ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 93 พี่รองเตรียมตัวเข้าเมืองไปขายของ
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 93 พี่รองเตรียมตัวเข้าเมืองไปขายของ
บทที่ 93 พี่รองเตรียมตัวเข้าเมืองไปขายของ
……….
บทที่ 93 พี่รองเตรียมตัวเข้าเมืองไปขายของ
เย่ฉางอานตื่นเต้นทั้งคืน
เพราะเขาทำงานทุกวัน แต่ยังไม่เคยเข้าเมืองไปขายของเลย
ในใจรู้สึกกังวล และตื่นเต้น
เมื่อเจอกับสิ่งใหม่ ๆ ก็รู้สึกคาดหวัง
ฟ้ายังไม่สาง เพิ่งตี 5 เขาก็ตื่นแล้ว
เขาแต่งตัวเรียบร้อยออกมาข้างนอก พบว่าหลี่ชุ่ยชุ่ยก็ตื่นแล้วเช่นกัน
“แม่ครับ แม่ก็ตื่นเช้าจังเลย ตอนนี้เพิ่งตี 5 เองนะครับ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มแล้วชี้ไปที่ตะกร้าใบเล็ก ๆ กองใหญ่
“พวกนี้ลูกต้องจำไว้ว่าต้องเอาไปด้วยนะ ไม่งั้นพอคนซื้อสตรอว์เบอร์รี แล้วไม่มีอะไรให้เขาใส่กลับไปนะ”
“ตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่อยู่ตรงนี้ พวกเราไปเก็บสตรอว์เบอร์รีกันเถอะ”
เธอพูดพลางหิ้วตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่มุ่งหน้าไปยังแปลงสตรอว์เบอร์รี่
เธอปูผ้านุ่ม ๆ ไว้ในตะกร้าไม้ไผ่เพื่อป้องกันไม่ให้สตรอว์เบอร์รี่ช้ำ
เย่ฉางอานมองแผ่นหลังของแม่ด้วยความรู้สึกจนปัญญา
“แม่ครับ ผมทำเองได้ แม่ตื่นแต่เช้าแบบนี้ เดี๋ยวไปทำงานจะง่วงนะครับ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยแค่นเสียงฮึ “ฉันไม่วางใจนายหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่นายทำงานพวกนี้”
“ถ้าเกิดลืมอะไรไป ฉันจะทำยังไงถ้านายอยู่ในเมืองคนเดียว”
“อย่าลืมตะกร้า แล้วก็ต้องไม่ลืมเครื่องชั่งด้วยเด็ดขาด”
มองไปไกลๆ อากาศยังมีหมอกบางๆ ลอยอยู่
ตอนเช้าอากาศยังเย็นอยู่บ้าง
พื้นดินเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่ม ผลสตรอว์เบอร์รีสีแดงซ่อนอยู่ใต้ใบไม้
หลี่ชุ่ยชุ่ยถือไฟฉาย เริ่มก้มลงเก็บสตรอว์เบอร์รี “เธอต้องเก็บด้วยความระมัดระวัง อย่าทำให้ผลไม้เสียหาย”
“รู้แล้ว” เย่ฉางอานก็เก็บสตรอว์เบอร์รีตาม
สตรอว์เบอร์รีเหล่านี้ทั้งใหญ่และแดง ดูอ่อนนุ่มเป็นพิเศษในยามเช้าตรู่
ช่วงนี้แสงแดดดีขึ้น สตรอว์เบอร์รีก็เติบโตแข็งแรงขึ้นด้วย
ไม่นานแม่ลูกคู่นี้ก็เก็บสตรอว์เบอร์รีลูกใหญ่ได้เต็มตะกร้า
ส่วนที่เหลือลูกเล็กกว่า ก็ปล่อยไว้ในสวนให้คนในครอบครัวเก็บกินเอง
เย่จวินก็มาถึง “เรียบร้อยกันหรือยัง?”
“เรียบร้อยแล้ว” เย่ฉางอานถือตะกร้า ย่นจมูก “ตีห้ากว่า ๆ ยังค่อนข้างหนาวเลยนะ”
“ใช่เลย”
เย่จวินหาบตะกร้าสองใบที่เต็มไปด้วยเห็ดด้วยไม้คาน
“นายถือสตรอว์เบอร์รีของนายให้ดี ๆ อย่าทำให้ช้ำ”
เย่ฉางอานจึงถือด้วยความระมัดระวังมากขึ้น
เมื่อถึงถนน รถเทียมวัวก็รออยู่แล้ว
คนขับรถมองพวกเขาแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “วันนี้พวกคุณไปกันทั้งครอบครัวอีกแล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่ เจ้ารองไปคนเดียว คุณไปรับเขาด้วยนะ” หลี่ชุ่ยชุ่ยพูด “ทีมของเราก็มีช่วงยุ่ง ๆ เหมือนกัน จะให้ทั้งครอบครัวไม่ทำงานทุกวันได้ยังไง?”
