ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 55 ยังไงก็รู้สึกว่าเกินจริง (รีไรต์)
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 55 ยังไงก็รู้สึกว่าเกินจริง (รีไรต์)
บทที่ 55 ยังไงก็รู้สึกว่าเกินจริง (รีไรต์)
บทที่ 55 ยังไงก็รู้สึกว่าเกินจริง (รีไรต์)
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกว่าเกินจริง
เธออายุแค่สามขวบครึ่ง แต่กลับลงสมัครเป็นหัวหน้าทีมสวนผลไม้?
ใครบ้างจะไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันเกินจริง?
เธอขมวดคิ้วแน่น ช่วงไม่กี่คืนที่ผ่านมาเธอมีอาการไอและมีไข้
ค่าสุขภาพของร่างกายต่ำเกินไป
แม้ว่าช่วงนี้จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ก็รักษาค่าสุขภาพไว้ได้แค่ 50 เท่านั้น
โรคปอดยังไม่หาย พอไอทีก็เจ็บแปลบในอก
พี่ชายและพ่อก็กระวนกระวายอยากพาเธอไปรักษาที่ในเมือง
เธอก้มหน้าลง สีหน้าแสดงความจนใจ “จริง ๆ เลย…”
เธอนับนิ้วพลางพูดว่า “20 คะแนน ค่าสุขภาพ ต้องสุ่มถึง 4 ครั้งถึงจะได้ค่าสุขภาพมากขนาดนั้น…”
“มันช่างน่าลิ้มลองเหลือเกิน!” เย่เสี่ยวจิ่นพูดอย่างดุดัน “ระบบ จับจุดอ่อนฉันได้แล้วสินะ?”
ระบบตอบอย่างไร้เดียงสา [ไม่ใช่หรอก ภารกิจมันสุ่มเกิดขึ้นเองนะ]
[แต่ว่าคุณ…จำเป็นต้องมีค่าสุขภาพจริง ๆ นะ]
เย่เสี่ยวจิ่นรู้ดีอยู่แล้ว!
เธออุ้มผักกูดไว้ จมอยู่ในความลังเลอย่างหนัก
“ฉันควรจะเสนอความคิดนี้ยังไงดี ถึงจะไม่ดูกะทันหันเกินไป?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยตะโกนขึ้นมาทันใด “จิ่นเป่า รีบมานี่เร็ว!”
เย่เสี่ยวจิ่นได้ยินแม่เรียก จึงลุกขึ้นอุ้มผักกูดเดินเข้าไปหา
พอดีเห็นว่าด้านหลังภูเขาที่ปลูกต้นสนนั้น มีต้นซากุระขนาดใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง
เย่เสี่ยวจิ่นเพิ่งเคยเห็นต้นซากุระบนภูเขาเป็นครั้งแรก
เธอกะพริบตาปริบ ๆ “โอ้! สวยจังเลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่ได้สนใจดอกซากุระบนภูเขาเท่าไหร่
แต่เธอกลับเห็นผักชีจำนวนมากใต้ต้นไม้ และกำลังใช้ไม้ไผ่เล็ก ๆ ขุดมันอยู่
หยางเจวียนช่วยขุดผักชี “ผักชีนี่กินแล้วดีนะ ช่วยแก้ไอได้ด้วย”
“ตอนที่ลี่ลี่ลูกสาวฉันไอ ก็กินอันนี้เหมือนกัน…”
“ของดีนี่แหละ ช่วงนี้กำลังอ่อนๆ อร่อยพอดี”
“ฉันก็คิดว่าน่าจะลองดู” หลี่ชุ่ยชุ่ยก็คิดเช่นนั้น เพราะช่วงนี้เย่เสี่ยวจิ่นไอไม่หยุดทุกคืน
หล่อนแทบจะเป็นห่วงจนแย่อยู่แล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นหักกิ่งดอกซากุระเล็ก ๆ ดวงตาใสแจ๋วเต็มไปด้วยความยินดี
“แม่คะ ดอกไม้สวยจังเลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองเธออย่างอ่อนใจ “ลูกดูสิ บนภูเขาโน่นมีเต็มไปหมดเลยนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นเงยหน้าขึ้นมอง บนเนินเขาครึ่งบนเต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวและสีชมพูมากมาย
เธออ้าปากค้างด้วยความตื่นเต้น “ว้าว!”
