ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 299 เก็บงาน
ฉูฉู่โกรธจนแทบคลั่ง หากอวี้จิ่นมายืนอยู่ตรงหน้า นางคงควักมีดออกมาแทงใบหน้าหล่อเหลาของเขาให้สาแก่ใจ ต่อให้นางจะโกรธเกลียดเพียงใด คนพวกนั้นก็พาตัวนางออกมาไกลแล้ว พวกเขาเดินผ่านตรอกซอกซอยนับไม่ถ้วน และดูเหมือนว่าหนทางจะห่างออกไปไกลทุกที
ความหวังในก้นบึ้งหัวใจของฉูฉู่ที่เดิมทีเป็นเหมือนเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ แต่ทว่าตอนนี้กลับมอดดับไม่เหลือชิ้นดี
นางถูกชายที่สมควรตายผู้นั้นหลอกให้ตายใจ
เสียงลมหวีดหวิวดังแว่วในหู กอปรกับไอเย็นเฉียบที่พัดมาปะทะใบหน้า ราวกับเป็นคมมีดที่กรีดลงบนเนื้อหนังบอบบางอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดคนพวกนั้นที่พาตัวนางมาก็หยุดในสถานที่แห่งหนึ่ง และโยนนางลงกับพื้น
อาการวิงเวียนศีรษะและความเจ็บแปลบแวบแล่นไปทั่วร่าง
สติของฉูฉู่ยังไม่ทันเข้าที่ เหนือศีรษะของนางก็มีเสียงชายผู้หนึ่งดังขึ้น “ในที่สุดก็ลากตัวนางมาได้เสียที ช่างยุ่งยากเสียเหลือเกิน”
ฉูฉู่เงยหน้าขึ้นมอง เบื้องหน้าของนางคือชายผู้หนึ่งที่มีหนวดเคราขึ้นปรกอยู่เต็มหน้า สายตาของชายผู้นั้นเขม็งมองมาที่นางไม่ต่างจากสายตาของสัตว์ร้าย
ชายเคราครึ้มย่อตัวลง และเอื้อมมือมาบีบคางของฉูฉู่ “เรื่องที่เจ้าได้ยินวันนั้น เจ้าบอกใครไปแล้วบ้าง”
ฉูฉู่มองชายตรงหน้าด้วยสายตาทิ่มแทง แต่ทว่านางมิได้เอ่ยถ้อยคำด่าทอ
พูดอะไรก็ไม่รู้ นางจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว ทั้งหมดนี้มันเรื่องอะไรกัน
“บอกมา!” ชายเคราครึ้มออกแรงบีบมือหนักขึ้น แก้มนวลเนียนของหญิงสาวจึงขึ้นสีแดงแทบจะทันที
ชายชุดคลุมยาวกระแอมกระไอเบาๆ “เจ้าบีบหน้านางอยู่อย่างนั้นแล้วจะให้นางพูดอย่างไรเล่า”
ชายเคราครึ้มจึงได้ถอนมือออก ฉูฉู่จึงหันไปมองชายชุดคลุมยาวแทน
หากเทียบกับความป่าเถื่อนของชายเคราครึ้มแล้ว กิริยาของชายชุดคลุมยาวดูประณีตกว่ามาก เพราะดูเป็นพวกมีการศึกษา แต่ถึงกระนั้นนัยน์ตาแสนระทมทุกข์กลับไม่ต่างอะไรจากดวงตาของงูพิษ ครั้นฉูฉู่ได้เห็น หัวใจของนางก็ร่วงหล่นไปกองทันที
ตามสัญชาตญาณแล้ว ชายผู้นี้โหดเหี้ยมกว่าเป็นไหนๆ
ฉู่ฉู่สิ้นหวังเป็นที่สุด นางหัวเราะเยาะขึ้นว่า “ข้าไม่รู้จักพวกเจ้า และข้าก็ไม่เคยได้ยินเรื่องที่พวกเจ้าคุยกัน ฉะนั้นข้าคิดว่าพวกเจ้าคงจำคนผิดแล้ว น่าเสียดายที่พวกเจ้ามัวแต่มาเสียเวลาอยู่กับข้า ฉะนั้นเลิกฝันว่าจะหาตัวคนแอบฟังจริงๆ ได้พบ…”
“สามหาว!” ชายเคราครึ้มตบหน้าฉูฉู่อย่างแรง
กลับกลายเป็นว่าฉูฉู่ระเบิดหัวเราะยิ่งกว่าเก่า “คนๆ นั้นคงเอาเรื่องที่พวกเจ้าเป็นกังวลป่าวประกาศไปทั่วแล้ว ข้าเชื่อมั่นว่าอีกไม่นานพวกเจ้าคงได้ประสบเคราะห์ร้ายเป็นแน่…”
ขอเพียงแค่คนที่แอบฟังนั้นทำเรื่องที่คนพวกนี้ไม่ต้องการที่สุด นางก็จะยอมเป็นแพะให้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังมิอาจสบประมาทคนพวกชั่วพวกนี้ได้
ชายเคราครึ้มหันไปมองชายในชุดคลุมยาว
หรือว่าจับมาผิดตัวจริงๆ?
