ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 25 การเปลี่ยนแปลงในบ้านที่ทำให้ตกตะลึง (รีไรต์)
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 25 การเปลี่ยนแปลงในบ้านที่ทำให้ตกตะลึง (รีไรต์)
บทที่ 25 การเปลี่ยนแปลงในบ้านที่ทำให้ตกตะลึง (รีไรต์)
บทที่ 25 การเปลี่ยนแปลงในบ้านที่ทำให้ตกตะลึง (รีไรต์)
ซุนจ่างซุ่นพูดอย่างเคร่งขรึม “เรื่องที่เกิดขึ้นในทีมของนาย ฉันก็ได้ยินมาแล้ว”
“ฉันเสนอให้ใช้เงินกองกลางออกค่ารักษาพยาบาลให้เย่จื้อผิง”
“แต่นายในฐานะหัวหน้าทีม ต้องมอบเสบียงอาหารให้ครอบครัวพวกเขา 200 ชั่ง”
“อย่างไรเสีย พวกเขาก็ช่วยชีวิตนายไว้ อย่าให้พวกเขาต้องอดตาย”
สีหน้าของลู่เฟิงเปลี่ยนไป “200 ชั่ง? นี่มันจะเอาชีวิตฉันหรือไง?”
“ถ้าเขาไม่ช่วยนาย ป่านนี้นายก็ตายไปแล้ว!” ซุนจ่างซุ่นไม่พอใจเล็กน้อย “นายคิดอะไรอยู่กันแน่?”
เมื่อลู่เฟิงได้ยินเรื่องนี้ เขากลัวว่าจะรักษาตำแหน่งหัวหน้าทีมเอาไว้ไม่ได้
แน่นอนว่าครอบครัวของเขาสามารถหาเสบียงอาหาร 200 ชั่งได้
“ตกลง ตกลง! 200 ชั่งก็ 200 ชั่ง!” เขาจำยอมอย่างช่วยไม่ได้ กัดฟันแน่น หัวใจแทบสลาย
“ฉันจะเอาไปให้พวกเขานะ” เขาไม่รอช้า รีบกลับบ้านไปเอาข้าวสารทันที
“ผู้ใหญ่ครับ ขอบคุณมากนะครับ” เย่จื้อผิงรู้สึกซาบซึ้งใจ
“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก เป็นเพราะจิ่นเป่ามาหาฉันต่างหาก” ซุนจ่างซุ่นยิ้มพลางพูดอย่างจนใจ “นายประสบเรื่องแบบนี้ ก็น่าจะมาปรึกษาฉันหน่อย”
“ที่นายได้รับบาดเจ็บก็เพราะไปซ่อมคลองส่งน้ำให้หมู่บ้าน พวกเราไม่ทิ้งนายหรอก”
“จิ่นเป่าเหรอ?” เย่จื้อผิงไม่คิดว่าจะเป็นลูกสาวตัวน้อยที่ไปตามคนมาช่วย
เขาจ้องมองจิ่นเป่าอย่างประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้ลูกสาวยังพูดไม่ได้เลย ตอนนี้กลับไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้แล้ว?
