ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 40 เข้าเมืองไปขายฝ้าย (รีไรต์)
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 40 เข้าเมืองไปขายฝ้าย (รีไรต์)
บทที่ 40 เข้าเมืองไปขายฝ้าย (รีไรต์)
บทที่ 40 เข้าเมืองไปขายฝ้าย (รีไรต์)
กว่าจะถึงเมือง ฟ้าก็สางแล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นกะประมาณว่าออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า กว่าจะมาถึงที่นี่ก็ปาเข้าไปเกือบเก้าโมงเช้าแล้ว
ระยะทางช่างยาวไกลเสียจริง
ในตัวอำเภอช่างกว้างใหญ่สมคำร่ำลือ ผู้คนพลุกพล่านไปหมด
ร้านขายอาหารเช้าก็มีอยู่มากมาย
เย่เสี่ยวจิ่นตาลายไปหมด มองไปทางไหนก็เห็นแต่ลุง ๆ ขี่รถสามล้อถีบเปิดประทุน
ลุงคนหนึ่งขี่รถผ่านมาพอดี “ขึ้นรถไหม ไปไหนจ๊ะ”
“ไม่ ไม่ ไม่ค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นรีบโบกมือปฏิเสธ
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบจูงมือลูกสาวเอาไว้แน่น กลัวลูกจะเดินหลง
สายตาดูเลิกลั่กเพราะเพิ่งเคยเข้าเมืองเป็นครั้งแรก จึงไม่รู้จักทาง
สถานที่ไกลที่สุดที่เคยไปก็แค่จากหมู่บ้านไปตลาดนัดในตำบลเท่านั้นเอง
“ที่นี่มันใหญ่มาก มองจนตาลายไปหมดแล้ว” หล่อนเอ่ย
“จิ่นเป่า ลูกต้องอยู่ใกล้ ๆ แม่นะ ที่นี่มีพวกลักพาตัวเด็กเยอะ”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า แล้วชี้ไปที่ร้านขายซาลาเปา
“เรากินซาลาเปากันไหมคะ”
ถึงแม้ทุกคนจะกินไข่ต้มจนอิ่มแล้ว แต่พอถึงตอนนี้ก็เริ่มหิวกันอีกรอบ
เย่จื้อผิงยิ้ม “ดีสิ พาจิ่นเป่าของพวกเรากินอะไรอุ่น ๆ หน่อย”
เย่จื้อผิงพาภรรยาและลูกสาวไปสั่งเสี่ยวหลงเปาสองเข่ง
ลุงเจ้าของร้านใจดี แถมซุปสาหร่ายมาให้สามถ้วย
เย่เสี่ยวจิ่นกินเสี่ยวหลงเปาร้อน ๆ จิ้มกับน้ำจิ้มพริกจนหน้าแดงก่ำ
“อร่อยมากเลย!”
“ถ้าจิ่นเป่าคิดว่าอร่อยก็กินเยอะ ๆ นะ” หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพร้อมกับยิ้ม
เย่จื้อผิงก็กินไปสองสามชิ้น แล้วก็คุยกับพ่อค้า
พ่อค้าเห็นพวกเขามีของเยอะก็เลยถามด้วยความสงสัย “พวกเธอหอบของเยอะแยะแบบนี้เข้าเมือง ไม่ลำบากแย่เหรอ”
เย่จื้อผิงพยักหน้า “นิดหน่อยครับ พวกผมมีฝ้ายอยู่ที่บ้าน เลยอยากจะเอาออกมาขาย”
ตอนนี้พ่อค้าไม่ค่อยยุ่ง เลยเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ
“ฝ้ายของพวกเธอถือว่าดูดีเลยนี่ กระสวยฝ้ายใหญ่เท่าฝ่ามือฉันเลย”
“ใยฝ้ายก็ยาว ดูขาวสะอาดมาก”
“นี่มันของดีชัด ๆ!”
