ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 283 ยอมๆ เสียเถอะ
เจียงซื่อลุกขึ้นยืน พร้อมกับท่าทางสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เวลานี้ราวกับว่าความอึดอัดในใจและความเจ็บปวดของทั้งสองชาติภพรวมกันได้มลายหายไปหมดแล้ว
นางยอมรับ นางเสียเวลาไปกับปัญหาที่แก้ไม่ได้ โดยเฉพาะในชาติภพที่แล้วหลังจากแต่งงาน ทุกครั้งที่คิดว่าในใจของชายที่ร่วมเรียงเคียงหมอนมีคนอื่นอยู่ นางก็ได้แต่กัดฟันโกรธด้วยความแค้น
นางเกลียดที่อวี้ชีไร้ยางอาย เกลียดที่ตัวเองไม่ก้าวไปข้างหน้า
ทว่าวันนี้ ในที่สุดนางก็ได้ยินอวี้ชีพูดออกมาจากปากเองว่าใจของเขาเป็นมีเพียงนาง…เจียงซื่อแห่งจวนตงผิงปั๋วมาโดยตลอด เรื่องที่ไม่เข้าใจในชาติภพที่แล้วพวกนั้นก็ให้มันจบแค่นี้เถอะ
เหตุใดนางจะต้องจองจำตัวเองไว้กับอดีต และทำทุกหนทางเพื่อพิสูจน์ว่าอวี้ชีหลอกนาง จากนั้นก็เก็บความรู้สึกให้มันอึดอัดใจต่อไปด้วย
เจียงซื่อตัดสินใจปลดปล่อยตัวเอง
นางยอมเชื่อเขา และเพราะเชื่อจึงไม่รู้สึกเสียใจ แถมยังพร้อมยอมรับอีกด้วย ซึ่งนี่มันเพียงพอแล้ว ส่วนในชาติภพนี้นางกับเขา แน่นอนว่าไม่อาจอยู่ด้วยกันได้
แม้จะตัดสินใจเหมือนกัน ทว่าสำหรับเจียงซื่อแล้วมันไม่เหมือนกันเลยสักนิด
ก่อนหน้านี้นางห่างจากชายผู้นี้ไปแสนไกล แต่ว่าสิ่งที่หนีไม่พ้นก็คือความเจ็บปวดและความเสียใจที่ติดตัวนางมาตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่ ตอนนี้นางรู้สึกได้ถึงการปล่อยวาง
นางเป็นหญิงสาวธรรมดาสามัญแห่งจวนปั๋วที่เคยยกเลิกการหมั้น ส่วนเขาเป็นเยี่ยนอ๋อง องค์ที่เจ็ดของฮ่องเต้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจอยู่ด้วยกันได้
นางไม่มีอะไรให้แค้นใจ และไม่มีอะไรให้นึกเสียใจ คำรักหวานพวกนั้นนางเคยได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้นี้ นางก็เคยครอบครองเขามาแล้ว นี่มันพอแล้ว ถ้ายังเข้าไปพัวพันอีกต่อไปมันก็ไม่มีประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย มีแต่จะสร้างความทุกข์ใจให้กันเท่านั้น
ตอนนี้ความสนใจของอวี้จิ่นล้วนพุ่งเป้าไปที่เจียงซื่อ เพียงชั่วเวลาพริบตาเดียวเขาก็รับรู้ได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเปลี่ยนไป ความไม่สบายใจที่มักจะผุดขึ้นมาอยู่ระหว่างคิ้วของนางเมื่อตอนที่เจอกันก่อนหน้านี้หายไปราวกับถูกสายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดไป แม้แต่หางตาก็ยกโค้งขึ้นมาอย่างผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อน มันทั้งดูสดใสและเป็นอิสระ
แต่รอยยิ้มนี้กลับทำให้เขาร้อนใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อกำลังหันหลังเดินออกไป จึงรีบคว้าข้อมือนางไว้แล้วดึงกลับมา
ระยะห่างระหว่างทั้งสองถูกดึงเข้ามาใกล้ชิดกันทันที มุมโต๊ะที่แข็งทื่อรองรับกับเอวคอดของเด็กสาว นางขมวดคิ้วขึ้นเพราะไม่สบายตัว “ปล่อยข้านะ!”
