ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 28 ปั่นป่วน (รีไรต์)
บทที่ 28 ปั่นป่วน (รีไรต์)
บทที่ 28 ปั่นป่วน (รีไรต์)
โจวเหวินรุ่ยนึกว่าเย่เสี่ยวจิ่นไม่รู้วิธีทาน จึงยิ้ม ๆ แล้วพูดว่า “แกะเปลือกออกแล้วกินน้ำตาลข้างในก็ได้”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า มองโจวเหวินรุ่ยอย่างสนใจ อยากรู้ที่มาของเขา
ในหมู่บ้าน ปกติแล้วจะปลูกต้นโหยวไช่ฮวาในฤดูหนาว พอเก็บเกี่ยวโหยวไช่ฮวาได้แล้วก็ปลูกข้าวต่อ
ตอนบ่าย เย่จื้อผิงอยู่บ้านคนเดียว
เขามองสตรอว์เบอร์รีที่ปลูกในบ้าน กับต้นท้อที่ปลูกริมลำธารด้วยความสงสัย
เย่เสี่ยวจิ่นมีแรงไม่มากนัก ตอนที่ขุดดินปลูกสตรอว์เบอร์รีเหล่านี้จึงไม่ลึก
แต่ต้นกล้าสตรอว์เบอร์รีกลับงอกงามเป็นพิเศษ
เขามองอยู่นานก็ยังไม่เข้าใจว่า ‘สตรอว์เบอร์รี’ ที่ลูกสาวของเขาปลูกมีประโยชน์อะไร
“น้องสาม อาบแดดงั้นเหรอ”
เย่จื้อเฉียงแบกจอบเดินเข้ามา ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เขามองสำรวจเย่จื้อผิงน้องชายตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางแอบหัวเราะในใจเมื่อเห็นสภาพน้องชายที่ดูโชคร้ายไม่น้อย
น้องสามคนนี้นับตั้งแต่เด็กจนโตก็อาภัพอับโชคมาตลอด คราวนี้แค่ไปซ่อมคลองก็ยังเกิดเรื่องเสียได้
ทำงานไม่ได้ครึ่งปี แบบนี้ก็เท่ากับกินข้าวไปวัน ๆ รอวันตายเท่านั้นแหละ
แต่ก็นับว่าโชคยังดีที่แค่กระดูกหัก ไม่ได้พิการไปจริง ๆ ไม่งั้นไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ขานายยังดีอยู่หรือเปล่า ฉันได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับนายแล้วกังวลจนนอนไม่หลับมาหลายวัน”
“นับว่าบุญของนายแล้วละ ที่แค่บาดเจ็บ”
“ถ้าอยู่บ้านมีอะไรให้ช่วยก็บอกฉันได้เลย พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
“ไม่เป็นไรหรอก” เย่จื้อผิงยิ้ม “พี่จะไปไหนเหรอ?”
“เพิ่งไปดูต้นโหยวไช่ฮวามา” พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเย่จื้อเฉียงก็เต็มไปด้วยความกังวล “ปีนี้หลังจากฉลองปีใหม่ หิมะตกหนักมาก ต้นโหยวไช่ฮวาโดนหิมะทำลายจนเสียหายไปหมด”
“ก่อนหน้านี้ดอกตูมที่เพิ่งออกมา ก็ถูกพายุลูกเห็บทำลายจนหักไปหมดแล้ว”
“ทุกปีช่วงนี้ต้นโหยวไช่ฮวาจะออกดอกบานสะพรั่ง แต่ปีนี้ดูบางตา ไม่สวยเลย”
เย่จื้อเฉียงพูดไปก็ทุกข์ใจ น้ำมันที่บ้านก็หมด หากต้นโหยวไช่ฮวาไม่เป็นอย่างที่หวัง ปีนี้อีกครึ่งปีคงไม่มีน้ำมันกิน คงต้องรอจนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ปลูกต้นโหยวไช่ฮวาฤดูหนาว
“นายรู้เรื่องหิมะตกแล้วสินะ”
“ครับ” เย่จื้อผิงพยักหน้า “มันเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว ต้องรอดูสภาพอากาศต่อไปว่าจะดีขึ้นหรือเปล่า”
