ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 140 สงครามระหว่างองค์ชาย
ตอนที่ 140 สงครามระหว่างองค์ชาย
การฟาดไหสุราใส่ศีรษะท่านอ๋อง สถานการณ์อย่างนี้จะเป็นอย่างไรนั้น อย่าว่าแต่บ่าวรับใช้ที่อยู่รับใช้ แม้แต่องค์ชายที่มีฐานันดรเป็นอ๋องเหมือนกันก็ยังไม่กล้าจินตนาการ
แต่เรื่องเช่นนี้ได้เกิดขึ้นแล้วตรงหน้า!
วินาทีนั้น ทุกคนอ้าปากตาค้าง แม้แต่องค์ชายห้าที่ถูกฟาด ก็ยังไร้ปฏิกิริยาใดๆ
ก็แน่ล่ะ คนอื่นไม่มีปฏิกิริยานั่นเพราะอยู่ในความตกใจ แต่องค์ชายห้าไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นั่นเพราะโดนไหสุราฟาดใส่จนวิงเวียนศีรษะอย่างไรเล่า
เลือดสีแดงเริ่มไหลจากหน้าผากเข้าไปยังในปากที่ยังอ้าค้างไว้เพราะความตกใจเกินขีดจำกัด
กลิ่นคาวเลือดที่ลอยแตะจมูกทำให้องค์ชายห้าได้สติเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เขาพลันดีดตัวขึ้นตะโกนดังลั่น “เจ้ากล้าตีข้า?”
พระมารดาขององค์ชายห้าเป็นถึงบุตรสาวของแม่ทัพ แล้วองค์ชายห้าก็มีความชื่นชอบในวิชามวยตั้งแต่เด็ก ในบรรดาองค์ชายทั้งหมดก็ถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือดีที่สุด เมื่อเขาได้สติเขาได้ทำการตอบโต้กลับไปทันที
อวี้จิ่นหัวเราะกลับอย่างเย็นชา พลางยื่นมือจับไหล่ขององค์ชายห้า แล้วทำการบิดและกดลงที่โต๊ะยาว จากนั้นกำหมัดแน่นแล้วชกใส่เขาทันที
คนที่ปากพล่อย รอจัดการเสร็จแล้วค่อยว่ากัน!
เหล่าองค์ชายยืนมองปากอ้าตาค้างกันถ้วนหน้า
ที่แท้ระหว่างพี่น้องกันก็ทำกันตรงๆ เช่นนี้ได้?
คนที่สีหน้าแย่ที่สุดในนั้นคือองค์ชายสี่ อีกเพียงนิดเดียวก็จะกลอกตาขาวใส่แล้ว
เขาจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดเพื่อต้องการสร้างชื่อเสียงด้านการเป็นพี่น้องที่ดีก็เท่านั้น เหตุไฉนถึงได้เกิดเหตุการณ์องค์ชายสองคนชกต่อยกันเหมือนพวกอันธพาลเสียอย่างนั้นได้!
หากน้องห้าถูกน้องเจ็ดชกจนเป็นอะไรขึ้นมา ต่อหน้าเสด็จพ่อ เขาไม่มีทางได้รับคำชมแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น องค์ชายสี่จึงรีบเข้าห้าม “หยุดก่อน น้องเจ็ด…”
องค์ชายอื่นๆ เห็นดังนั้น ไม่ว่าจะด้วยความจริงใจหรือเสแสร้ง ต่างก็พากันเข้าไปห้ามด้วยอีกคน
อวี้จิ่นชกจนเหนื่อยพอดี จึงคลายมือจากการกดทับองค์ชายห้าออก
เมื่อสองมือขององค์ชายห้าได้รับอิสระ เขาก็ชกหมัดออกไปทันที
เสียงสวบดังขึ้น หมัดที่ชกออกไปกระแทกใส่หน้าขององค์ชายหก แล้วเลือดก็พุ่งออกจากจมูก
องค์ชายหกที่ดื่มสุราไปค่อนข้างมากจับที่จมูกของตัวเอง พอเห็นเลือดสีแดงสด อารมณ์ก็พุ่งกระฉูด พร้อมยกมือขึ้นตบหน้าองค์ชายห้าทันที
สิ่งที่เรียกว่าสติที่อยู่ในสมองขององค์ชายห้าได้หายไปนานแล้ว หมัดที่กำแน่นได้ชกออกไปดั่งเสือที่คำรามเสียงดัง ส่วนขานั้นก็มิได้อยู่เฉย พลางยกขาขึ้นเตะองค์ชายแปดจนกระเด็น แล้วตะโกนดังลั่นด้วยความโมโห “ชกข้าใช่ไหมๆ ชกมาสิ!”
