ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 96 ช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัว
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 96 ช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัว
บทที่ 96 ช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัว
……….
บทที่ 96 ช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัว
เย่เสี่ยวจิ่นอดไม่ได้ที่จะพึมพำขึ้นมาทันที “หนูรู้นะ เขาเคยมาหลอกเอาเงินในหมู่บ้านไปเยอะแยะเลย”
“ครั้งก่อนที่มีการซื้อน้ำมันคุณภาพต่ำ ก็เป็นฝีมือของเขานั่นแหละ”
“ลู่เฟิงไปทวงเงินกับเขา ขาถูกทุบจนหัก ตอนนี้ยังต้องนอนอยู่บนเตียงเลย”
เย่ฉางอันฟังแล้วสีหน้าเปลี่ยนไป “น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เขาไม่รู้มาก่อนเลย อย่างมากก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่คนหลอกลวงธรรมดา
“ใช่แล้ว” หลี่ชุ่ยชุ่ยแสดงสีหน้าหวาดกลัว “โชคดีที่คุณไม่ได้สนใจเขา คนคนนี้ชั่วร้ายมาก”
“พวกเราเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับคนแบบนั้นเด็ดขาดนะ”
“ไม่งั้นจะต้องโดนทำร้ายอย่างหนักแน่ ๆ”
เย่ฉางอันพยักหน้า “ดีแล้วที่ฉันไม่ได้สนใจเขา”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบไปแล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นอดไม่ได้ที่จะบ่นกับเย่ฉางอานถึงความน่ารังเกียจของพ่อค้าคนกลาง
เย่ฉางอานถอนหายใจ “ในเมืองก็มีคนไม่ดีอยู่จริง ๆ นะ”
“ไม่เป็นไร แค่พี่ไม่ต้องสนใจพวกเขาก็พอ” เย่เสี่ยวจิ่นตบไหล่เย่ฉางอาน “ไป ไปทำงานกับหนูกันเถอะ”
เย่ฉางอานงุนงง ไม่รู้ว่าตอนนี้มีงานอะไรให้ทำ
เย่เสี่ยวจิ่นถือจอบ “พวกเราจัดการลานบ้านกันหน่อย”
“จัดการลานบ้านตอนนี้ทำไมล่ะ?”
“พวกเรายังไม่ได้สร้างบ้านไม่ใช่เหรอ?”
เย่เสี่ยวจิ่นบอกว่านี่เรียกว่าการเตรียมพร้อม จัดการลานบ้านให้เรียบร้อยก่อน
เมื่อถึงเวลาที่ต้องการ ก็สามารถนำบ้านหลังเล็กหรูหรามาวางได้ทันที
หลี่ชุ่ยชุ่ยกำลังยุ่งอยู่ในครัว
เธอหั่นเนื้อเป็นแผ่นบาง ๆ และล้างผักขึ้นฉ่ายที่เย่จื้อผิงนำมาให้สะอาด แล้วหั่นเป็นท่อน ๆ
กลิ่นหอมของขึ้นฉ่ายสีเขียวสดช่างน่าลิ้มลอง
เธอเตรียมที่จะผัดขึ้นฉ่ายกับเนื้อ และทำผัดผักกูดกับผักดอง
เมื่อเย่จวินกลับมาจากการทำงานอันยุ่งเหยิง เขาได้กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ “กลิ่นหอมจริง ๆ ซื้อเนื้อมาเหรอ?”