“ไม่ปล่อย!” ด้วยความที่อยู่ใกล้กัน กลิ่นหอมของอีกฝ่ายจึงโชยเข้ามาในจมูกอวี้จิ่น มันทำให้น้ำเสียงของเขานิ่งลง
เจียงซื่อใช้มือข้าหนึ่งดันไหล่ของเขาไว้ แม้จะผลักออกไม่ได้ ทว่าก็พยายามปฏิเสธอย่างสุดความสามารถ “ท่านอ๋องโปรดระวังการกระทำของท่านด้วย”
‘ท่านอ๋อง’ คำเรียกเช่นนี้ทำให้อวี้จิ่นรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
ท่านอ๋องบ้าบออะไรกัน ผู้เป็นบิดานั้นไม่ได้ให้กำเนิดเขาแถมยังไม่ได้เลี้ยงดูเขาสักหน่อย แต่เรื่องสร้างปัญหาให้เพิ่มนี่เป็นที่หนึ่งเลย
ขณะที่กำลังหงุดหงิด อวี้จิ่นไม่เห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้ามีท่าทางห่างเหินเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขาใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวนางไว้แน่น ส่วนอีกข้างยันไว้กับโต๊ะทำให้คนที่อยู่ในอ้อมอกหมดหนทางหนี จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “อาซื่อ เจ้าเลิกหลอกตัวเองได้แล้ว เจ้าแสดงออกอย่างชัดเจนในความใคร่รู้ว่าข้าสนหรือไม่สนใจสตรีศักดิ์สิทธิ์ เจ้าสนใจข้า…มิเช่นนั้นเหตุใดจึงร้องไห้ เหตุใดจึงต้องสนใจว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นสาวงามหรือไม่ด้วย”
อวี้จิ่นถามเรื่องพวกนี้ออกไป แทบจะกัดฟันถาม “ยอมรับว่าชอบข้า มันยากเย็นขนาดนั้นเลยหรือ”
หากอาซื่อเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาคงตีนางไปสักรอบแล้ว! ใครใช้ให้นางปากไม่ตรงกับใจ ทำตัวเมินเฉย และมักจะทำให้เขาเจ็บปวดเสียใจกัน!
ช่างหัวมันปะไร ตีรอบเดียวไม่พอก็สองรอบไปเลย ตีจนกว่าจะเชื่อฟังและประพฤติตัวดีจากนั้นค่อยหยุด
แต่น่าเสียดายที่อาซื่อเป็นสตรี!
สุดท้ายอวี้จิ่นก็ทำได้เพียงถอนหายใจ
ชาติภพนี้คงมีเพียงแต่อาซื่อที่ตีเขาได้ และเขายังกังวลด้วยว่านางอาจจะขี้เกียจตีเขา
ความน่าเกรงขามของอีกฝ่ายห้อมล้อมเข้ามาทั่วทุกสารทิศ คำถามที่พวยพุ่งออกมาราวกับลูกเห็บตกกระทบลงในใจ ทำให้เจียงซื่อหนีไปไหนไม่รอด นางสับสนว้าวุ่นทำอะไรไม่ถูก
นางก้มหน้าลง พลางกัดเข้าที่แขนเขาอย่างแรง
ทั้งร่างถูกยกขึ้นอย่ารวดเร็ว กว่าเจียงซื่อจะรู้สึกตัวก็ถูกกดลงบนโต๊ะแล้ว บุรุษที่ควรจะเรียกว่าเด็กหนุ่มกางแขนคร่อมอยู่บนตัวนาง ราวกับมีไฟลุกโชนอยู่นัยน์ตาเขา
ท่วงท่านี้ นางช่างคุ้นเคยเหลือเกิน…
เจียงซื่อใจลอยออกไปไกล
“เจ้ากัดข้า” อวี้จิ่นพูดฟ้อง
“แล้วอย่างไรเล่า” แม้จะอยู่ในท่วงท่าที่มีเลศนัย ทว่าเจียงซื่อกลับถามขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน
เมื่อกำจัดปมในใจออกไปได้แล้ว มันเหมือนกับว่านางได้ถูกปลดปล่อยในทันที สภาพจิตใจตอนที่เผชิญหน้ากับชายคนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
นางจะกลัวอะไร มีตรงไหนในตัวชายผู้นี้ที่นางไม่เคยเห็น หน้าแดงใจเต้นแรงงั้นหรือ ไม่มีทางหรอก
จะว่าไปแล้ว คนที่เขินอายน่าจะเป็นเขามากกว่า
เจียงซื่อหรี่ตามองเด็กหนุ่มที่คร่อมตัวนางอยู่
นางจำได้ ตอนที่แต่งงานเขายังทำอะไรไม่เป็น…
สายตาของหญิงสาวราวกับมีตะขอเกี่ยว มันกำลังเกี่ยวดึงหัวใจอวี้จิ่นจนแทบทนไม่ไหว
ท่าทีที่ไม่เกรงกลัวและรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ในตา มันกำลังยั่วยวนสายตาเขาอย่างรุนแรง
ใครจะทนไหวกัน!
จู่ๆ อวี้จิ่นก็โน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหน้าอันจิ้มลิ้มน่ารักที่นึกถึงอยู่ในฝันมานับร้อยนับพันครั้ง จากนั้นก็อ้าปากงับลงไปที่ติ่งหูของนาง
ไม่มีเหตุที่เขาจะถูกกัดเพียงคนเดียวนี่นา!
