ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 136 เห็นอกเห็นใจ
ตอนที่ 136 เห็นอกเห็นใจ
มือของเจียงซื่อที่วางบนเข่าขยับเบาๆ
คงต้องยอมรับว่าใต้เจินเท้าเป็นคนฉลาดกว่าคนปกติทั่วไป
กับคนเช่นเขา การพูดซี้ซั้วมีแต่เป็นการหาเรื่องใส่ตัว
เจียงซื่อเองก็เด็ดขาด นางฉีกยิ้มพร้อมตอบกลับ “คงใช่”
เจินซื่อเฉิงลูบหนวดเป็นพักๆ รู้สึกว่าสาวน้อยตรงหน้ายิ่งอยู่ยิ่งน่าสนใจ
“ข้าช่างสงสัยนัก ซิ่วเหนียงจื่อกับฉือหยวนวั่ยฝันเห็นวิญญาณของบุตรสาวสุดที่รักพร้อมกันได้อย่างไร” เจินซื่อเฉิงหยั่งความคิด เมื่อพูดเสร็จ สายตาก็จับจ้องเจียงซื่อไม่ขยับ
แววตาสีหน้าของสาวน้อยตรงหน้านิ่งสงบ น้ำเสียงนิ่งเรียบ “ก็คงเหมือนที่เขาพูดกัน เหนือศีรษะสามเซี๊ยะมีเทพเทวาอยู่ คนทำ ฟ้าดู[1]กระมังเจ้าคะ”
“ช่างพูดได้ดี คนทำ ฟ้าดู!” สีหน้าแววตาของเจินซื่อเฉิงเข้มขรึมมากขึ้น “ฟ้าอยากลงโทษคนชั่ว ก็ต้องยืมมือคนมาช่วย คุณหนูเจียงคิดเห็นว่าอย่างไร”
เจียงซื่อยิ้มอ่อน “ใต้เท้าเป็นคนนั้นเองมิใช่รึเจ้าคะ เพราะมีคนอย่างท่านชิงเทียนอยู่ ถึงได้จับฉังซิงโหวซื่อจื่อให้อยู่หมัดจนหญิงสาวที่ถูกทำร้ายได้รับความเป็นธรรม”
สายตาแวววับของเจินซื่อเฉิงจับจ้องเจียงซื่อไม่ห่างไปไหน
เจียงซื่อเงยหน้าที่โค้งเว้าสวยงามของตนขึ้น และให้เขามองดูมันอย่างตามใจ
นางไม่มีเรื่องให้รู้สึกละอายใจเลยแม้แต่น้อย จึงไม่จำเป็นต้องกลัวการถูกซักถาม
แม้ยืนยันได้ว่านางแสร้งเป็นผีแล้วอย่างไรเล่า ใต้เท้าเจินคงไม่จับนางด้วยเหตุผลนี้หรอกกระมัง
เจินซื่อเฉิงกลับหัวเราะขึ้นมาและกะพริบตาให้กับเจียงซื่อ
เจียงซื่อถึงกับมึนงง
ใต้เท้าเจินอายุปูนนี้แล้ว กลับแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาได้ มันช่างน่าตกใจเสียจริง
“คุณหนู อย่ามองว่าข้าเป็นผู้ตรวจการของศาลาว่าการพระนครเลยนะ คิดเสียว่าเป็นสหายที่มีพรหมลิขิตต่อกันคนหนึ่งแล้วกัน บอกข้าทีว่าเจ้าทำได้อย่างไร”
การเปลี่ยนหัวข้อกะทันหันของคนตรงข้ามทำให้เจียงซื่อถึงกับปากกระตุก แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ใต้เท้ากำลังพูดถึงสิ่งใดหรือ ข้าน้อยฟังไม่เข้าใจเลยเจ้าค่ะ”
เจินซื่อเฉิง “…” อายุปูนนี้แล้ว เขาอุตส่าห์แสดงท่าทางของคนโง่ออกมา แต่เหตุไฉนแม่หญิงคนนี้ถึงแล้งน้ำใจเพียงนี้กันนะ!