“คงไม่ดีขึ้นแล้วละ” เย่จื้อเฉียงถอนหายใจ “อากาศหนาวขนาดนี้ ต้นโหยวไช่ฮวาคงไม่รอดแล้ว”
เย่จื้อผิงขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง ครอบครัวพี่ชายของเขาก็ลำบากไม่ต่างจากครอบครัวอื่น ๆ
ยิ่งครอบครัวของเขาเอง ข้าวสารก็ไม่มี น้ำมันก็ไม่มี ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เขาลากขาที่พิการ เดินอย่างยากลำบาก ยิ่งเจอภัยพิบัติแบบนี้ ยิ่งทำอะไรไม่ได้
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งเศร้า
ส่วนเย่จื้อเฉียงนั้น แม้จะลำบาก แต่ในใจก็ยังรู้สึกเหนือกว่าน้องชายอยู่บ้าง
ก็นะ อย่างน้อย ๆ ถ้าที่บ้านเขาไม่ไหวจริง ๆ สองผู้เฒ่านั่นก็คงควักเงินเก็บมาซื้อน้ำมันให้ลูกชายใช้จ่ายได้อยู่หรอก
ไม่เหมือนบ้านเจ้าสามนี่สิ ทน ๆ ใช้ชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ
“ฮ่า ๆๆๆ เจ้าสาม แกก็อย่ากังวลไปเลย ใคร ๆ เขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ” เย่จื้อเฉียงหัวเราะ “ใครมันจะอดตายกันจริง ๆ เชียว”
เย่จื้อผิงได้แต่ฝืนยิ้มอย่างขมขื่น
เขารู้ดีว่าเย่จื้อเฉียงคิดอะไรอยู่ ปัญหาคือที่บ้านเขาไม่มีใครให้พึ่งพาจริง ๆ
ระหว่างที่คุยกันนั้น ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง
ลมเย็นพัดมา เย่จื้อเฉียงเริ่มตัวสั่นด้วยความหนาว
ฝ้ายที่หลิวต้าเม่ยเอามานั้น ภรรยาของเขาทำเสื้อกันหนาวได้สี่ตัว
ส่วนเสื้อของเขาใช้ฝ้ายแค่หนึ่งชั่ง แถมยังเป็นฝ้ายเก่า ๆ อีก คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องกันหนาว
“อากาศไม่หนาวเลยนะ ค่อนข้างอุ่นสบายด้วยซ้ำ” เย่จื้อผิงกล่าวพลางลูบเสื้อผ้าบนร่างกาย
“ชุ่ยชุ่ยทำทั้งเสื้อและกางเกงผ้าฝ้ายใหม่ให้ฉัน นี่ใส่แล้วรู้สึกร้อนนิดหน่อยด้วยซ้ำ”
เย่จื้อผิงรู้สึกร้อนขึ้นมาจริง ๆ
เย่จื้อเฉียงเดินเข้ามาลูบเสื้อของน้องชาย ในใจก็แอบทึ่ง
เสื้อผ้านี่มันหนาและอุ่นจริง ๆ
ชาวบ้านปกติทำเสื้อผ้า ใครจะกล้าใช้ผ้าเปลืองขนาดนี้
“เสื้อผ้าของนายนี่ดีจริง ๆ ได้ยินภรรยาฉันบอกว่า ฝ้ายของพวกนายน่ะดี มีดอกใหญ่ขนาดฝ่ามือเชียวนะ”
“แบบนี้น่ะสบายกว่าเยอะเลย นุ่มฟูและอบอุ่น”
“ชุ่ยชุ่ยนี่ใจกว้างจริง ๆ”
เย่จื้อเฉียงพูดพลางคิดในใจด้วยความอิจฉา
“ฉันจะหนาวตายอยู่แล้ว เสื้อผ้าก็บางแบบนี้”
“ที่แท้ก็สู้เจ้าเด็กไร้ประโยชน์คนนี้ไม่ได้ ยังได้ใส่เสื้อผ้าหนากว่าอีก!”
เขาพูดอย่างรู้สึกขุ่นเคือง “จริง ๆ แล้วฤดูหนาวนี้ผ่านไปเร็วมาก พวกแกไม่น่าใช้ฝ้ายเยอะขนาดนี้ทำเสื้อผ้าเลย”
“ใส่ได้ไม่กี่วันก็เปลืองแล้ว”
“เก็บไว้ใช้ปีหน้าไม่ดีกว่าเหรอ”
เขารู้สึกขุ่นเคืองใจยิ่งขึ้น และคิดว่าหลี่ชุ่ยชุ่ยจงใจอย่างแน่นอน
ใช้อย่างนี้ก็เท่ากับพวกเขามาเอาไปฟรี ๆ ไม่ได้อะไรเลย
ช่างขี้เหนียวจริง ๆ!