เจียงซื่อตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง
ปฏิกิริยาของนางช่วยให้อวี้จิ่นกล้ามากขึ้น พองับติ่งหูไปก็ยังรู้สึกว่ามันไม่พอ เขาจึงใช้มือข้างหนึ่งประคองท้ายทอยนางเอาไว้ แล้วค่อยๆ งับลงบนริมฝีปากอันอวบอิ่ม
งับมั่วซั่วไปไม่กี่ครั้ง…หืม ไม่คิดเลยว่านางจะยังไม่ตอบโต้
อวี้จิ่นรู้สึกว่าเหตุการณ์ลาภลอยเช่นนี้เหมือนไม่เป็นความจริง
หรือนี่จะเป็นความฝัน
เมื่อมีความคิดนี้แล่นผ่านขึ้นมา เขาก็แทบทนไม่ไหวที่จะทิ้งความลังเลในห้วงสุดท้าย แล้วพุ่งเข้าไปบดขยี้ริมฝีปากที่อ่อนโยนทันที
ในหัวเจียงซื่อเหมือนมีฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาแวบหนึ่ง รู้สึกเหมือนกับวันวานในชาติภพที่แล้วขึ้นมาอย่างฉับพลัน
การเกิดใหม่เป็นแค่ฝันที่ยาวนานเพียงเท่านั้น หากตื่นจากฝันแล้ว ความรักอันหวานหอมและความเจ็บปวดระหว่างนางกับเขาที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็คงดำเนินต่อไป…
อวี้จิ่นทิ้งน้ำหนักลงไป แก้วชาบนโต๊ะใบหนึ่งตกลงบนพื้น เกิดเสียงดัง เพล้ง เสียงนี้ดึงให้ทั้งสองกลับมาอยูกับความจริงทันที
ทั้งสองสบตากันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และอยู่ในท่วงท่าก่อนหน้านี้โดยไม่ขยับเขยื้อน
“ทับข้าพอรึยัง” หลังจากนั้นไม่นาน เจียงซื่อก็ถามออกไป
อวี้จิ่นลุกขึ้นพร้อมกับจัดการเสื้อผ้าอาภรณ์ของตัวเองที่ยับยู่ยี่แล้วนั่งลง เอ่ยพูดอย่างสุภาพ “ไม่พอ…”
ทว่าในความจริงแล้วในใจเขาปั่นป่วนไปหมด แทบทนไม่ไหวอยากจะเข้าไปอาบน้ำ เอาน้ำเย็นมาสาดตัวสักหลายๆ รอบ
เจียงซื่อยันตัวเองลุกขึ้นมา จ้องชายตรงหน้าด้วยความเกลียดชัง
ได้คืบจะเอาศอก นี่มันเขาจริงๆ เลย!
สุดท้ายอวี้จิ่นก็ใจฝ่อลงเล็กน้อย เขาจัดการกับลมหายใจที่ปั่นป่วน แล้วพูดแก้ต่างออกไป “ก็…เจ้ากัดข้าก่อน…”
เจียงซื่อโกรธจนหัวเราะออกมา “เช่นนั้นเจ้าก็เลยทำตามอำเภอใจได้งั้นหรือ”
หากช้าไปอีกนิดเดียว เขาคงวางแผนจะให้ที่นี่เป็นเรือนหอแล้วสินะ
อวี้จิ่นส่ายหน้า อธิบายขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเพียงแค่กัดเจ้าคืน ส่วนเรื่องต่อมาไม่ใช่ข้าทำ…”
เขาสังเกตสีหน้าของเจียงซื่อ ในที่สุดก็หาคนรับผิดแทนได้ “ไม่แน่อาจจะถูกข้าในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้าเข้าสิงก็ได้…”
อืม อีกหลายปีข้างหน้าเขากับอาซื่อจะต้องแต่งงานกันแล้วแน่ๆ ทำเรื่องของสามีภรรยาที่ควรจะทำจะเป็นอะไรไป
เจียงซื่อมองไปที่เขา แล้วโพล่งออกมาคำหนึ่ง “ไปให้พ้น!”
ในเรื่องของความหน้าด้าน เจ้าบ้านี่ไม่มีใครเกินเลยจริงๆ
“อาซื่อ…”
เจียงซื่อไม่พูดไม่จา
“คุณหนูเจียง!”
เจียงซื่อถึงได้ชำเลืองมองเขา
“เจ้าดูสิ พวกเราต่างก็เคยกัดกันแล้ว หากไปกัดผู้อื่นอีกก็คงไม่เหมาะ เจ้าก็ยอมๆ แต่งงานกับข้าเถอะนะ”