แววตาเจียงซื่อแวววับแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
ไม่ว่าคนตรงข้ามคาดเดาไปอย่างไร หากต้องแกล้งโง่ ก็ต้องแกล้งโง่ต่อไปให้ถึงที่สุด
ยังดีที่ใต้เท้าเจินผู้นี้ ไม่ใช่คนที่จะบีบบังคับหญิงสาวคนหนึ่งเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายของตน
เจินซื่อเฉิงถอนหายใจหนึ่งเฮือกพลางเอ่ย “ช่างเถอะ บางทีข้าคงคิดมากไปเอง”
หากแสดงท่าทางของคนโง่ออกมาแล้วไม่สำเร็จ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในภายภาคหน้า หากสนิทสนมกันแล้วนางจะบอกความจริงแก่เขาหรือไม่
สำหรับคนที่เคยชินกับการกุมทุกสิ่งเกี่ยวกับคดีไว้ในกำมือ ยามใดที่ประสบพบเจอกับเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้นั้น มันช่างรำคาญใจเสียเหลือเกิน
เอ่อ จะว่าไปบุตรชายคนโตของเขาก็มีรูปลักษณ์พอใช้ได้ และใกล้จะกลับเข้าเมืองหลวงแล้ว บางที อาจให้พวกเขาได้รู้จักกันสักหน่อย
เจินซื่อเฉิงพลันเปลี่ยนความคิดเป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างทันควัน แล้วก็รู้สึกว่าความคิดนี้ช่างวิเศษยิ่งนัก
หึๆ ถ้าได้สาวน้อยคนนี้แต่งเข้ามาที่ตระกูลเขาละก็ นางจะยังกล้าไม่พูดความจริงกับผู้ที่เป็นใหญ่ในเรือนอีกรึ
อืม สงสัยคงต้องรอให้บุตรคนโตมาถึงก่อนแล้วจึงบอกเรื่องนี้แก่เขาสักหน่อย
……
บนถนนสายหลัก หนุ่มน้อยที่ขี่อยู่บนหลังม้าตัวสีขาวข้างๆ รถม้า พลันจามติดต่อกันถึงสามครั้ง
ผ้าม่านรถม้าพลันถูกเปิดออกหนึ่งมุม มีเสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นเอ่ยถาม “อาเหยียน เจ้าไม่สบายหรือ”
หนุ่มน้อยขยี้จมูกพร้อมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อคงคิดถึงข้าน่ะ”
ทุกครั้งที่ท่านพ่อคิดถึงเขา มักไม่เคยเป็นเรื่องดี! การเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ ไม่รู้ว่ามีเรื่องน่าปวดหัวอะไรรอเขาอยู่
……
เจียงซื่อมองดูสีหน้าตื่นเต้นของเจินซื่อเฉิงแล้วรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย
คิดไม่ถึงเลยว่าใต้เท้าเจินผู้พิพากษาคดีอย่างเฉียบขาด แท้จริงแล้ว…จะเป็นคนที่เข้าถึงง่ายถึงเพียงนี้
“ใต้เท้าเจิน ไม่ทราบว่าซิ่วเหนียงจื่อเป็นอย่างไรบ้าง”
เจินซื่อเฉิงเก็บอาการและปรับสีหน้าเป็นความเข้มขรึมอีกครั้ง “ตอนนี้ซิ่วเหนียงจื่อถูกจัดให้ไปอยู่ที่ห้องรับแขกด้านหลังที่ทำการ คุณหนูเจียงเป็นห่วงซิ่วเหนียงจื่อหรือ”
“ข้าได้ยินว่าซิ่วเหนียงจื่อน่าสงสารมาก สมัยก่อน นางเลี้ยงดูบุตรสาวด้วยตนเองและพึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอด นางเลี้ยงบุตรสาวจนเติบใหญ่ แต่บุตรสาวกลับต้องประสบกับชะตากรรมเช่นนี้…”
