมหายใจอันยืดยาวดังออกมา
สิ่งที่ควบคู่ไปกับเสียงหายใจนั้นคือกลิ่นหอมที่อธิบายไม่ถูก
มันเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ แต่ช่างหอมยิ่งนัก
โต้วฉี่ถงกระตุกริมฝีปากของตนเองเล็กน้อย ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยถามออกมาว่าใคร แต่ประโยคนี้เขาก็ไม่กล้าเอ่ยมันออกมา
จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องที่คนในเรือนหน้ากล่าวถึงเมื่อกลางวัน ครั้นที่พวกเขาเห็นบาดแผลบนใบหน้าตน
สวนดอกไม้ในจวนตงผิงปั๋วมีผี!
ให้ตายสิ สวนดอกไม้อันงดงามเช่นนี้จะมีผีได้อย่างไรกัน
หรือหญิงสาวผู้สวมชุดคลุมสีแดงท่ามกลางหิมะที่ร่วงโรยลงมาจะเป็นผีจริงๆ
ใบหน้าอันงดงามและเยือกเย็นเช่นนั้น ประกอบกับทำร้ายเขาได้อย่างไม่ปรานี หากไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไร
บนโลกนี้มีสตรีเช่นนี้ด้วยหรือ
ผีสาวมาเอาชีวิตเขา?
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ขาแข้งของโต้วฉี่ถงก็แข็งทื่อ เขาไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นเองจู่ๆ ภายในห้องก็ส่องสว่างขึ้น