ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 46 เหวินชางประสบความสำเร็จ พวกแกก็ต้องควักเงินสิ (รีไรต์)
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 46 เหวินชางประสบความสำเร็จ พวกแกก็ต้องควักเงินสิ (รีไรต์)
บทที่ 46 เหวินชางประสบความสำเร็จ พวกแกก็ต้องควักเงินสิ (รีไรต์)
บทที่ 46 เหวินชางประสบความสำเร็จ พวกแกก็ต้องควักเงินสิ (รีไรต์)
เย่หวายยังคงวุ่นวายอยู่ในครัวกับแม่
ความร้อนจากเตาฟืนแผ่ซ่าน ควันจากน้ำมันลอยคลุ้งจนแสบจมูก
เย่หวายต้องคอยหันไปดูผักในกระทะเป็นระยะ แม้ว่าจะพยายามหั่นผักให้เร็วที่สุดแล้วก็ตาม
เขาครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรจึงจะหั่นผักทั้งหมดนี้ให้เสร็จเร็ว ๆ
ส่วนเหวินชางนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เขาเพียงแค่นั่งเฉย ๆ รับฟังคำสรรเสริญเยินยอราวกับเป็นดวงดาวที่ทุกคนจับจ้อง
เขานั่งอยู่ตรงกลาง ห้อมล้อมไปด้วยญาติพี่น้องที่นั่งขนาบทั้งด้านซ้ายและขวา
แต่บนใบหน้าของเขากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม แถมยังดูหงุดหงิดเล็กน้อยด้วยซ้ำ
“เหวินชาง ทำไมเรียนเก่งจังเลยลูก ฉันมีลูกชายกำลังจะสอบเข้ามัธยมปลายเหมือนกัน สอนวิธีเรียนให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ”
หลี่กุ้ยฮวาตอบว่า “เรียนมัธยมปลายมันเหนื่อยและยุ่งมาก ไม่มีเวลาไปสอนใครหรอก”
คนผู้นั้นรู้สึกได้ว่าหลี่กุ้ยฮวาดูจะเหลิง ๆ หน่อย ก็เลยไม่กล้าพูดอะไรต่อ
“ตอนที่เหวินชางเพิ่งเกิด ฉันเคยอุ้ม แล้วเห็นว่าเขามีไฝที่ฝ่าเท้า ฉันก็บอกเลยว่า… เด็กคนนี้โตไปต้องเป็นศิลปกรรมเทพแน่ ๆ”
“ใช่ ๆ เด็กคนนี้ชะตาดีมาก”
“ยังไงซะก็ต้องเชื่อเรื่องโชคชะตานี่แหละ หมอดูเคยบอกว่าเหวินชางชะตาดี ไม่เห็นจะผิดเลย”
หลิวต้าเม่ยชวนคุย “นั่นสิ ฉันเคยไปดูดวงกับยายตาบอดคนหนึ่ง ทายแม่นมากเลย”
ทันใดนั้นเย่เหวินชางก็ลุกขึ้นยืน “ผมขอตัวไปอ่านหนังสือก่อนนะครับ”
หลี่กุ้ยฮวายิ้ม ๆ “เด็กคนนี้ รักเรียนจริง ๆ”
“งั้นรีบไปเถอะลูก อย่าเสียเวลาเรียนละ”
คนอื่นก็พากันพูดเสริม
“ไม่แปลกใจเลยที่สอบเข้ามัธยมปลายได้ ต้องขยันแบบนี้สิถึงจะเรียนเก่ง”
“เหวินชางขยันขันแข็งจริง ๆ”
“ก็กุ้ยฮวาเลี้ยงดูมาดีนี่นา”
หลี่กุ้ยฮวายิ่งยิ้มกว้างขึ้น
ปากก็บอกว่าไม่มีอะไร แต่ในใจคิดว่าลูกชายของตัวเองนั้นดีเลิศที่สุดอยู่แล้ว
หลิวต้าเม่ยก็ดีใจ หลานชายคนนี้ทำให้นางได้หน้า ได้อิ่มเอมกับความภูมิใจอย่างที่สุด