“อืม” เจินซื่อเฉิงถอนหายใจอีกครั้ง
ทุกครั้งที่ไขคดีสำเร็จ สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกเสียน้ำตามากที่สุดก็คือญาติของผู้เสียชีวิต แล้วซิ่วเหนียงจื่อคือคนที่น่าสงสารที่สุด
“ข้าเตรียมเปิดร้านขายเครื่องประทินโฉม ต้องการคนงานที่เป็นสตรีอยู่พอดี หากใต้เท้าเจินไม่รู้จะจัดการที่อยู่ให้ซิ่วเหนียงจื่ออย่างไร ก็ให้นางมาทำงานที่ร้านของข้าสิ”
เจินซื่อเฉิงตาลุกวาว “หากว่าทำได้ ถือเป็นเรื่องที่ดีมากเชียวล่ะ”
ตอนนี้คดียังไม่จบ ให้ซิ่วเหนียงจื่อพักอยู่ที่ทางการยังพออธิบายได้ แต่ถ้าคดีจบแล้วแต่ยังพักที่นั่นก็จะไม่เหมาะเท่าไหร่ ญาติของเขายังมาไม่ถึงเมืองหลวง เวลาผ่านไปนานวันเข้า อาจถูกผู้คนพูดไปต่างๆ นานาได้
ให้ซิ่วเหนียงจื่อได้อยู่ในที่ๆ หามาได้ด้วยสองมือของตัวเอง ดีกว่าการให้เงินก้อนหนึ่งแก่นางมากนัก
เจินซื่อเฉิงยิ่งมองสาวน้อยตรงหน้าก็ยิ่งชื่นชอบ
คิดไม่ถึงว่าการมาที่นี่ในครั้งนี้ เขาได้อะไรกลับไปมากมาย
“ฮ่าๆ งั้นข้าขอบใจคุณหนูเจียงแทนซิ่วเหนียงจื่อก่อนล่ะ”
เจียงซื่อตอบกลับทันที “ใต้เท้าเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังไม่สะดวกที่จะแสดงตัวว่าเปิดร้านเครื่องประทินโฉมเท่านั้น ฉะนั้น ข้ายังต้องรบกวนใต้เท้าช่วยข้าเก็บเป็นความลับด้วย กับซิ่วเหนียงจื่อก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเจ้าของร้านคือใคร”
“ได้ คุณหนูวางใจเถอะ เพียงแต่ว่า…”
“ใต้เท้าลำบากใจเรื่องอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
เมื่อความดีใจในตอนแรกผ่านไปแล้ว เจินซื่อเฉิงพลันนึกถึงสิ่งสำคัญขึ้นมาอีกครั้ง “ซิ่วเหนียงจื่อยังมีความเจ็บปวดกับการสูญเสียบุตรสาว คงยากที่จะมีสภาพจิตใจที่ปกติในเร็ววัน”
เจียงซื่อพลันคิดถึงภาพของซิ่วเหนียงจื่อในคืนนั้น
สภาพจิตใจของซิ่วเหนียงจื่อ สามารถพูดได้ว่าห่างจากความบ้าแค่เพียงก้าวเดียว
นางอยากช่วยเหลือซิ่วเหนียงจื่อ
มนุษย์ทุกคนมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งซิ่วเหนียงจื่อกับบุตรสาวต่างก็เป็นผู้ที่ถูกฉังซิงโหวซื่อจื่อทำร้ายเหมือนกัน นี่คงนับว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้นางถอนหายใจเฮือกใหญ่
ส่วนบุตรสาวของซิ่วเหนียงจื่อ ได้ลาจากโลกนี้ไปอย่างถาวร นางได้หลุดจากเงามืดของชาติก่อนเรียบร้อย ถ้าเช่นนั้น ก็ให้นางเป็นตัวแทนของบุตรสาวของซิ่วเหนียงจื่อ มาช่วยแม่ให้มีชีวิตต่อไปเถอะ
“ปกติซิ่วเหนียงจื่อตื่นนอนกี่โมงหรือเจ้าคะ”
เจินซื่อเฉิงถึงกับชะงักกับคำถาม แล้วจึงเอ่ยตอบอ้ำอึ้ง “ข้าไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่”
เขาจะสนใจเรื่องนี้ได้อย่างไรเล่า!