วันนี้ถ้าจิ่นเป่าไม่ไปตามผู้ใหญ่บ้านมา เรื่องนี้คงจะไม่จบง่าย ๆ แน่
“จิ่นเป่ายังเล็กแค่นี้ ก็รู้จักไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นแล้วเหรอ?” เขาถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“นายอย่าดูถูกลูกสาวตัวเองเชียว ถ้าไม่ติดว่าหล่อนยังเด็ก หัวหน้าเซี่ยคงอยากให้หล่อนไปเล้าไก่ทุกวันแล้วละ”
เย่จื้อผิงไม่เข้าใจความหมายของผู้ใหญ่บ้าน เขายังคงงุนงงอยู่
ซุนจ่างซุ่นพูดพร้อมรอยยิ้ม “ฉันกลับก่อนนะ”
“พวกนายจ่ายเงินไปเท่าไหร่ เอาใบเสร็จจากโรงพยาบาลมาด้วยก็พอ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยโล่งใจ หินก้อนใหญ่ในใจหล่นหาย หล่อนคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะได้เงินสักสิบกว่าหยวน คงไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณคนอื่นมากมายขนาดนั้น
ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะได้รับเงินทั้งหมด
หล่อนรีบพยักหน้า “ค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะเอาไปให้”
หลังจากผู้ใหญ่บ้านกลับไปแล้ว หลี่ต้ากังจึงพูดขึ้น “จิ่นเป่า หนูนี่ฉลาดจริง ๆ นะ”
“เด็กคนนี้รู้จักทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ไม่ธรรมดา ๆ”
เขานึกถึงคำพูดประชดประชันของหลิวต้าเม่ยที่ชอบพูดบ่อยๆ ว่า “ฉลาดขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นปีศาจจิ้งจอกกลับชาติมาเกิดก็ได้”
สีหน้าของหลี่ชุ่ยชุ่ยเปลี่ยนไปในทันที
หลี่ต้ากังคนนี้นี่ปากเสียจริง ๆ!
ก่อนหน้านี้ก็ยุยงให้เย่ฉู่เฉียงไปหาเย่จื้อผิงให้มาสั่งสอนหลี่ชุ่ยชุ่ย
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกเกลียดขี้หน้าเขามานานแล้ว
หล่อนไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขา
หลี่ชุ่ยชุ่ยประคองสามีแล้วพูดกับเย่เสี่ยวจิ่นว่า “จิ่นเป่า พวกเรากลับบ้านไปทำกับข้าวทานกันเถอะ”
“เดินเองได้ไหม?”
“ได้ค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นเดินตามหลังพวกเขามา
เธอเหลือบมองหลี่ต้ากังแวบหนึ่ง แล้วจดชื่อเขาลงบัญชีดำอยู่ในใจ
พอถึงบ้าน เย่เสี่ยวจิ่นก็ไปดูลูกเจี๊ยบของเธอ
ลูกเจี๊ยบกว่าสามสิบตัวกำลังจิกกินหญ้าอยู่อย่างสนุกสนานกับแม่ไก่สองตัวบนพื้นหญ้า
เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังไปทั่วบริเวณ
ส่วนเย่จื้อผิงยังไม่รู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงในบ้านเลยแม้แต่น้อย
เขาถามหลี่ชุ่ยชุ่ยเสียงเบาว่า “ชุ่ยชุ่ย นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ไก่พวกนี้มาจากไหน ทำไมเยอะแยะไปหมดแบบนี้ แล้วเราจะเอาอาหารที่ไหนเลี้ยงมันล่ะ”
“ต่อให้เราให้มันกินรำข้าวก็ไม่พอเลี้ยงไก่ตั้งเยอะขนาดนี้หรอก”
“อีกอย่างนะ ที่บ้านเราก็ไม่มีไข่เยอะขนาดที่จะฟักออกมาเป็นลูกเจี๊ยบได้มากมายขนาดนี้”
เย่จื้อผิงรู้สึกงุนงงไปหมด
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่ได้เล่าเรื่องที่บ้านให้เขาฟังตอนที่อยู่โรงพยาบาล
หล่อนหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันทำงานที่ฟาร์มไก่แล้วนะ”
“จิ่นเป่าช่วยรักษาโรคระบาดในไก่หาย หัวหน้าทีมเลยให้ไข่ไก่มาหลายสิบฟองเลยละ”
“แล้วจิ่นเป่ายังทำอาหารไก่เป็นด้วยนะ ใช้จูเฉ่าทำ ประหยัดอาหารไปได้เยอะเลย”
เย่จื้อผิงไม่อยากจะเชื่อ “จิ่นเป่ารักษาโรคระบาดในไก่เป็นด้วยเหรอ?”