พ่อค้าแผงลอยทำสีหน้าจริงจังพลางกล่าวชม
พ่อค้าแผงลอยหัวเราะ “ฉันซื้อไหวที่ไหนกัน แพงจะตาย”
“ฝ้ายที่สหกรณ์ขายก็ปาเข้าไปแปดเก้าเหมาต่อจินแล้ว”
เย่จื้อผิงตกลงกับหลี่ชุ่ยชุ่ยไว้ว่าจะขายจินละหนึ่งหยวน
ถ้าคนอื่นซื้อเยอะก็จะลดราคาให้อีกหน่อย
“ฝ้ายของเราจินละหนึ่งหยวนครับ”
พ่อค้าแผงลอยเบิกตากว้าง “แบบนี้ใครจะซื้อไหวกัน”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พวกเธอน่ะ ถ้าขายให้สหกรณ์ก็คงไม่ได้กำไรเท่าไหร่หรอก”
“เดี๋ยวพวกเธอไปตั้งแผงขายแถว ๆ ด้านนอกสำนักงานธัญพืชนั่นแหละ คาดว่าน่าจะมีคนรวยเยอะหน่อย”
เย่จื้อผิงกล่าวขอบคุณ
เย่เสี่ยวจิ่นกินจนท้องน้อยๆ อิ่มแปล้ จึงเรอออกมาเบา ๆ
พวกเขาทั้งสองคนช่วยกันขนฝ้ายทั้งหมดไปยังร้านที่พ่อค้าบอกไว้ด้วยความยากลำบาก
เมื่อแกะถุงที่วางอยู่บนพื้นออก
ฝ้ายในถุงผ้าก็ฟูฟ่องราวกับหิมะ
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาอดไม่ได้ที่จะเหลียวมอง
“ฝ้ายนี่สวยจัง”
“สวยจริง ๆ ด้วย แถมยังเป็นฝ้ายดอกใหญ่อีก”
“ฉันไม่เคยเห็นฝ้ายที่ไหนสวยขนาดนี้มาก่อนเลย”
ผู้คนต่างพากันเข้ามาดูใกล้ ๆ บ้างก็ลองสัมผัส บ้างก็ลองบีบดู
ทุกคนรู้สึกแปลกใจมาก หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นคนมากมายเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกดีใจ คิดในใจว่า ฝ้ายที่ดีขนาดนี้ จะต้องขายหมดอย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน
แต่น่าเสียดาย ดวงอาทิตย์ส่องแสงมาถึงพื้นดินแล้ว พวกเขายังไม่ได้เริ่มขายเลย
ถึงแม้จะมีคนดูมากมาย แต่ก็ไม่มีใครซื้อ หลี่ชุ่ยชุ่ยเป็นกังวล “จะขายไม่ได้สักจินเลยเหรอ?”
เย่จื้อผิงก็กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ไม่รู้สิ หรือว่ามันแพงไป?”
“ตอนนี้ที่สหกรณ์มีขายทั้งแปดเหมา และเก้าเหมา”
“ฝ้ายของเราดีขนาดนี้ ขายหนึ่งหยวนก็ไม่น่าเกลียด”
หลี่ชุ่ยชุ่ยถอนหายใจ พูดอย่างแผ่วเบาว่า “หรือว่าเราจะขายราคาเดียวกับสหกรณ์ดี ?”
เย่จื้อผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “รอดูไปก่อนเถอะ ฝ้ายดี ๆ แบบนี้ พวกนั้นเทียบไม่ติดหรอก”
“ถ้าเที่ยงแล้วยังขายไม่ได้ เราก็ขายแปดเหมาต่อจินก็แล้วกัน” หลี่ชุ่ยชุ่ยพยักหน้า ในใจยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งสวมรองเท้าหนังที่ขัดมันวาวเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า “ฝ้ายสวยดีนี่ ราคาเท่าไหร่ครับ”
“หนึ่งหยวนต่อจินค่ะ”
“โอ้โห แพงจัง” เซี่ยวฟู่กุ้ยดูเหมือนจะตกใจมาก
ฝ้ายไม่ว่าจะขี้เหร่หรือสวยก็ใช้เหมือนกัน เขาจะไม่ยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพียงเพราะฝ้ายดูสวยหรอก
“มิน่าล่ะ พวกเธอถึงขายไม่ออก แพงขนาดนี้ ใครจะไปซื้อ”
เมื่อเขาพูดอย่างนี้ ทั้งหลี่ชุ่ยชุ่ยและเย่จื้อผิงก็รู้สึกใจหายวาบ
“ถ้าขายไม่ได้จริง ๆ ก็เสียแรงเปล่า”
ตอนเช้าที่ออกจากบ้าน หลี่ชุ่ยชุ่ยยังแอบหวังว่าจะขายฝ้ายได้หมดในคราวเดียว!
“เซี่ยวฟู่กุ้ย ซื้อฝ้ายหน่อยไหม?” หญิงวัยทำงานคนหนึ่งพูดติดตลกพร้อมกับยิ้ม “อุดหนุนชาวไร่ชาวนาหน่อยสิ”
เซี่ยวฟู่กุ้ยเยาะเย้ย “ฝ้ายพวกนี้น่ะดีก็ดีอยู่หรอก แต่แพงเกินไป”
“นี่มันฤดูอะไรแล้ว ฤดูใบไม้ผลิแล้วนะ! ไม่ใช่ฤดูใบไม้ร่วงสักหน่อย!”
“ฝ้ายแบบนี้ บอกเลยว่าขายไม่ได้แม้แต่จินเดียว รีบกลับหมู่บ้านไปเถอะ”
เย่จื้อผิงหน้าเสีย ไม่ได้พูดโต้แย้งอะไรออกไป
ได้แต่นั่งลงกับพื้น มองฝ้ายคุณภาพดีของตัวเองอย่างเสียดาย
แววตาฉายแววเจ็บปวดออกมาไม่น้อย
หญิงสาวรีบพูด “เซี่ยวฟู่กุ้ย พูดแบบนี้ได้ยังไง?”