“ดูเหมือนฉางอันจะกลับมาแล้วสินะ”
เย่จื้อผิงก็รู้สึกว่ากลิ่นนี้หอมมาก ท้องของเขาก็ร้องจ๊อก ๆ ขึ้นมาทันที
หลี่ชุ่ยชุ่ยนำอาหารทั้งหมดมาวางบนโต๊ะ
รอให้เย่ไหวกลับมา ทุกคนในครอบครัวก็จะสามารถกินข้าวได้แล้ว
เย่ฉางอันกลืนน้ำลายอย่างแรง ยกชามขึ้น และคีบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก
“อร่อยจริง ๆ มีเงินนี่ดีจังเลยนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นอดขำไม่ได้ ตอนที่เธออยู่ในยุคของเธอ พวกเขากินเนื้อกันทุกมื้อ
ที่นี่ การได้กินเนื้อถือเป็นเรื่องหรูหราแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่รักพวกเขา ก็คงไม่ยอมเสียเงินซื้อเนื้อมาให้กินหรอก
“งั้นพี่ชายก็กินเยอะ ๆ หน่อยนะ อีกหนึ่งเดือนครึ่ง เป็ดน้อยของหนูก็จะกินได้แล้ว”
“ตอนนั้นเราจะมีเป็ดน้อย 30 ตัว ไก่อีก 30 ตัว พวกเราจะได้กินเนื้อทุกมื้อเลยนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยอดยิ้มไม่ได้ “อีกหนึ่งเดือนครึ่งก็พอดีกับช่วงที่ต้องทำงานในไร่หนักที่สุดเลยนะ”
“ถ้าได้กินเนื้อตอนนั้น ก็จะดีมากเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “ใช่แล้ว แถมตอนนี้เราก็มีลูกไก่ตัวใหม่ฟักออกมาอีกกว่า 30 ตัวด้วยนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยปกติไม่ได้วางแผนเรื่องการเลี้ยงไก่
ทุกอย่างเป็นเย่เสี่ยวจิ่นที่ตัดสินใจ
เธอแค่ช่วยจัดการจูเฉ่า ทำความสะอาดเล้าไก่และเล้าเป็ด เติมน้ำในรางไม้ไผ่ให้เป็ด และให้อาหารไก่และเป็ดตอนเช้า
แต่การทำอาหารไก่และเป็ดนั้น เย่เสี่ยวจิ่นเป็นคนทำเองทั้งหมด
เธอสงสารลูกสาวที่เหนื่อยเกินไป จึงเริ่มรับผิดชอบไปหาจูเฉ่ากลับมาเอง
เย่จื้อผิงก็ช่วยสับจูเฉ่า
ด้วยวิธีนี้ เย่เสี่ยวจิ่นจึงสบายขึ้นมาก ไม่ต้องคอยดูแลทุกวัน
เย่จื้อผิงยิ้มและคีบเนื้อให้ลูกสาว “จิ่นเป่าทำเพื่อให้ครอบครัวของเราได้กินเนื้อ เธอเป็นห่วงมากจริง ๆ”
“งั้นจิ่นเป่าเป็นผู้มีบุญคุณใหญ่หลวง ต้องกินให้มากหน่อยนะ”
บรรยากาศในครอบครัวดีขึ้นเรื่อย ๆ
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าคำพูดที่ว่า ‘สามีภรรยายากจนร้อยเรื่องเศร้า’ นั้นถูกต้อง
ในช่วงต้นปี ครอบครัวของพวกเขายากจนถึงขนาดแทบไม่มีอะไรจะกิน
ทุกวันกินแต่ผักป่าและข้าวต้ม
ผู้ชายทั้งสี่คนในบ้านก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงต้องออกไปทำงาน
พวกเขาได้คะแนนแรงงานมาก และยังได้กินข้าวข้างนอกด้วย
ไม่ต้องอยู่บ้านเฉย ๆ กินแต่ไม่ทำอะไร
และตอนนี้ ครอบครัวได้กลับมาอยู่พร้อมหน้า ทุกมื้อมีข้าวสวยกิน บางครั้งยังได้กินเนื้อด้วย
เธอรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่า ชีวิตจะดีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเงิน
หลี่ชุ่ยชุ่ยเม้มปาก “พวกเราจะดีขึ้นเรื่อย ๆ นะ”
เย่ไหวพยักหน้า พูดอย่างจริงจัง “แม่ไม่ต้องกังวลนะ พวกเราโตแล้วจะกตัญญูต่อแม่”
เย่จวินและเย่ฉางอันก็พูดว่า
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว พวกเราต้องประสบความสำเร็จแน่นอน”
“ถูกต้อง ต่อไปพ่อแม่จะได้มีชีวิตที่ดีตามพวกเรา”
หลี่ชุ่ยชุ่ยอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “พวกลูกทุกคนแม่รู้จักดี ล้วนเป็นลูกที่กตัญญู”
“แม่น่ะ วางใจพวกลูกมาก”
“แต่พวกลูกต้องดูแลชีวิตตัวเองให้ดีก่อน พ่อแม่ยังยังแข็งแรง สามารถใช้ชีวิตได้ดีด้วยตัวเอง”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเคยถูกแม่สามีและพ่อสามีที่ชั่วร้ายทรมานมามาก
เธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า ต่อไปเมื่อลูก ๆ มีครอบครัวและอาชีพการงานมั่นคงแล้ว
เธอจะไม่มีทางไปขอของจากพวกเขาเด็ดขาด ชีวิตก็ยากลำบากอยู่แล้ว ทุกคนควรเห็นอกเห็นใจกันจึงจะดี
“เอาละ พี่ชายทั้งหลายรีบกินข้าวเถอะ ในห้องยังมีของดีอีกสองอย่างนะ”
“หนูและพ่อแม่ต่างก็เห็นแล้ว เดี๋ยวพวกพี่ก็ไปดูกันบ้างนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มอย่างลึกลับ
เย่ฉางอันรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมาก “มีอะไรดี ๆ เหรอ?”