เย่จื้อเฉียงพูดอย่างจงใจ “เมียแกนี่แย่จริง ๆ แกได้ยินที่พ่อพูดไหม?”
“ครั้งที่แล้วเมียแกทำพ่อกับแม่โกรธขนาดนั้น แกต้องสั่งสอนให้ดี ๆ บ้างนะ”
หลังจากเย่เสี่ยวจิ่นวางลอบดักปลาไหลแล้ว เธอก็กลับบ้านไปขุดไส้เดือน
เอาไส้เดือนใส่ไว้บนลอบ แล้วใช้โคลนพอกไว้ จากนั้นก็เอาไปวางไว้ในน้ำ
ปลาไหลและปลาช่อนจะได้กลิ่นคาว แล้วก็จะเข้าไปอยู่ในลอบเอง
เย่จื้อผิงอดทนมาก เขาช่วยเย่เสี่ยวจิ่นเลือกที่วางลอบหลายที่
พวกเขาเลือกที่เป็นแอ่งน้ำขังเล็ก ๆ ในนาข้าว
“จิ่นเป่า พรุ่งนี้ต้องจำที่วางให้ดี ๆ นะ”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า เช็ดคราบน้ำที่มือ “หนูจำได้ ที่นี่ไง”
“พี่สาวเอาไปวางไว้ในลำธาร ได้ปลาไหลไม่ค่อยเยอะ”
“ไม่รู้ว่าที่นี่จะเยอะหรือเปล่า”
“แถวนี้ต้องเยอะแน่ ๆ” เย่จื้อผิงพูดอย่างลับ ๆ “ทุกปีตอนปลูกข้าว ที่นี่จะมีปลิงเยอะที่สุด แล้วยังมีปลาไหลเยอะอีกด้วย”
เย่เสี่ยวจิ่นร้อง ‘ว้าว’ หัวใจเต็มไปด้วยความปรารถนาและความคาดหวัง เธอรู้สึกว่ามันน่าสนุกมาก
หลี่ชุ่ยชุ่ยเลิกงานจากฟาร์มไก่แล้ว หล่อนก็เอาใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลไปหาผู้ใหญ่บ้าน
ซุนจ่างซุ่นก็จัดการให้หล่อนเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยได้เงินมาก็รีบเอาไปคืนหลินซิ่วอิงเป็นอย่างแรก
ระหว่างทางกลับบ้านหลังจากคืนเงินแล้ว หล่อนบังเอิญเจอจ้าวหลินหลินกับเซี่ยวเยว่เดินมาด้วยกัน
จริง ๆ แล้วหล่อนอยากจะทำเป็นไม่เห็นพวกหล่อน
แต่จู่ ๆ อีกฝ่ายก็พูดเสียงดังขึ้นอย่างจงใจ
จ้าวหลินหลินพูดด้วยน้ำเสียงเสียดสีว่า “ดีจริง ๆ เลยนะ ไม่ต้องเสียเงินสักหยวนก็รักษาหาย แล้วยังทำให้บ้านฉันต้องจ่ายข้าวไปตั้งเยอะ”
“นี่มันน่าเจริญจริง ๆ”
“ก็แค่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนไปด้วย”
เซี่ยวเยว่ก็หัวเราะเยาะ “พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ จะไปถือสาอะไรกับคนแบบนี้”
“เธอหวังว่าหล่อนจะมีจิตสำนึกอะไรได้รึไง”
“ใจดำกว่าอีกาซะอีก”
จ้าวหลินหลินพูดด้วยความโมโห
“เมื่อคืนนี้ฉันกับลู่เฟิงทะเลาะกันใหญ่โต เกือบจะลงไม้ลงมือกันแล้ว”
“เป็นเพราะครอบครัวของหล่อนทั้งนั้น พวกชอบยืมมือคนอื่นเล่นงานคนอื่น”
“ตอนนี้ลู่เฟิงให้ข้าวพวกนั้นไปตั้งเยอะ แถมยังหลีกเลี่ยงกับผู้ใหญ่บ้านไม่ได้อีก”