หลี่ชุ่ยชุ่ยหัวเราะไม่หยุด “จิ่นเป่าของแม่ชอบดอกไม้สินะ แล้วลูกชอบผักแพวไหมล่ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นดมกลิ่นผักแพวที่ติดดินมา สีหน้าเปลี่ยนไป “กลิ่นแรงจังเลย…”
หยางเจวียนที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างขำๆ “บนภูเขานี้มีของดีเยอะแยะเลยนะ ไม่ใช่แค่พวกนี้ ยังมีผลไม้อีกตั้งเยอะ”
“พอถึงเดือนหน้า เธอก็ให้แม่พาไปเก็บราสป์เบอร์รีได้แล้วนะ”
“ผลราสป์เบอร์รีเหรอคะ?” เย่เสี่ยวจิ่นนึกได้ว่าของพวกนี้ข้างนอกราคาแพงมาก
แม้ว่าจะเห็นได้ทั่วไปในหมู่บ้าน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันยากที่จะเก็บและเก็บรักษา
ขณะลงจากภูเขา หลี่ชุ่ยชุ่ยใช้เถาวัลย์เล็กๆ ข้างทางมัดผักกูดสีเขียวเป็นมัดใหญ่
ในมือยังถือผักชีอีกมากมาย
เย่เหวินชางอยู่บ้านเพราะปวดท้อง จึงไปเมืองช้าไปหนึ่งวัน
ครอบครัวของหลี่กุ้ยฮวาก็กำลังวางแผนให้เย่จู๋ไปทำงานในหมู่บ้านเพื่อสะสมคะแนนแรงงานแล้ว
เย่จู๋หลบไปร้องไห้คนเดียวใต้ต้นกล้วย
พอดีเห็นหลี่ชุ่ยชุ่ยและเย่เสี่ยวจิ่นลงมาจากภูเขา เธอตกใจรีบเช็ดน้ำตาทันที
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นตาเธอแดง ๆ จึงพูดว่า “โอ้ พี่ชายเธอไปเมืองแล้ว เธอคิดถึงเขาใช่ไหม?”
“ไม่ใช่หรอก!” เย่จู๋ปฏิเสธเสียงดัง
เธอรู้สึกเสียใจเพราะ…พ่อแม่ให้เธอไปทำงานโดยตรง
เธอก็อยากเรียนหนังสือ
เธอก็ถึงเวลาที่ควรได้เรียนหนังสือแล้ว…
“เย่เสี่ยวจิ่น คนในครอบครัวของเธอรักเธอมาก เธอไม่มีทางเข้าใจหรอก!”
เย่จู๋น้ำตาคลอ เก็บลอบดักปลาหนีชิวในลำธารขึ้นมา แล้วรีบกลับบ้านไปด้วยความโกรธ
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกงุนงงไม่เข้าใจ
หยางเจวียนพูดว่า “ชุ่ยชุ่ย งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะ”
“อาหารที่ผัดด้วยน้ำมันของเธอ ทำให้ฉันกินอะไรก็อร่อยไปหมดสองสามวันนี้”
“ผักกูดนี่ถ้าผัดกับพริกป่น ฉันกินได้ตั้งสองชามข้าวเลยนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มเล็กน้อย แล้วพาเย่เสี่ยวจิ่นกลับบ้านด้วย
หลี่ชุ่ยชุ่ยล้างผักกูด ต้มน้ำร้อนให้เดือด แล้วฉีกผักกูดออกเป็นสองซีก
แช่ในน้ำสะอาด แช่สักพัก สามารถขจัดรสขมได้มาก
แล้วนำผักชีไปล้างในน้ำ
เย่เสี่ยวจิ่นจูงเย่หวายไปที่ริมลำธาร
เธอมองต้นท้อแล้วพูดว่า “พี่ชาย ดูสิว่าต้นท้อที่ฉันปลูกเป็นอย่างไรบ้าง?”
ต้นท้อทั้ง 15 ต้นนี้รอดชีวิตทั้งหมด
แต่ละต้นเติบโตได้ดีมาก ใบเขียวชอุ่ม แถมยังออกดอกด้วย
แต่เดิมดินตรงนี้บางมาก ไม่เหมาะกับการปลูกพืช
การที่ต้นท้อทั้ง 15 ต้นรอดชีวิตทั้งหมดนั้นถือว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว
“จิ่นเป่าเก่งมาก” เย่หวายชมว่า “ต้นท้อนี่ปลูกได้ดีจริง ๆ”
“อีกสองปี พวกเราก็จะได้กินลูกท้อแล้ว”
“ต้นท้อมากมายขนาดนี้ จะออกลูกท้อได้กี่ลูกกันนะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นชี้นิ้วชี้ทั้งสองข้างชนกัน “แล้วพี่สามคิดว่า…ฝีมือของฉันจะเป็นหัวหน้าสวนผลไม้ได้ไหมล่ะ?”
“หา?!”
เย่หวายร้องเสียงดังขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“จิ่นเป่า เธอ เธอจะไปสมัครเป็นหัวหน้าเหรอ?!”
“ชู่! เบา ๆ หน่อยสิ!” เย่เสี่ยวจิ่นรีบปิดปากเย่หวาย “พี่สาม อย่าให้คนอื่นได้ยินนะ”
“ฉันจะถูกหัวเราะเอาได้…”
เย่หวายหัวเราะไม่หยุด “เธอก็รู้ว่าจะถูกหัวเราะสินะ? จิ่นเป่า เธอเพิ่งอายุแค่สามขวบกว่า ๆ เอง”
“หัวหน้าที่อายุน้อยที่สุดก็ต้องเป็นผู้ใหญ่แล้วสิ?”