เย่จื้อผิงตบหัวเขาทันที “รีบกินข้าวสิ ไม่กินข้าวแล้วหรือไง?”
เย่ฉางอันกุมศีรษะที่เจ็บ แอบคิดว่าพ่อช่างไม่สุภาพเอาเสียเลย
เขารีบกินข้าวอย่างว่าง่ายทันที
เย่เสี่ยวจิ่นกินข้าวไปสองชาม ผัดผักขึ้นฉ่ายกับเนื้อหอมมากจริง ๆ
ผัดผักกูดใส่เนื้อตากแห้งก็อร่อยมากเช่นกัน
เย่เสี่ยวจิ่นกินจนอิ่มแล้ว เห็นพี่ชายทั้งหลายวางตะเกียบแล้วเดินเข้าห้องไป
เธอยังคงพยายามดื่มน้ำผึ้งอีกแก้ว
“เอ้อ”
เย่เสี่ยวจิ่นเรอออกมาเสียงดัง “หนูกินอิ่มเกินไปแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มน้อย ๆ “แม่ซื้อเนื้อมาสองจิน ยังกินได้อีกสามมื้อเลยนะ”
จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นดังมาจากในบ้าน
“ว้าว!!”
เย่จื้อผิงขมวดคิ้ว
เขาลุกขึ้นยืนโดยใช้ไม้เท้าพยุงตัว “พวกเธอกินต่อไปเถอะ ฉันจะไปดูพวกเด็ก ๆ หน่อย อย่าให้พวกมันทำอะไรพังล่ะ”
“โดยเฉพาะฉางอันทำมือไม้มันซุ่มซ่าม ต้องไปดูหน่อยแล้ว”
เย่ฉางอันทนไม่ไหวแล้ว อยากลองขี่จักรยานเสียที
พวกเขาไม่สนใจจักรเย็บผ้าเลย
แต่กลับมองจักรยานกันทั้งหมด
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นภาพนี้ที่หน้าประตู อดส่ายหัวไม่ได้ “นี่อาจจะเป็นความสุขของผู้ชายสินะ?”
เย่ฉางอันพยุงจักรยาน “พ่อ พวกเราลองเข็นออกไปทดลองกันไหมครับ?”
“ไม่ได้ พ่อของพวกแกขาหักนะ จะให้ฉันมานั่งดูพวกแกขี่อย่างเดียวเหรอ?”
“แต่ใจผมก็กระวนกระวายนะครับ”
“พวกแกไม่อายหรือไงที่ปล่อยให้พ่อตัวเองนั่งจ้องมองพวกแกเล่นแบบนี้?”
เย่ฉางอันเบ้ปาก “มีอะไรน่าอายด้วยล่ะครับ?”
“จิ่นเป่า พี่จะขี่จักรยานพาเธอไปเก็บเจียวไป๋ที่สระน้ำ แล้วเราจะได้ไปเก็บผลไม้ป่าอีกรอบด้วย”
เย่จื้อผิงรีบพูด “จิ่นเป่า ลูกอย่าไปเชื่อพี่ชายของลูกนะ เขาทำไม่เป็นหรอก!”
“เย่ฉางอัน ฉันเตือนนะ ถ้ายังขี่จักรยานล้มแกไม่เป็นไร”
“อย่างแรกเลย แกห้ามทำน้องสาวตกจักรยาน อย่างที่สองห้ามทำจักรยานพัง เข้าใจไหม?”