“ที่บ้านมีคนรอกินข้าวตั้งเยอะ”
คนขับรถหัวเราะตาม “ครอบครัวของคุณทุกคนทำงานเก่ง ชีวิตแบบนี้ต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน”
“แม้แต่เด็กในบ้านคุณก็ยังทำคะแนนงานได้”
“ครอบครัวไหนจะเทียบพวกคุณได้ล่ะ? โชคดีรออยู่ข้างหน้าแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยฟังคำพูดนั้นแล้วรู้สึกชื่นใจ
เธอกำชับเย่ฉางอานอีกหลายประโยค บอกให้เขาอย่าเล่นสนุกจนเพลิน และอย่าให้ใครหลอกได้
เย่ฉางอานจดจำทุกอย่างไว้หมด
รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนออกไป
ท้องฟ้ายังมืดอยู่ ไม่มีแสงสว่างมากนัก
เย่จวินถอนหายใจ ถูมือไปมา “ตอนนี้น้องรองพูดเก่งขึ้นเรื่อย ๆ แม่ไม่ต้องกังวลหรอก ถือโอกาสฝึกฝนเขาไปเลย”
“ใช่แล้ว พวกลูกทั้งหมดนี่ ไม่เคยทำให้แม่ต้องกังวลใจเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นไปที่สวนผลไม้ตามปกติ
พอเธอมาถึง ก็มีคนทักทายเธอ
ถ้าจะพูดถึงก่อนหน้านี้ ยังมีคนสงสัยในความสามารถของเธอ แต่ตอนนี้นอกจากคนหัวแข็งไม่กี่คน คนอื่น ๆ ต่างยอมรับเธอจากใจแล้ว
คนบ้านนอกมักจะให้ความเคารพกับคนที่มีความรู้และประสบการณ์มากกว่า
“หัวหน้าเย่ วันนี้มาเช้าจังนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มน้อย ๆ “ใช่แล้วค่ะ หนูก็คงมาสายทุกวันไม่ได้”
“ถ้าผู้ใหญ่บ้านจับได้ แล้วหักคะแนนงานของหนู จะทำยังไงล่ะ?”
ทุกคนต่างหัวเราะครื้นเครง
ทั้งผู้ใหญ่บ้านและเลขาฯ ต่างชื่นชอบเย่เสี่ยวจิ่นมาก
บางครั้งเธอขาดงานแต่ก็ให้คะแนนตัวเอง ก็ไม่มีใครว่าอะไร
เย่จื้อผิงที่อยู่ด้านหลังรู้สึกอับอายขายหน้ามาก
พวกเขาล้วนเป็นคนซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง ไม่เคยเห็นลูกสาวของตัวเองเป็นแบบนี้มาก่อน
มาสายกลับเร็ว หนีงาน แถมยังให้คะแนนตัวเองอีก
เย่เสี่ยวจิ่นไม่รู้สึกละอายใจเลยแม้แต่น้อย เธอไปสวนส้มอย่างมีความสุข
คนในสวนผลไม้กำลังขุดดินและพรวนดิน
เย่เสี่ยวจิ่นเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วรู้สึกประหลาดใจ “ฉันคิดว่าแค่ขุด ๆ ไปก็พอแล้ว ทำไมต้องขุดละเอียดขนาดนี้ด้วย?”
“ดินถูกขุดจนละเอียดมากเลย ช่างอดทนจริง ๆ”
เย่จื้อผิงมองดูแล้วพูดว่า “จริงด้วย คนที่ทำงานนี้อดทนมากเลยนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้าแล้วถามว่า “ใครเป็นคนขุดตรงนี้เหรอ?”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าเย่เสี่ยวจิ่นมีเจตนาอะไร
ซ่งเสี่ยวจื่อแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ป้าเฉียนเป็นคนขุด นี่แหละคือการจงใจทำงานให้ช้า เพื่อหลบเลี่ยงงานน่ะ”
เฉินเหยียนรู้สึกงุนงงและไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เธอทำงานในสวนส้มอย่างขยันขันแข็ง
บางคนตัดต้นไม้แล้วไม่ขุดตอไม้ออก
แต่เธอขุดออกหมด แถมยังทุบดินที่แข็งให้ร่วนซุยเหมาะแก่การปลูกพืชอื่น ๆ
ไม่คิดเลยว่าการทำแบบนี้จะถูกกล่าวหาว่าเป็นการทำงานแบบขอไปที
“ฉันไม่เคยหลบเลี่ยงงานเลย ฉันมาทำงานแต่เช้าและกลับบ้านดึก”
“ซ่งเสี่ยวจื่อ คำพูดของเธอทำให้ฉันรู้สึกเสียใจมาก”
เฉินเหยียนอายุ 50 ปีแล้ว เธอเป็นคนขยันและซื่อสัตย์มาตลอดชีวิต การถูกใส่ร้ายทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดมาก
เซี่ยงเหวินเหวินพูดจาประชดประชันเหมือนเคย จงใจยั่วยุ “คุณพูดแบบนั้น แต่ทั้งวันก็ไม่เห็นคุณทำงานได้มากเท่าไหร่”
“ถ้าไม่ใช่เพื่อหลบเลี่ยงงาน แล้วทำไมคุณถึงทำงานช้า ๆ แบบนี้ล่ะ?”