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
หลี่ชุ่ยชุ่ยมือแดงเพราะโดนชามลวก จึงหยิบผ้าป่านมาเช็ดมือ
หลี่กุ้ยฮวาไม่คิดจะช่วย แถมยังเรียกทุกคนมานั่งที่โต๊ะโดยไม่รอช้า
“ทุกคนกินข้าวได้เลย”
ลู่ชุ่ยฮวาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “หรือว่าจะรอสะใภ้สามก่อนดี เธอวุ่นวายมาทั้งเช้าแล้ว”
“ทุกคนกินกันเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวกับข้าวเย็นหมด”
เย่เหวินชางไม่ชอบสุงสิงกับคนกลุ่มนี้ พวกเขาช่างหยาบคาย
เย่จู๋จึงตั้งใจตักข้าวใส่ชามแล้วนำไปให้พี่ชายที่ห้อง
หล่อนนั่งยอง ๆ มองพี่ชายจากทางเข้าประตู “พี่ พี่เก่งที่สุดเลย”
เย่เหวินชางเหลือบมองน้องสาวแวบหนึ่ง ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำชื่นชมของน้องสาวเลย
“วางชามแล้วก็ไปได้แล้ว”
เย่จู๋แลบลิ้นใส่พี่ชาย แล้วรีบไปกินข้าว
บนโต๊ะอาหาร ครอบครัวเย่มาพร้อมหน้ากัน
หนูน้อยเย่เสี่ยวจิ่นยังคงงัวเงีย ถูกพ่ออุ้มอยู่ในอ้อมกอด
เธอยังไม่ตื่นดี
โต๊ะอาหารคับแคบเกินไป หลี่ชุ่ยชุ่ยจึงไม่ได้ขึ้นมานั่งบนโต๊ะ กินข้าวอยู่ในครัว
หลิวต้าเม่ยจัดแจงกับข้าวใหม่
โดยวางผักทั้งหมดไว้ตรงหน้าเย่จื้อผิง
เย่จื้อผิงอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ก็กลั้นปากไว้ คิดว่าอยู่บ้านคนอื่น อดทนครั้งนี้ก็แล้วกัน
เย่หวายก็รู้สึกขมขื่นใจ พวกเขาทำงานงก ๆ กันมาทั้งเช้า
แม่ก็ไม่ได้ขึ้นมานั่งกินข้าวบนโต๊ะ ส่วนพวกเขาก็ได้กินแต่ผัก
สายตาของคนอื่น ๆ เต็มไปด้วยแววซุบซิบ รู้อยู่แก่ใจว่าหลิวต้าเม่ยลำเอียง แต่ไม่คิดว่าจะใจร้ายกับครอบครัวลูกชายสามได้ถึงเพียงนี้
“จื้อผิง เรามากินข้าวกันก่อนเถอะ ลูกสำคัญกว่า”
“เย็นนี้ค่อยกินกันเองในครอบครัว” หลิวต้าเม่ยพูดจาน่าฟัง แต่ที่จริงแล้วไม่มีอาหารเย็นให้กินหรอก
เย่จื้อผิงพยักหน้า “ตกลงครับ”
เธอไม่ชอบใจเอาเสียเลย
เธอส่งเสียงอู้อี้ มองไปรอบ ๆ โต๊ะอาหารด้วยความสงสัย
เห็นหลี่กุ้ยฮวาและหลิวต้าเม่ยได้กินแต่อาหารอร่อย ๆ ส่วนผักทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเธอและครอบครัว
เธอขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่เกรงใจ “คุณย่า เปลี่ยนที่กับพ่อหนูเดี๋ยวนี้เลย”
“มีแต่ผักกาดขาว หนูคีบกับข้าวไม่ได้”
“คุณย่าไม่ได้บอกว่าจะให้กินของอร่อยหรอกเหรอ? ตอนนี้จะให้หนูมากินผักกาดขาวเนี่ยนะ?”