ชายชุดคลุมยาวเผยรอยยิ้มที่เคลือบไปด้วยยาพิษ “เช่นนั้นก็ลองใช้ไม้แข็งดูว่าจับมาผิดตัวหรือว่าแค่ปากแข็งกันแน่”
หม้อไฟร้อนถูกยกเข้ามา ชายเคราครึ้มหยิบด้ามเหล็กขึ้นมาอังไฟจนขึ้นสีแดงจ้า แล้วหันไปหัวเราะกับฉูฉู่เอ่ยว่า “จะไม่ยอมบอกจริงๆ งั้นหรือ”
ความตื่นตระหนกแวบเข้ามาในดวงตาของนาง ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม นางรู้ดีว่าคงไม่อาจหนีรอดไปได้แล้ว
นางเองก็อยากจะบอกออกไป แต่นางจะพูดอะไรได้เล่า
นางทนแบกรับความทุกข์มาหลายปี แต่คราวนี้หนักหนาที่สุดแล้ว ถึงขั้นที่นางไม่อาจทนต่อไปได้อีกแล้ว
ทันทีที่นางสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่คืบใกล้เข้ามาใกล้ นางรีบหลับตาปี๋
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงหวีดร้องดังขึ้น
ฉูฉู่รีบลืมตาขึ้นมาดู ชายเคราครึ้มกอดเท้าตัวเองพลางกระโดดไปมา ส่วนด้ามเหล็กแดงจ้าหล่นอยู่บนพื้น
ชายในชุดคลุมยาวตอบสนองทันควัน เขารีบวิ่งหนีไปทันที
ทว่าสายไปแล้ว หลงต้านคว้าคอเสื้อเขาไว้ราวกับจับคอไก่ก็ไม่ปาน แล้วรีบง้างปากเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เขาปลิดชีพตัวเองเสียก่อน จากนั้นก็หัวเราะขึ้นว่า “ข้ายังมีของดีอีกมาก พวกเจ้าใจร้ายกับหญิงสาวได้ถึงเพียงนี้ มาดูสิว่ายังจะทำอะไรได้อีก”
ชายเคราครึ้มหันไปมองด้านนอกหน้าต่างพบว่า คนของตัวเองล้มกองระเนระนาดอยู่ที่พื้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
ซวยแล้ว พังหมดแล้ว!
เขายังไม่ยอมศิโรราบ ส่งเสียงตะโกนดังลั่นก่อนจะขว้างปลายเหล็กร้อนไปที่เหลิงอิ่ง
ในชั่วพริบตา มีคนหนึ่งเดินขึ้นมา
“ลุกขึ้นไหวหรือเปล่า” เสียงเย็นเยียบของชายหนุ่มถามขึ้น
ฉูฉู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งทันทีที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาปรากฏขึ้น ความโกรธแค้นพลันปะทุหนัก นางถลาเข้าไปตบหน้าชายตรงหน้าทันที
อวี้จิ่นขมวดคิ้วพลางเอี้ยวตัวหลับฝ่ามือนั้น และเอ่ยเคร่งขรึม “หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือกับสตรีงั้นหรือ”
“เจ้า… เจ้ามันคนหลอกลวง…” ฉูฉู่โกรธจนตัวสั่น
อวี้จิ่นเย้ยหยัน “ก็นี่คือวิธีที่จะกำราบได้อย่างสิ้นซากอย่างไรล่ะ”
ฉูฉู่จนด้วยคำพูด ครั้นนึกถึงความกลัวที่อัดแน่นไปด้วยความสิ้นหวังเมื่อครู่ก็อยากจะร้องไห้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
นางเคยไปหาเรื่องใครก่อนงั้นหรือ!