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกอับอายมาก “ฉันรู้น่ะ! ไม่งั้นฉันก็ไม่ถามพี่ก่อนหรอก!”
“จิ่นเป่า บอกความจริงมาสิ…” เย่หวายเก็บรอยยิ้มแล้วพูดเสียงเบา “ท่านเซียนให้เธอไปเป็นหัวหน้าทีมใช่ไหม?”
“อืม… ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ…”
เย่หวายจึงเริ่มคิดทบทวนเรื่องนี้อย่างละเอียด
ตอนมื้อเย็น เย่เสี่ยวจิ่นถือชามข้าว
บนโต๊ะมีผัดผักกูดและยำผักชี
ผัดผักกูดเป็นอาหารที่เย่เสี่ยวจิ่นชอบ ผัดให้เผ็ด ๆ กินกับข้าวอร่อยมาก
ส่วนผักชีมีรสชาติแปลก ๆ เธอยังกินไม่ค่อยคุ้น
“จิ่นเป่า กินผักชีเยอะ ๆ หน่อย มันดีต่ออาการไอนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยตักให้เธอคำใหญ่
กลิ่นฉุนนี้ทำให้เย่เสี่ยวจิ่นอดไม่ได้ที่จะยิ้มขม ๆ
“แม่ครับ ผมกินไม่ไหวมากขนาดนั้นหรอก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยถอนหายใจ “ไม่เป็นไรลูก ค่อย ๆ กินนะ พรุ่งนี้แม่จะไปขุดมาจากทุ่งนาอีกหน่อย”
เย่จื้อผิงชอบกินผักชี แต่ก็ไม่กล้าแย่งกับลูก
เพราะนี่เป็นยาแก้ไอสำหรับจิ่นเป่า
“ไอบ่อย ๆ ไม่ดีต่อปอดด้วย”
เย่หวายก็พยักหน้า “จิ่นเป่า ต่อไปตอนเช้าเธอไม่ต้องไปเอาลอบดักปลานะ พี่สามจะช่วยไปเอาให้เอง”
“ตอนเช้ามันหนาว จิ่นเป่าอย่าไปสูดอากาศเย็นเข้าปอดเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้าเชื่อฟังอย่างว่าง่าย
กินผักชีที่รสชาติไม่ค่อยอร่อยนัก
“พ่อแม่ พี่สาม หนูจะรีบทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นนะคะ”
“ต่อไปจะไม่ทำให้ทุกคนต้องกังวลมากแบบนี้อีกแล้ว”
“นี่ไม่ใช่ความผิดของลูกนะ” หลี่ชุ่ยชุ่ยลูบหัวเธอ รู้สึกสงสารอย่างยิ่ง “จิ่นเป่าต้องทนทุกข์ทรมานมากที่สุด”
เย่หวายก็ถือโอกาสพูดเรื่องการเลือกหัวหน้าทีมระหว่างกินข้าว
เขารู้สึกกังวลมาก “จิ่นเป่าอายุน้อยขนาดนี้ จะไปคัดเลือกได้เหรอ?”
“ผู้ใหญ่บ้านจะไม่คิดว่าพวกเรากำลังหลอกเขาเล่นหรอกเหรอ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน “ท่านเซียนให้จิ่นเป่าของเราไปเลือกหัวหน้าทีม ต้องมีเหตุผลของท่านเซียนแน่นอน”
“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านเซียน พวกเราคงไม่ได้มีชีวิตที่อิ่มท้องอุ่นหลังแบบนี้”
หล่อนลังเลแล้วพูดว่า “ผู้ใหญ่บ้านก็ชอบจิ่นเป่านะ ก่อนหน้านี้ยังให้จิ่นเป่าไปฟาร์มไก่ด้วย”
“คราวนี้ก็ลองไปดูได้นะ”
เย่จื้อผิงยิ้ม มองลูกสาวด้วยสายตาเอ็นดู “ดูเหมือนแม้แต่ท่านเซียนก็ยังเห็นดีด้วยกับจิ่นเป่าของเรานะ”
“ในบ้านเรามีคนตั้งมากมาย แต่ไม่มีใครสักคนที่สามารถเป็นหัวหน้าทีมได้เลย”
“ปู่ย่ายังหวังว่าเย่เหวินชางจะเรียนจบแล้วกลับมาเป็นหัวหน้าทีมได้”
เย่เสี่ยวจิ่นหัวเราะพรืด “คนที่เรียนจบแล้ว คงไม่กลับมาทำงานแบบนี้หรอกค่ะ”
ทั้งครอบครัวตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ว่าจะไปเลือกหัวหน้าทีม
แต่เดิมเย่เสี่ยวจิ่นยังกลัวว่าถ้าพูดออกไปจะทำให้คนในบ้านตกใจ…
เธอจมอยู่ในภวังค์ความคิด ‘ฉันจะทำอย่างไรดี ถึงจะได้เป็นหัวหน้าทีม’