องค์ชายแปดล้มใส่ตัวองค์ชายสาม แรงเฉื่อยทำให้คนสองคนล้มลงไปกับพื้นพร้อมกัน
องค์ชายแปดยื่นมือออกไปตามความสามารถส่วนตัว แต่สิ่งที่คว้าได้คือสิ่งของนุ่มๆ สิ่งหนึ่ง
อะไรเนี่ย ความคิดนี้ได้แล่นผ่านสมองขององค์ชายแปด เขาจึงออกแรงบีบของสิ่งนั้น
องค์ชายสามพลันร้อง อ้ากก แล้วเอามือปิดส่วนล่างไว้กลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความเจ็บปวด
องค์ชายสี่ทำอะไรไม่ถูกแล้ว
น้องแปดคงไม่ได้ดึงเจ้านั่นของพี่สามจนขาดหรอกกระมัง?
เอ่อ ดูเหมือนจะเป็นข่าวดีนะ แต่ก็ต้องดูเวลาด้วยสิ! เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในงานเลี้ยงที่เขาเป็นคนจัด ต่อไปนี้พี่สามจะไม่เกลียดเขาไปตลอดชีวิตหรือ!
องค์ชายสี่จึงวิ่งเข้าไปทำเป็นปลอบใจองค์ชายสาม “พี่สาม พี่เป็นอะไรหรือไม่”
ไม่รู้ว่าองค์ชายสามตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ตอนที่กลิ้งไปกลิ้งมาดันทับใส่ชายกางเกงขององค์ชายสี่เข้า พอองค์ชายสี่รู้ตัวจึงได้ถอยหลังกลับไป ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสองขาเย็นวาบ พอก้มดูอีกที ที่แท้กางเกงและกางเกงชั้นในถูกองค์ชายสามดึงจนขาดออกมา
เพียงพริบตาเดียว กลุ่มองค์ชายก็ชกตีกันกลับตาลปัตรไปหมด
บ่าวรับใช้ที่ยืนข้างๆ พากันตะลึงงันพูดไม่ออก
องค์ชายใหญ่ที่ยากจะปลีกตัวจากเรื่องนี้ได้ ในที่สุดก็ได้เรียกองครักษ์มาแยกเหล่าองค์ชายออกจากกัน พอเห็นน้องๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย พลางรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจ
เล่นใหญ่เกินไปแล้วล่ะทีนี้!
หลังครึ่งชั่วยามผ่านไป องค์ชายทั้งเจ็ดคนก็ได้คุกเข่าเรียงรายอยู่ด้านหน้าท้องพระโรง จิ่งหมิงฮ่องเต้ไขว้พระหัตถ์ไว้ด้านหลัง เสด็จกลับมาอย่างรวดเร็วด้วยความกริ้ว
ไท่จื่อที่ได้ยินข่าวกก็อยากดูความคึกคัก แต่ยังไม่ทันได้กล่าว พลันถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้ยกนิ้วชี้ “เจ้าไปคุกเข่าด้วยอีกคน!”
ไท่จื่อ “…” เขายังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป เขาแค่มาดูสนุกๆ ก็เท่านั้นเอง!
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่สนพระทัยความคิดของไท่จื่อ สำหรับพระองค์แล้ว องค์ชายชกต่อยกันเป็นหมู่ คนที่ไม่ได้รับโทษร่วมด้วยคิดจะรับรางวัลเป็นดอกไม้สีแดงดอกใหญ่งั้นรึ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งคิดยิ่งปวดพระเศียร พลางกวาดสายตาอันเย็นชาไปยังด้านล่างหนึ่งที
นี่คือเหล่าบุตรชายที่เขาภาคภูมิใจ!
แต่ไหนแต่ไรมา ราชวงศ์ต้าโจวมีจำนวนลูกหลานไม่มาก พอถึงยุคของพระองค์ พระองค์ทรงมีองค์ชายรวมแล้วถึงเจ็ดคน จึงมีรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมากยามอยู่ต่อหน้าบรรพบุรุษ แต่ใครเล่าจะคิด การมีบุตรชายจำนวนมาก เรื่องน่าปวดหัวก็มากขึ้นตามด้วยเช่นกัน!
ช้าก่อน!
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่กำลังก้าวเท้ากลับไปอย่างฉับไวพลันหยุดชะงัก
เมื่อครู่นี้เขาบอกว่ามีบุตรชายกี่คนนะ?
หนึ่ง สอง…แปด
ไม่ใช่สิ!
จิ่งหมิงฮ่องเต้นับภายในใจอีกครั้ง ก็ยังเป็นแปดคนถูกแล้วนี่
ทั้งๆ ที่มีบุตรอยู่เจ็ดคน เหตุใดถึงเกินมาหนึ่งคน?
ด้านล่างบันไดคุกเข่าเรียงกันเป็นแถว แต่ละคนพับหน้าก้มหน้าต่ำจึงเห็นเพียงศีรษะ
“เงยหน้าขึ้นมา!” จิ่งหมิงฮ่องเต้นับภายในใจครั้งที่สามเสร็จจึงตรัสออกไป
ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ โดยเฉพาะฮ่องเต้ที่คิดว่าตนเป็นฮ่องเต้ที่ปราดเปรื่อง จำนวนหลักสิบไม่มีทางนับผิดแน่ๆ!