“ถ้าอย่างนั้นหนูอยู่กินข้าวที่บ้านยังดีกว่า”
ทุกคนต่างพากันเงียบลง
หลิวต้าเม่ยรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า นางฝืนยิ้มแต่ไม่ถึงดวงตา “ยัยเด็กคนนี้ คนพวกนี้เป็นแขกเรานะ ต้องให้แขกกินก่อนสิ”
นางยิ้มให้กับแขกเหล่านั้น “เด็กคนนี้ไม่รู้ความ ซุกซนเหลือเกิน เพิ่งสามขวบครึ่งเอง แต่ก็เริ่มวางก้ามเสียแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นเริ่มร้องไห้ออกมาทันที “หนูจะเปลี่ยนที่นั่ง หนูจะเปลี่ยนที่นั่ง!”
“ย่าลำเอียง! คนแก่ที่ลำเอียงแบบนี้ พอแก่ตัวลงระวังจะไม่มีใครดูแล”
“ฮือ ๆ ๆ…”
หลิวต้าเม่ยแทบอยากจะตบหน้าเย่เสี่ยวจิ่นสักสองที
ในงานเลี้ยงฉลองการสอบเข้ามัธยมปลายของลูกหลานตระกูลเย่เช่นนี้ ไหนเลยจะมีสิทธิ์ให้เด็กอย่างเย่เสี่ยวจิ่นมาเจรจาต่อรองได้?
ยิ่งไปกว่านั้น หากแขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างพากันดูเรื่องตลกนี้จนจบสิ้น แล้วนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
คนอื่น ๆ ต่างก็พูดเกลี้ยกล่อม
“เด็กคนนี้ก็อย่างนี้แหละ ชอบร้องไห้ เธอก็ย้ายที่นั่งกับหล่อนเสียก็สิ้นเรื่อง”
“ใช่แล้ว ร้องเสียงดังหนวกหูเหลือเกิน”
“หลานสาวของเธอนี่นิสัยแย่เสียจริง”
หลิวต้าเม่ยอดกลั้นความโกรธที่กำลังปะทุ ยอมเปลี่ยนที่นั่งกับเย่จื้อผิง
เย่จื้อผิงยังคงทำหน้างุนงง
ส่วนเย่เสี่ยวจิ่นพอได้ที่นั่งใหม่ก็หยุดร้องไห้ทันที บนใบหน้ากลับไม่มีร่องรอยคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
หลิวต้าเม่ยโมโหจนต้องคีบผักกาดขาวเข้าปากอย่างแรง ด้วยรู้ดีว่าเย่เสี่ยวจิ่นต้องแสร้งทำแน่!
เย่เสี่ยวจิ่นยื่นตะเกียบออกไป คีบขาไก่ชิ้นโตวางลงในชามของเย่หวาย
“พี่ชายคีบไม่ถึง หนูคีบให้”
เย่หวายมองขาไก่ชิ้นโตในชามอย่างลังเลใจ เงยหน้ามอง เห็นหลี่กุ้ยฮวากำลังจ้องมองพวกเขาอยู่
เย่เสี่ยวจิ่นแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น “พี่ชาย กินเร็วเข้า ของอร่อยทั้งนั้น วันนี้เรากินให้อิ่มไปเลย”
“ปกติอยู่บ้านไม่มีของอร่อยแบบนี้กินหรอก”
หลี่กุ้ยฮวาแสร้งยิ้ม “กินสิ กินเข้าไป วันนี้เป็นวันดีของลูกชายฉันนี่”
เย่เสี่ยวจิ่นกินอย่างเอร็ดอร่อย
มื้อนี้กินเท่าไรก็ไม่คุ้มหรอก
โดนเอาเปรียบมานานหลายปี กินแค่นิด ๆ หน่อย ๆ แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ
เย่เสี่ยวจิ่นอดคิดไม่ได้ว่ากระเพาะของตัวเองช่างเล็กเสียจริง
หลังอาหารเย็น
