ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 242 ศัตรูเก่ามาเยือน ต้องต้อนรับให้ดี
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 242 ศัตรูเก่ามาเยือน ต้องต้อนรับให้ดี
บทที่ 242 ศัตรูเก่ามาเยือน ต้องต้อนรับให้ดี
……….
บทที่ 242 ศัตรูเก่ามาเยือน ต้องต้อนรับให้ดี
หลินเหมยรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก ได้แต่มองเย่หวายเดินจากไปอย่างช่วยไม่ได้
หลี่เฉิงกงก็รู้สึกอับอายขายหน้าเช่นกัน ไม่อยากอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว จึงลากหลินเหมยกลับบ้านไปทันที
หลี่เสี่ยวหานยืนอยู่ที่เดิม ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “น้องเสี่ยวหวายยังไม่ทันได้แสดงความสามารถของตัวเอง ก็โดนคนดูถูกเสียแล้ว”
“รอดูไปเถอะ ต่อไปเขาจะต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแน่นอน”
หลี่ชุ่ยชุ่ยกำลังทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ที่บ้าน เมืองตำบลนี่ดีจริงๆ มีไฟฟ้าให้ใช้ด้วย
แม้จะไม่สว่างมากนัก แต่อย่างน้อยก็ทำให้ห้องสว่างพอมองเห็นได้ชัดเจน
“ทำไมคุณยังไม่นอนอีกล่ะ? นั่งเย็บปักถักร้อยตอนกลางคืนแบบนี้ไม่ดีต่อสายตานะ” เย่จื้อผิงพูดพลางสะบัดผ้านวมให้กางออก
“ก็เด็กสองคนยังไม่กลับบ้าน ฉันเลยเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลานี่แหละ” หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มเล็กน้อย “หรือว่าคุณจะไปรับพวกเขาสักหน่อยไหม?”
“พวกเขาอยู่แค่ถนนเส้นนี้เอง ไม่จำเป็นต้องไปรับหรอก ถ้าหัวหน้าจ้าวเห็นเข้า เขาอาจจะคิดว่าเราไม่ไว้ใจเขาก็ได้”
“ฉันอยากบอกคุณเหลือเกินว่าตอนนี้เจ้ารองบ้านเราชักจะทะเยอทะยานเกินไปหน่อยแล้ว”
“ฉันกังวลจริงๆ ว่าเขาจะล้มเหลว”
เย่จื้อผิงกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น “เรื่องนี้น่ะ คนแก่มักพูดว่าคนกล้าหาญตายเพราะอิ่ม คนขี้ขลาดตายเพราะหิว คุณจะกลัวอะไรล่ะ?”
“เจ้ารองไม่เหมือนเจ้าใหญ่ เจ้าใหญ่อดทนได้ แถมทำอะไรก็รอบคอบ ค่อยๆ ทำทีละขั้น ฉันไม่กังวลเลยสักนิด”
“แถมเขาก็ไม่เหมือนเจ้าสามกับจิ่นเป่า ถึงแม้จิ่นเป่าจะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่หล่อนก็มีความรู้เหมือนกับเจ้าสาม”
“เจ้ารองเขาไม่มีความรู้ ถึงจะได้ออกไปผจญภัยบ้าง แต่ก็ไม่ถือว่ามีประสบการณ์ทางสังคมมากนัก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยถอนหายใจ “ถ้าเกิดเขาเจอกับคนประเภทขายน้ำมันคุณภาพต่ำเหมือนครั้งก่อน แล้วโดนหลอกจะทำยังไง?”