เหล่าองค์ชายเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่อฟัง อวี้จิ่นคั่นอยู่ด้านในอย่างกลมกลืน
จิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มมองจากคนด้านซ้ายสุด
องค์ชายใหญ่ องค์ชายสาม องค์ชายสี่ องค์ชายห้า องค์ชายหก องค์ชายสี่ องค์ชายแปด ไท่จื่อ…
เอ๊ะ มีองค์ชายสี่สองคน?
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้นนวดขมับ
มีบุตรมาก ช่างน่าปวดหัวเสียจริง
พระองค์เสด็จลงบันไดอยากดูให้ชัดกว่านี้ ครั้งนี้พระเนตรของพระองค์ตกอยู่ที่อวี้จิ่น
“เจ้า…”
เมื่อเห็นหน้าชัดเจนแล้วถึงได้พบว่าชายหนุ่มคนตรงหน้ารูปงามกว่าองค์ชายสี่มาก รูปหน้าละเอียดลออกว่า บุคลิกโดดเด่นกว่า รูปร่างตะหง่านเด่นสง่ากว่า เหมือนว่ารูปหน้าเดิมที่มีความหยาบกระด้างเล็กน้อยได้ถูกจัดแต่งใหม่มาแล้ว
จะว่าเหมือนก็เหมือนอยู่บ้าง ไม่ว่าใครมองดูก็มองออกว่าสองคนนี้มีความเหมือนกันอย่างไร แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนจะโดดเด่นกว่าองค์ชายสี่เล็กน้อย
“ลูกขอถวายบังคมแด่เสด็จพ่อ” อวี้จิ่นอนุญาตให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรวจมองให้พอแล้วจึงก้มหน้าเอ่ยออกไป
“จิ่น?” จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกยิ่งงงงวยไปกันใหญ่ จึงหันไปสบตากับขันทีพานไห่หนึ่งที
พานไห่เอ่ยเตือนเสียงเบาทันที “ฝ่าบาท นี่คือองค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตะลึงงัน ผ่านไปครู่หนึ่งสติถึงกลับมา สายพระเนตรจับจ้องไปที่อวี้จิ่น “เจ้าคือองค์ชายเจ็ด?”
“ลูกเองพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
เขาแทบจะลืมลูกชายคนนี้แล้ว
ไม่สิ จะพูดว่าลืมก็คงไม่ได้ เพราะลูกชายคนนี้ออกจากพระราชวังไปตั้งแต่คลอดออกมา ในพระทัยของพระองค์แล้วถือว่าเป็นลูกชายที่พิเศษยิ่งกว่าใคร
แต่ความพิเศษนี้ก็ไม่สามารถทำให้พระองค์จดจำได้ตลอดเวลาว่าพระองค์ยังมีลูกชายคนนี้อีกหนึ่งคน ก็เหมือนกับเมื่อครู่นี้ที่มองดูลูกชายคุกเข่าเรียงกันเป็นแถว พระองค์แทบคิดไม่ถึงว่าจะมีองค์ชายเจ็ดอยู่ในนั้นด้วย
สีพระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้เปลี่ยนไป พานไห่จึงเข้าไปเช็ดเหงื่อให้ ส่วนภายในใจนั้นได้ออกเสียงด่าทอองครักษ์วังหลวงอย่างสาดเสียเทเสีย
ฮ่องเต้ได้ยินว่าเหล่าองค์ชายชกต่อยกันจนแทบออกจากกันไม่ได้ จึงได้สั่งให้คนจับตัวองค์ชายมาที่นี่ทั้งหมด แล้วพวกเขาก็ได้จับตัวมาทุกคนจริงๆ แต่หนึ่งในนั้นมีองค์ชายเจ็ดด้วย กลับไม่แจ้งรายงานล่วงหน้า
พวกโง่!
“ฝ่าบาท วันนี้เป็นวันพระราชสมภพขององค์ชายเจ็ด บัดนี้องค์ชายเจ็ดมีชันษาครบสิบแปดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พานไห่รู้ว่านี่เป็นหนามตำใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ จึงรีบกล่าวออกไปเสียงเบา
จิ่งหมิงฮ่องเต้คิ้วกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำนี้ นิ่งเงียบได้ครู่หนึ่งจึงตรัส “เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน”
จู่ๆ ก็มีลูกชายอายุสิบแปดโผล่มาหนึ่งคน เหมือนได้มาเปล่าๆ
ไม่มีใครรู้ว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้หมายความว่าอย่างไร ท้องพระโรงพลางเงียบสงัด
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดสายพระเนตรไปยังลูกชายทั้งแถวพร้อมแสดงสีพระพักตร์เข้มขรึม “ไหนลองว่ามา วันนี้เกิดอะไรขึ้น!”