เสียงฉึบดังขึ้น แขนข้างหนึ่งของชายเคราครึ้มขาดสะบั้น
เขากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ปลายเหล็กร้อนที่ขว้างไปคราวแรกมิได้ถูกตัวเหลิงอิ่ง แต่ในวินาทีต่อมากลับพุ่งตรงมาที่ศีรษะของเขาเอง
เสียงฟู่ดังขึ้น สมองของชายเคราครึ้มไม่ต่างอะไรจากลูกแตงโมที่ถูกผ่ากลาง ทั้งสีแดงและสีใสโพยพุ่งออกมา ของเหลวสีขุ่นซ่านกระเซ็นไปทั่วสารทิศ
ฉูฉู่หน้าซีดเผือดจนไม่กล้าลืมตา
เหลิงอิ่งก้มหน้าลงไปดูพลางหันมารายงาน “เจ้านาย เสียชีวิตแล้วขอรับ”
อวี้จิ่นเดินเข้าไปพลางก้าวเท้าหลบเลือดสดใหม่ที่กระจายอยู่ทั่วพื้น และเข้าไปดูร่างศพของชายเคราครึ้ม
ชายรูปร่างกำยำเลือกที่จะปลิดชีพตัวเองเช่นนี้ ประวัติเบื้องหลังคงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสั่งขึ้นว่า “เปลื้องผ้าออกให้หมดแล้วตรวจสอบให้ละเอียด”
เหลิงอิ่งไม่ตอบทว่าลงมือตามคำสั่งทันที สายตาที่ฉูฉู่มองอวี้จิ่นเปลี่ยนไปโดยพลัน
นี่มันพวกโรคจิตชัดๆ คนตายแล้วยังจับเปลื้องผ้าทำไมกัน
เมื่อเห็นว่าเหลิงอิ่งกำลังถอดเสื้อคลุมของชายเคราครึ้มออก ฉูฉู่ก็รีบกระแอมไอออกมา
อวี้จิ่นเหลือบมองนางแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างไม่เต็มใจนัก “ต้องขออภัย ข้าลืมเสียสนิทว่าเจ้าเป็นสตรี งั้นเจ้าออกไปรอที่สวนด้านนอกก่อนแล้วกัน”
ฉูฉู่กลอกตามองบนก่อนจะเดินออกไป
ไม่ช้าไม่นานเหลิงอิ่งก็เปลื้องผ้าร่างศพนั้นจนเกลี้ยง และตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนจะรายงานอวี้จิ่น “เจ้านาย ไม่มีเครื่องหมายใดๆ บนร่างเลยขอรับ”
อวี้จิ่นผิดหวังเล็กน้อย
ที่แท้แล้วคนที่ไล่ล่าฉูฉู่ก็เป็นพวกเดียวกับที่เจียงซื่อบังเอิญไปข้องแวะด้วย คนเหล่านี้เชื่อข่าวที่ว่าเขาชื่นชอบสตรีศักดิ์สิทธิ์ แสดงว่าต้องเกี่ยวข้องกับทางใต้เป็นแน่ ส่วนมากคนที่หนานเจียงมักจะมีนิสัยชอบสักลายตามตัว โดยเฉพาะพวกบุรุษ แต่บนร่างชายเคราครึ้มผู้นี้กลับไม่มีร่องรอยใดๆ
อวี้จิ่นหันไปมองชายชุดคลุมยาวที่ถูกหลงต้านคุมตัวอยู่
ยังดีที่ยังเหลือรอดอีกคน ไม่แน่ว่าอาจได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม
“พาตัวกลับไปสอบปากคำ ส่วนที่นี่ก็เก็บกวาดให้เรียบร้อย”
หลังจากสั่งการเสร็จ อวี้จิ่นก็เดินออกไป
ฉูฉู่ยืนอยู่ในสวน เฝ้ามองคนที่ยืนเซตุปัดตุเป๋โดยไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
คุณชายอวี๋เป็นใครกันแน่
“ข้าจะให้คนไปส่งเจ้าที่ตรอกซงจื่อแล้วกัน”
ฉูฉู่เพิ่งได้สติ ครั้นหันมาสบตากับชายหนุ่ม ใจของนางก็แทบหยุดเต้น
เขาเพิ่งจะสั่งให้คนเปลื้องผ้าศพเมื่อครู่…
“ในเมื่อปัญหาถูกขจัดเรียบร้อยแล้ว ข้าก็ไม่อาจรบกวนเจ้าอีก”
“ไม่ได้”
ฉูฉู่ชะงักค้างไป
“หากแม่นางฉูฉู่จากไปเช่นนี้ แล้วข้าจะบอกกับคู่หมั้นอย่างไร”
ฉูฉู่ขมวดคิ้ว “คุณชายอวี๋ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ส่วนข้าก็จากไปโดยไม่บอกลา”
เดิมทีนางก็เป็นพวกอับโชคอยู่แล้ว การอยู่ให้ห่างพวกตัวปัญหาเข้าไว้จะยิ่งดี
อวี้จิ่นดูประหลาดใจ “นี่คุณหนูฉูฉู๋คงไม่ได้กำลังยุยงให้ข้าโกหกคู่หมั้นตัวเอง?”
ฉูฉู่ “…”
คิดเสียว่านางเป็นคนโชคร้ายแล้วกัน!
เจียงซื่อเชื่อฟังคำแนะนำของอวี้จิ่นโดยไม่ออกไปไหน แต่ก็เฝ้ารอข่าวคราวอย่างใจจดใจจ่อ
คนที่พอจะใช้การได้ก็มีเพียงหยิบมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนที่ไถ่ตัวอวี่เอ๋อร์หรือพี่ชายของอวี่เอ๋อร์ นางทำได้เพียงรอข่าวความคืบหน้าจากอวี้จิ่นและอาเฟยเท่านั้น เรื่องการหาคนมาทำงานมิใช่เรื่องง่าย บางครั้งก็ต้องอาศัยโชคเข้าช่วย
หลังได้รับจดหมายจากอวี้จิ่น เจียงซื่อก็รีบเก็บข้าวของเตรียมออกจากจวนทันที แต่กลับมีอุปสรรคขวางไว้เสียก่อน…มีคนนำตัวหงเย่ว์ เด็กรับใช้ที่หายตัวไปขณะที่ติดตามเซียวซื่อเอ้อร์ไท่ไท่ไปถวายธูปที่วัดไป๋อวิ๋นกลับมาส่งที่จวน