เซี่ยวฟู่กุ้ยฮึดฮัดสองเสียง ใบหน้าอ้วนกลมเผยรอยดูถูก “ฉันก็พูดความจริง ฝ้ายดีแค่ไหนก็ขายไม่ออกหรอก”
“ขายไม่ออกแล้วยังไงล่ะ ไว้ค่อยขายปีหน้าก็ได้!”
หญิงสาวนั่งยองลงสำรวจฝ้าย “ฝ้ายขาวอย่างนี้ ดูดีออก”
“ฉันกำลังจะทำผ้านวมหกจินพอดี ซื้อฝ้ายหกจินก็แล้วกัน”
“นับว่าอุดหนุนพวกคุณที่เป็นชาวไร่ชาวนาด้วย”
หญิงสาวสวมชุดทำงานเรียบร้อย บนเสื้อเชิ้ตติดป้ายชื่อของหล่อนเอาไว้
เหยาซิ่วซิ่ว
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าหล่อนเป็นพนักงานประจำของสำนักงานธัญพืช
ในเมื่อหล่อนมีกำลังซื้อ แสดงว่าเพื่อนร่วมงานของหล่อนก็ต้องมีกำลังซื้อเช่นกัน
ดวงตาของเย่เสี่ยวจิ่นเป็นประกาย รีบเอ่ยปากเชื้อเชิญ “พี่สาวคะ ฝ้ายของเราดีมากเลยนะคะ ทำผ้านวมแล้วนุ่มฟูอุ่นสบายแน่นอนค่ะ”
“พี่สาวทั้งสวยและใจดีมากเลยค่ะ แม่คะ…เราให้พี่สาวเขาเพิ่มอีก 1 จินได้ไหมคะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยังคงตกตะลึง หล่อนได้สติแล้วจึงตอบว่า “ได้ ได้สิ”
“นี่เป็นลูกค้าคนแรกของเราเลยนะ แถมให้เธออีก 1 จินแล้วกัน”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มเต็มใบหน้า แต่ในใจก็ยังมีความกังวลอยู่บ้าง
คำพูดของเซี่ยวฟู่กุ้ยเมื่อครู่นี้ ส่งผลต่อความคิดของหล่อนจริง ๆ
ตอนนี้อากาศเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว คงไม่มีใครซื้อฝ้ายแล้วจริง ๆ ใช่ไหม?
หลี่ชุ่ยชุ่ยชั่งฝ้ายหนักเจ็ดจิน แล้วใส่ถุงผ้าให้กับเหยาซิ่วซิ่ว
เหยาซิ่วซิ่วไม่คิดว่าคนพวกนี้จะซื่อตรงขนาดนี้ หล่อนรู้สึกเขินขึ้นมาเล็กน้อย
“ทั้งหมดราคา…”
“ขอบคุณมากนะคะ งั้นฉันขอตัวไปที่ทำงานก่อน เดี๋ยวจะช่วยโฆษณาให้”
“ฤดูเปลี่ยนแล้ว หลายคนคงอยากได้ผ้านวมผืนใหม่”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มหวาน “พี่สาวคนสวย พี่ใจดีจัง”
เหยาซิ่วซิ่วลูบหัวเย่เสี่ยวจิ่น “ปากหวานจริงนะเรา”
หลังจากส่งทั้งสองคนไปแล้ว หลี่ชุ่ยชุ่ยกำเงินหกหยวนในมือด้วยความรู้สึกพอใจ
หล่อนแอบหวังว่าเหยาซิ่วซิ่วจะชวนเพื่อนร่วมงานมาซื้อใยฝ้ายจากตนได้อีก
ถ้าขายได้อีกสักหน่อยก็คงจะดี
เย่จื้อผิงเองก็คาดหวังไม่ต่างกัน ไม่อยากแบกใยฝ้ายน้ำหนักกว่า 90 จินกลับไปเลย
แต่เสียดายที่เวลาผ่านไปจนสาย ก็ยังไม่มีใครมาถามหาใยฝ้ายอีก
เขาถอนหายใจ “ทำไมถึงไม่มีใครสนใจใยฝ้ายเลยนะ…”
ในขณะที่ทั้งสองรู้สึกเหนื่อยใจ
ชายหน้าขาวทาน้ำมันแต่งผมเงาวับคนหนึ่งเดินมาที่ร้าน พอมาถึงก็เอ่ยปากจะขอซื้อฝ้ายทั้งหมดของพวกเขา
………………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เข้ามาขายของในเมืองครั้งแรกเจอแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติค่ะ ต่อไปจะได้รู้พฤติกรรมการบริโภคของคนในเมืองมากขึ้น แล้วจะได้ขายได้แบบตรงเป้าหมายมากขึ้น
ชายคนนี้ใจดีมาเหมาฝ้ายไปหมดเลยงั้นเหรอ จ่ายแน่ใช่ไหม ไม่ใช่เอาฝ้ายไปแล้วเบี้ยวไม่จ่ายตังนะ ได้โปรดสงสารคนชนบทหน่อยเถอะ
ไหหม่า(海馬)