หลี่กุ้ยฮวากำลังจัดกระเป๋าเดินทางให้เย่เหวินชาง
หล่อนหยิบตำราเรียนสมัยมัธยมต้นออกมาหลายเล่ม
เดิมทีครอบครัวเย่จื้อผิงเตรียมตัวจะกลับบ้านแล้ว แต่ถูกหลิวต้าเม่ยรั้งเอาไว้
เย่เหวินชางไม่ต้องการตำราเรียนสมัยมัธยมต้นพวกนี้แล้ว
เมื่อเย่หวายเห็นหนังสือมากมายเช่นนั้น สายตาของเขาก็ฉายความรู้สึกสับสน
เขาตัดสินใจรวบรวมความกล้าเอ่ยปากอย่างระมัดระวังว่า “พี่ชาย พี่ให้หนังสือพวกนี้กับผมได้ไหม”
เย่เหวินชางถึงได้หันมามองเย่หวายเป็นครั้งแรก “อืม”
จากนั้น เขาก็หันไปสนใจเรื่องของตัวเองต่อ
เย่เหวินชางจะไม่ยอมเสียเวลาอันมีค่าไปกับคนที่ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา
เย่เสี่ยวจิ่นสังเกตเห็นพี่ชายกำลังนั่งยอง ๆ เก็บหนังสือที่ตกอยู่บนพื้นอย่างทะนุถนอม ทำให้ใจเธอรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย
หลี่กุ้ยฮวาไม่ได้เอ่ยปากทักท้วงอะไร เพราะเย่หวายไม่สามารถอ่านหนังสือได้ แม้จะเก็บไปก็ไม่มีประโยชน์
หลิวต้าเม่ยนั่งอยู่ที่ห้องโถงเอ่ยขึ้นว่า “จื้อผิง แกมาอยู่คุยกับฉันก่อน ฉันมีเรื่องอยากปรึกษาหน่อย”
“แกก็รู้ว่าตอนนี้เหวินชางต้องไปเรียนต่อที่เมือง ต้องใช้เงินไม่น้อย”
“บ้านแกก็ไม่มีใครเรียนหนังสือแล้ว ฉันเลยคิดว่า… ไม่ว่าจะอย่างไร แกก็ควรจะช่วยเหลือครอบครัวพี่ชายบ้าง แกคิดว่ายังไงล่ะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยได้ยินดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “แม่คะ สถานการณ์ของบ้านเราเป็นยังไง แม่น่าจะรู้ดีนะคะ”
หลิวต้าเม่ยเหลือบตามองแล้วหัวเราะเยาะในลำคอ “ก่อนหน้านี้ตอนที่เสี่ยวหู่จือของลูกพี่ลูกน้องฉันจะไปเรียนหนังสือ ทุกคนในครอบครัวก็ช่วยกันออกเงินทั้งนั้น”
“สะใภ้รองของเขาก็ไม่ยอม เจ้ารองก็เลยไปบอกแม่เขาว่า ผู้หญิงน่ะไม่มีสิทธิ์เป็นใหญ่ในบ้าน”
“ไปๆ มาๆ ก็ควักเงินยี่สิบหยวนให้เสี่ยวหู่จือไปเลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเงียบไป
ฐานะบ้านของพวกเขาก่อนจะขายฝ้ายต่อให้เอาบ้านไปขายก็ไม่มีทางได้ถึงยี่สิบหยวน
ยิ่งฟังคำพูดเสียดสีของหลิวต้าเม่ย หล่อนก็ยิ่งสะเทือนใจ
เย่จื้อผิงถอนหายใจ “ก็ลุงรองของเสี่ยวหู่จือฐานะร่ำรวยนี่ครับ ส่วนบ้านเรามันจน”
“จะว่าไปแล้ว ตอนที่ลูกชายบ้านพี่รองเรียนตัดผม คุณก็ให้พวกเราออกเงินตั้งแปดหยวน”
หลิวต้าเม่ยแค่นเสียง “งั้นแกก็ต้องให้เท่าเทียมกันสิ จะมากจะน้อยก็ต้องให้นิดหน่อย”