เย่จื้อผิงขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ที่คุณพูดก็มีเหตุผล พวกเราต้องคอยจับตาดูเขาให้มากขึ้น กล้าได้ แต่ไม่ควรบุ่มบ่ามเกินไป”
ในขณะที่สามีภรรยากำลังคุยกันอยู่นั้น ประตูบ้านก็ถูกผลักเปิดออก
“วันนี้เธอกินเยอะมากเลยนะ ท้องไม่อืดเหรอ?” เย่หวายอดไม่ได้ที่จะถามน้องสาว “แล้วยังกินแอปเปิ้ลอีกสองลูกด้วย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบออกไปต้อนรับ “ทำไมพวกลูกกลับมาช้าจัง”
“กินเยอะไปหน่อย เลยเสียเวลาไปนิดหน่อยน่ะค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นเรอออกมาด้วยความอิ่ม “ป้าหร่วนใจดีมาก คอยชวนฉันกินนั่นกินนี่ตลอด”
เธอพูดพลางล้วงถั่วเปลือกแข็งบางส่วนออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “พ่อ แม่ ลองชิมดูสิว่ารสชาติเป็นยังไง”
หลี่ชุ่ยชุ่ยกับเย่จื้อผิงไม่เคยกินของแปลกๆ แบบนี้มาก่อนเลย “ก่อนหน้านี้ลุงใหญ่กับคนอื่นๆ ได้ซื้อให้ย่าแล้ว ได้ยินว่าของพวกนี้แพงมาก จิ่นเป่า ลูกกินเองเถอะ”
“หนูอิ่มแล้วล่ะ พวกแม่กินกันเถอะ”
เย่เสี่ยวจิ่นพูดพลางแกล้งครางออกมา “ดูท้องอันกลมป่องของหนูสิ ไม่อยากกินอะไรอีกแล้ว”
เย่หวายหัวเราะเบาๆ “ใช่แล้ว จิ่นเป่ากินน่องไก่ไปตั้งสองอัน”
“อะไรนะ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยตาเหลือก “ไปกินข้าวที่บ้านคนอื่นแล้วกินน่องไก่ไปตั้งสองอัน…จากไก่ทั้งตัวเลยเหรอ?”
น่องไก่เป็นส่วนที่มีเนื้อมากที่สุดในตัวไก่ทั้งหมด
การกินทั้งหมดก็ดูไม่สุภาพเกินไป
แม้หลี่ชุ่ยชุ่ยจะยังรู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็รู้สึกโล่งใจ
หล่อนรู้แค่ว่าเวลาไปกินข้าวที่บ้านคนอื่น ไม่ควรแย่งกินของเจ้าของบ้านทั้งหมด
แบบนี้มันดูเสียมารยาทเกินไป ไม่อย่างนั้นต่อไปใครจะอยากกินข้าวด้วยกันอีก
เย่เสี่ยวจิ่นกลับไปนอนในห้องแล้ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองดูหนังสือในมือของเย่หวาย “นี่คืออะไรน่ะ?”
“เป็นหนังสือที่ลูกสาวหัวหน้าหลี่ยืมให้ผมคัดลอกเอาไว้ พี่เสี่ยวหานก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนกัน หล่อนกระตือรือร้นมาก และเป็นคนดีจริงๆ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพยักหน้า รู้สึกประทับใจครอบครัวของหัวหน้าหลี่มาก
“โอ้ หัวหน้าหลี่ดูแลครอบครัวเราดีมาก คราวหน้าที่เรากลับไป พวกเราควรซื้อไก่ไปฝากเขาสักตัว”
เย่หวายก็ไม่ได้พูดอะไร
วันต่อมาก็ต้องไปเรียนอีก
“เสี่ยวหวาย ช่วงนี้เธอขยันมากเลยนะ การสอบปลายเดือนมิถุนายนนี้คงไม่มีปัญหาแน่นอน”
เย่หวายยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้บอกอาจารย์หยางเรื่องที่ตัวเองจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย
“เสี่ยวหวาย เธอกินอาหารเช้าหรือยัง?” หลินเหมยรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในมือถือถุงซาลาเปาหมูอยู่
“นี่เป็นซาลาเปาหมูร้อนๆ เธอรีบกินเถอะ ฉันตั้งใจเอามาให้เธอโดยเฉพาะ”
เย่หวายไม่ได้รับมัน
หยางหยางก็รู้สึกงงเล็กน้อย
ปกติแล้วถ้าหลินเหมยไม่ได้ตั้งใจมารังแกเย่หวายก็ถือว่าดีแล้ว นี่ยังอุตส่าห์เอาซาลาเปาหมูมาให้เขาด้วย?
นี่มันไม่ใช่สุนัขจิ้งจอกมาไหว้ไก่ด้วยเจตนาไม่ดีหรอกหรือ?