เย่ฉางอันดีใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้ “เข้าใจแล้วครับ พี่ใหญ่ น้องสาม พวกเราออกไปปั่นจักรยานกันเถอะ”
เขาพูดพลางเข็นจักรยานออกไปข้างนอก
เย่ไหวไม่รู้วิธีขี่จักรยาน และก็ไม่กล้าลองด้วย
แต่เย่ฉางอันขี่จักรยานล้มไปสองสามครั้งก็เริ่มคล่องแคล่วอย่างรวดเร็ว
เย่จวินก็เรียนรู้วิธีขี่จักรยานได้อย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือของเย่ฉางอัน
“เสี่ยวไหว นายก็มาลองดูสิ?”
เย่ไหวรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่เอาหรอกครับพี่ใหญ่ ผมขี่จักรยานไม่เป็น”
“พี่ไปเล่นกับพี่รองเถอะ ผมไม่ไปละ ผมการทรงตัวแย่มาก จะล้มแน่ ๆ”
เย่ฉางอันตบแขนเย่ไหวทีหนึ่ง “ไอ้หนู นายขี้ขลาดจังเลยนะ?”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ได้แต่มองดูเท่านั้นแหละ”
เขาหยิบตะกร้าเล็ก ๆ ออกมาจากในบ้าน แล้วเรียกให้เย่จวินขึ้นรถจักรยานไปด้วยกัน
“พี่ใหญ่ พวกเราไปเก็บผลเบอร์รี่ป่าให้จิ่นเป่ากันเถอะ”
เย่จวินขึ้นรถจักรยาน “ถ้าอย่างนั้นนายนั่งให้มั่นคงล่ะ อย่าได้โยกไปมาข้างหลังฉันเชียว”
เย่ฉางอันแต่เดิมไม่ได้คิดจะทำแบบนั้น แต่พอได้ยินพี่ชายพูดแบบนี้ ก็รีบแกล้งโยกตัวทันที
“โอ๊ย พี่ พี่ต้องขี่ให้มั่นคงนะ”
เย่จวินรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาทันที “นายมาขี่เองสิ!”
“นายโยกแบบนี้ พวกเราทั้งคู่จะตกลงไปในลำธารหรอก!”
เย่ฉางอันเป็นคนกล้า เขาไม่กลัวหรอก จึงเอาตะกร้าแขวนไว้บนรถจักรยานเลย
เย่เสี่ยวจิ่นมองดูยามพลบค่ำ พี่ชายคนรองขี่จักรยานพาพี่ใหญ่ไปไกลลิบแล้ว
เธอหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “รอให้ขาของพ่อหายดีก่อน แล้วพ่อก็จะขี่พาหนูไปได้”
“ใช่แล้ว หรือรอให้พี่ใหญ่ของลูกว่างหน่อย ให้เขาพาลูกไปก็ได้”
เย่จื้อผิงลูบหัวลูกสาว แล้วเตือนเธออย่างระมัดระวัง “ส่วนพี่รองนั้นเหลวไหลเกินไป ไม่ไหวหรอก”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น เย่เสี่ยวจิ่นก็เห็นพี่รองขับรถพุ่งตรงไปตกลงในทุ่งนาข้าง ๆ
เธออดไม่ได้ที่จะเอามือปิดปากหัวเราะ “พ่อ ดูพี่รองสิ”
เย่จื้อผิงพอเห็นก็ขมวดคิ้วทันที แล้วตะโกนเสียงดัง “เย่ฉางอัน ไอ้ลูกกระต่ายเอ๊ย ขี่ระวังหน่อยสิ!”
หลี่ชุ่ยชุ่ยที่เพิ่งทำงานเสร็จ พอออกมาก็เห็นพ่อลูกคุยกันอย่างสนุกสนาน
เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปถ้าฉางอันจะไปขายของในเมือง ก็สามารถขี่จักรยานไปได้สินะ?”
“นั่งเกวียนวัวก็ลำบาก ช้าด้วย”
เย่จื้อผิงรีบพูดว่า “นั่นไม่ได้นะ ในเมืองมีขโมยเยอะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วย “จักรยานของคุณนี่ ช่างเป็นของมีค่าจริง ๆ นะ”
“แล้วจักรเย็บผ้าของเธอล่ะ ก็เป็นของมีค่าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
……….