“ไม่ใช่แค่นั้น หล่อนยังบอกอีกว่าหล่อนเป็นศิลปกรรมเทพจุติลงมาเกิด” หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
หล่อนพาเย่จื้อผิงไปดูผ้าห่มใหม่และเสื้อผ้าใหม่ที่บ้าน
เย่จื้อผิงลูบผ้าห่มหนานุ่มอย่างเบามือ
เขาจินตนาการได้เลยว่าผ้าห่มผืนนี้จะอุ่นขนาดไหนถ้าได้ห่ม
เขาสวมเสื้อกันหนาวตัวใหม่พลางชื่นชม
“เสื้อหนาวตัวนี้อุ่นจัง ต้องใช้ฝ้ายเยอะมากแน่ ๆ”
เขาไม่เคยได้ใส่เสื้อหนาอุ่นแบบนี้มาก่อน
ข้างในใส่ใยฝ้ายคุณภาพดีถึงสามชั่งเชียวนะ
เขาถอนหายใจอีกครั้ง “ที่จริงผมไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าดี ๆ ขนาดนี้ก็ได้…”
“เก็บไว้ให้ลูก ๆ ใส่ดีกว่า”
“ทำไว้สำหรับทุกคนแล้ว ทุกคนมีเป็นของตัวเอง”
“ทั้งหมดนี้ทำมาจากฝ้ายที่จิ่นเป่าหามาให้” หลี่ชุ่ยชุ่ยอดพูดไม่ได้ หล่อนเล่าเรื่องฝ้ายในยุ้งฉางให้เขาฟัง “จิ่นเป่าของพวกเรานี่สิ นางฟ้าส่งมาเกิดชัด ๆ”
“สามขวบแรกพูดไม่ได้ พอพูดได้ครั้งแรกก็คล่องปร๋อเลย”
“ดูอย่างตอนที่หล่อนปลูกต้นไม้ ปลูกสตรอว์เบอร์รีสิ ฉันไม่กล้าถามอะไรมากเลย…”
เย่จื้อผิงทั้งตกใจและปวดใจ “ถึงลูกสาวจะเป็นนางฟ้า เธอก็เป็นลูกสาวของพวกเราอยู่ดี!”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับอย่างระมัดระวัง “ชุ่ยชุ่ย คุณอย่าไปพูดเรื่องของจิ่นเป่าให้ใครฟังเชียวนะ”
“ถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอมีความสามารถแบบนี้ คงไม่เป็นผลดีกับหล่อนแน่”
“เด็กคนนั้นไม่ได้ตั้งท่าระวังพวกเราก็จริง แต่พวกเราต้องคิดให้มาก ๆ หน่อย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเองก็รู้เรื่องนี้ดี
หล่อนและสามียืนอยู่ด้วยกันที่หน้าประตูบ้าน มองเย่เสี่ยวจิ่นวิ่งไล่ลูกเจี๊ยบกลับเล้า
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนที่สามีของหล่อนเกิดเรื่อง คงทำให้หล่อนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น
แต่ตอนนี้ พอคิดว่ามีจิ่นเป่าอยู่กับพวกเขา
ในใจของหล่อนก็ไม่รู้สึกกลัวอะไรอีก
จิ่นเป่าเป็นเหมือนปลาน้อยนำโชคของบ้าน นำพาแต่โชคดีมาให้ไม่หยุดหย่อน
หล่อนรู้สึกจากใจจริงว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังเมตตาหล่อนอยู่บ้าง จึงส่งลูกสาวคนนี้มาให้
ตกกลางคืน
หลี่ชุ่ยชุ่ยหยิบเนื้อตากแห้งออกมา หล่อนยังหยิบหน่อไม้ฤดูหนาวออกมาด้วย เตรียมจะผัดผัก
อย่างไรเสีย ครั้งนี้เย่จื้อผิงบาดเจ็บถึงกระดูก ก็ควรจะได้กินอะไรบำรุงหน่อย