เจียงซื่อรู้ว่าตัวเองพูดผิด พลางเม้มปากยิ้ม “ข้ามีหนึ่งวิธี บางทีอาจทำให้ซิ่วเหนียงจื่อดีขึ้นได้”
“หืม ข้าน้อมฟังความเห็น” เจินซื่อเฉิงตาลุกวาว
เจียงซื่อกระซิบอยู่หลายประโยค เจินซื่อเฉิงชะงักก่อน แล้วจึงผงกหัวตาม
“วันนี้ไม่ได้มาเสียเวลาเปล่าจริงๆ คุณหนูเจียง หวังว่าจะได้พบกันอีกในคราวหน้า”
“ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” เจียงซื่อย่อตัวน้อมทักทายแล้วเดินออกจากห้องไป
จะแสดงละครก็ต้องแสดงให้จบ เจียงซื่อเฉิงอดทนพบหน้าเจียงกับเจียงเพ่ยเสร็จ ถึงออกจากจวนตงผิงปั๋วไป
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่ปรากฏตัวให้เห็นตั้งแต่แรกจนจบ แต่ได้ส่งสาวรับใช้คอยสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ พอได้ยินว่าเจินซื่อเฉิงจะไปแล้ว ก็กล่าวเป็นประโยคยาว “ช่างโชคร้ายเสียจริง เหตุใดกันถึงต้องมาพบเจอคนแบบนั้น อยู่ดีไม่ว่าดีก็มีปัญหาถาโถมเข้าใส่! รีบไปบอกเอ้อร์ไท่ไท่ ให้คุณหนูรองอยู่แต่ในเรือน อย่าได้ออกไปไหน”
ในเมื่อถูกกระทำตั้งแต่แต่งเข้าไป ก็ควรรายงานให้ฝั่งมารดาได้ทราบเร็วๆ หากหย่าขาดตั้งแต่หลายปีก่อน จะเกิดเรื่องเช่นนี้ที่ไหนกัน!
เฝิงเหล่าฮูหยินเริ่มเกลียดชังหลานสาวที่เคยรักเอ็นดูมากที่สุด
เจียงเชี่ยนที่ได้ยินดังนั้นแทบอยากกัดริมฝีปากให้ขาด
เฉาซิงอวี้ฆ่าคนถูกเปิดเผย ท่านย่าก็มาพูดจาเช่นนี้ หากเป็นเมื่อสองปีก่อนแล้วนางต้องการหย่าเพราะถูกทำร้ายร่างกาย คนที่ไม่อนุญาตคนแรกก็เป็นท่านย่านั่นแหละ!
นางไม่พอใจมาก นางต้องการแก้แค้นทุกคนที่ทำให้นางมาอยู่ในสภาพนี้!
เจียงเชี่ยนเช็ดเลือดตรงริมฝีปากพร้อมกับแสดงแววตาแห่งความบ้าคลั่งออกมา
——————————————-
[1] เหนือศีรษะสามเซี๊ยะมีเทพเทวาอยู่ คนทำ ฟ้าดู สำนวนนี้หมายถึง แม้มนุษย์จะทำการใดที่ไม่มีใครเห็น แต่บนสวรรค์มีเทพเทวดาคอยดูอยู่ ใครทำอะไรย่อมได้รับผลกรรมนั้น