“ฉันรู้ว่าคุณอายุมากแล้ว ทำงานไม่คล่องแคล่วเหมือนคนหนุ่มสาว แต่หลบเลี่ยงงานแล้วยังไม่ยอมรับอีก”
เฉียนเหยียนโกรธจนแทบตาย
พวกนี้พูดจาไร้ยางอายจริง ๆ!
เธอมองไปที่เย่เสี่ยวจิ่น ด้วยความร้อนใจ “หัวหน้าเย่ ปกติฉัน…ฉันเป็นยังไง คุณก็เห็นอยู่”
“ฉันไม่ใช่คนชอบหลบเลี่ยงงานจริง ๆ นะ”
เย่จื้อผิงรีบพูดว่า “ใช่แล้วจิ่นเป่า ป้าเฉียนทำงานขยันมากเลยนะ”
“หนูรู้แน่นอนอยู่แล้ว” เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้าพลางยิ้ม
เธอมองเซี่ยงเหวินเหวินกับซ่งเสี่ยวจื่อด้วยความจนใจ “ฉันพบว่าพวกเธอสองคนชอบใส่ร้ายคนอื่นจริง ๆ นะ”
“พวกเธอควรเข้าใจให้ชัด ๆ ว่าเซี่ยวเยว่น่ะ…เธอไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว”
“ภายใต้การจัดการของฉัน ถ้าพวกเธอกล้าก่อเรื่องแบบนี้อีก ก็ไปปลูกมันแกวกับเซี่ยวเยว่ได้เลย”
เย่เสี่ยวจิ่นไม่ได้ไว้หน้าพวกเขาเลย
เธอเห็นมานานแล้วว่าคนสองคนนี้ไม่ยอมอยู่ในโอวาท
เซี่ยงเหวินเหวินและซ่งเสี่ยวจื่อต่างตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นอับอายขึ้นมา
พวกเธอไม่คิดว่าเย่เสี่ยวจิ่นจะโจมตีพวกเธอแบบนี้
ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“หัวหน้าทีมเย่ เธอหมายความว่ายังไง?”
“ก็ตามที่ฉันพูดนั่นแหละ อย่าเล่นลูกไม้ต่อหน้าฉัน เข้าใจไหม?”
เย่เสี่ยวจิ่นหันไปมองเฉียนเหยียน “ส่วนคุณก็ไม่ต้องกังวลนะ ฉันเห็นคุณขุดดินได้ดีมาก ก็เลยอยากจะชมคุณน่ะ”
“คุณเป็นคนซื่อสัตย์และรับผิดชอบมาก”
“สามารถทำงานได้อย่างละเอียดและอดทนแบบนี้ ฉันเชื่อว่าคุณต้องเป็นคนขยันขันแข็งแน่ ๆ”
เธอยิ้มน้อย ๆ พลางเม้มปาก “เมื่อถึงเวลาเพาะปลูก คุณรับผิดชอบนะ”
เฉียนเหยียนหน้าแดง รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
เย่เสี่ยวจิ่นหันหลังเดินจากไปทันที
เย่จื้อผิงเดินตามข้าง ๆ เธอ “จิ่นเป่า ทำไมเธอชอบมอบหมายงานให้คนอื่นทำล่ะ?”
“แต่ก่อนหัวหน้าทีมมักจะรับผิดชอบเอง ซึ่งก็ไม่ได้มีงานมากมายอะไร”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้ม “นั่นมันไม่เหมือนกันนะ นี่เป็นการกระตุ้นในทางบวก”
“ถ้าคนที่ทำงานดีกับคนที่ทำงานแย่ได้รับการปฏิบัติเหมือนกันตลอด”
“แล้วใครจะอยากทำงานให้ดีล่ะ? ทุกคนก็คงอยากเป็นปลาเค็มกันหมด”
“ปลาเค็ม?”
เย่เสี่ยวจิ่นหัวเราะ “เอ่อ… หมายถึง ไม่พยายามทำอะไรเลยน่ะ”
เย่จื้อผิงรู้สึกว่ามีเหตุผล
เขารู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย “แบบนี้เธอก็เหมือนครูให้รางวัลนักเรียนไม่ใช่หรือ?”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า
รางวัลน่ะ ทุกคนก็เหมือนกันทั้งนั้น
“แต่ว่า…ที่เธอพูดถึงผู้หญิงสองคนนั้นแบบนั้น ไม่กลัวพวกเขาจะนินทาลับหลังเธอเหรอ?”
เย่จื้อผิงยังคงมีนิสัยไม่อยากสร้างปัญหา
เมื่อคนอื่นพูดไม่ดี อดทนสักหน่อยก็ผ่านไปได้
ถ้าจริง ๆ แล้วยังคงยึดติดไม่ปล่อยวาง น่ากลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อตัวเองนะ
เย่เสี่ยวจิ่นแค่นเสียงฮึ “ฉันไม่ยอมให้ขี้หนูเพียงเม็ดเดียวทำให้หม้อข้าวต้มทั้งหม้อเสียหรอก”
……….