ปกติต้องเป็นวันปีใหม่ พวกเขาถึงจะได้กินเนื้อหมูกัน
วันธรรมดาวันไหนจะกล้าฟุ่มเฟือยขนาดนั้น
เย่จื้อผิงเห็นดังนั้น จึงรีบห้ามไว้ “เนื้อตากแห้งนี่เก็บไว้ให้จิ่นเป่ากินเถอะ พวกเรากินผักก็พอแล้ว”
“คุณเอาเนื้อตากแห้งนี้ไปสับให้ละเอียด แล้วทำซุปเนื้อให้ลูกกิน”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มพลางเปิดไหใบใหญ่ “คุณดูสิ เนื้อตากแห้งตั้งสองชิ้นใหญ่ขนาดนี้ กินได้อีกนานเลย”
เย่จื้อผิงทำหน้างง “พวกเราเอาเนื้อตากแห้งมาจากไหนตั้งเยอะแยะ”
“จิ่นเป่าไปขอมาจากคุณพ่อคุณแม่ของคุณน่ะ” หลี่ชุ่ยชุ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ
เย่จื้อผิงเข้าใจพ่อแม่ของเขาดี
หลังจากที่ได้ฟังหลี่ชุ่ยชุ่ยเล่าเรื่องวีรกรรมของจิ่นเป่า ทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย
ในใจเขาทั้งขำทั้งเหนื่อยใจ
ขำที่จินเป่านั้นช่างฉลาด รู้จักใช้วิธีแบบนี้มาขอเนื้อกิน
ส่วนที่เหนื่อยใจก็คือ พ่อแม่ของเขานั้นลำเอียงเกินไป
เมื่ออาหารเสร็จ
เย่จื้อผิงก็กินข้าวสวยร้อน ๆ
เขารู้สึกเหมือนกำลังฝันไป
ความจริงเขาเป็นห่วง กลัวลูกสาวกับภรรยาจะลำบากและอดอยากอยู่ที่บ้าน
“กินเยอะ ๆ นะ ไม่ต้องกังวลเรื่องข้าวปลาอาหารหรอก” หลี่ชุ่ยชุ่ยบอก “จิ่นเป่าน่ะได้คะแนนงานตั้ง 300 แน่ะ สามารถเอาไปแลกข้าวได้”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ค่ะพ่อ พักผ่อนให้หายดี ๆ นะคะ”
“มีหนูกับแม่อยู่ที่บ้าน พ่อไม่ต้องห่วง”
“พวกเราจะไม่ปล่อยให้ตัวเองหิวโหยหรือลำบากแน่นอนค่ะ”
เย่จื้อผิงรู้สึกขบขัน “จิ่นเป่าฉลาดจริง ๆ”
เย่เสี่ยวจิ่นแลบลิ้น เธอก็ไม่ได้ฉลาดอะไรมากมาย
แค่ไม่ได้ซื่อตรงเหมือนพ่อกับแม่เท่านั้นเอง
เย่จื้อผิงคีบเนื้อใส่จานให้เย่เสี่ยวจิ่น “กินเนื้อเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ แข็งแรง ๆ”
เย่เสี่ยวจิ่นคีบเนื้อส่งให้พ่อบ้าง “พ่อก็กินเยอะ ๆ นะคะ พ่อผอมเกินไปแล้ว”
ผอมจนเธอรู้สึกสงสารจับใจ
เย่จื้อผิงหัวเราะ ก่อนจะคีบเนื้อใส่ชามของหลี่ชุ่ยชุ่ย พร้อมกับเอ่ยว่า “มากินเนื้อกันเถอะ”
ครอบครัวนี้แม้จะเผชิญกับเรื่องร้าย แต่ทุกคนก็ยังคงกินข้าวกันอย่างมีความสุข
หลังจากที่เย่เสี่ยวจิ่นกินเสร็จ เธอก็ดึงเย่จื้อผิงไว้เพื่อถามวิธีการทำลอบดักปลาไหล
หลี่ชุ่ยชุ่ยได้แต่ขำ “จิ่นเป่าเห็นเย่จู๋ใช้ลอบดักปลาไหลก็เลยอยากได้บ้าง บอกให้ฉันทำให้ให้ได้”