หยางหยางสงสัยอย่างมีเหตุผลว่าในซาลาเปานี้อาจจะมีการใส่ยาอะไรบางอย่างลงไป!
“อาจารย์หลิน นี่คุณจะเอาไว้กินเองใช่ไหม? เย่หวาย เธออย่าได้เอาไปจริงๆ นะ”
หยางหยางพูดพลางผลักเย่หวายเบาๆ
หลินเหมยทำหน้าเหมือนถูกใส่ร้าย “ไม่ใช่นะ นี่ฉันซื้อให้เย่หวายจริงๆ ส่วนฉันกินไข่ไปสองฟองแล้ว”
เย่หวายวิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว หลินเหมยกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ แต่เพราะถูกหยางหยางขวางทางไว้ จึงไม่สามารถตามไปได้
“โอ๊ย คุณครูหยาง คุณกำลังทำอะไรน่ะ?”
หล่อนกลอกตาแล้วกลับมามีท่าทีก้าวร้าวเหมือนปกติ “คุณรู้ไหมว่าอะไรเรียกว่าสุนัขดีไม่ขวางทาง?”
“คุณไม่เห็นหรอกหรือว่าฉันตั้งใจจะปรับความสัมพันธ์กับเย่หวายน่ะ?”
หยางหยางไม่เห็นจริงๆ เขายังคงยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย “อาจารย์หลิน อีกไม่ถึงเดือนก็จะสอบแล้วนะครับ”
“นักเรียนในชั้นของคุณเตรียมตัวสอบกันเป็นอย่างไรบ้างครับ?”
หลินเหมยจ้องหน้าหยางหยางอย่างดุดัน “ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
หล่อนพูดจบแล้วก็เดินจากไปด้วยสีหน้าบึ้งตึงเช่นเคย
หยางหยางอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า พลางพึมพำกับตัวเอง “นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญของเสี่ยวหวาย ฉันต้องคอยจับตาดูให้มากหน่อย เพื่อป้องกันไม่ให้อาจารย์หลินคนนี้ทำอะไรแปลกๆ ออกมา”
เมื่อตัวเองปรากฏตัว อาจารย์หยางคนนี้ก็แสดงสีหน้าเหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้
ทำให้หลินเหมยโมโหจนเข็ดฟัน
ในหมู่บ้านช่วงนี้ก็มีเรื่องสำคัญอยู่เรื่องหนึ่ง
เย่เสี่ยวจิ่นกำลังวาดแบบอยู่ หลี่จื้อเฉียงเดินเข้ามาจากด้านนอก แล้วตบไหล่เย่เสี่ยวจิ่น “จิ่นเป่า ก่อนหน้านี้มีคนประสบความสำเร็จกลับมาที่หมู่บ้านของพวกเธอ”
“ไม่รู้ว่าเธอรู้จักเขาหรือเปล่า”
เย่เสี่ยวจิ่นดูงุนงงเล็กน้อย “คนประสบความสำเร็จในหมู่บ้านของพวกเรา?”
“ใช่แล้ว ได้ยินว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน ครอบครัวของเขามีเหมืองทองคำ แล้วก็รวยจากการขุดเหมืองทองคำ”
“หลังจากนั้นประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง คุณตาคนนั้นก็หอบเงินหนีไปต่างประเทศคนเดียว”
“ตอนนี้เขาบอกว่าจะกลับมาอีกแล้ว ให้ลูกชายลูกสะใภ้กลับมาดูสถานการณ์ บอกว่าจะบริจาคหอพักให้กับโรงเรียนมัธยมของพวกเรา”
หลี่จื้อเฉียงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง คำสั่งจากเบื้องบนก็คือต้องต้อนรับพวกเขาให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เงินไหลออกนอกประเทศ
“บริจาคหอพัก? นั่นเป็นเรื่องดีนะคะ” เย่เสี่ยวจิ่นวางดินสอในมือลง “แต่ก่อนตอนพี่ชายฉันเรียนหนังสือ ต้องวิ่งไปวิ่งมาลำบากมาก”
“ถ้าโรงเรียนมีหอพัก แน่นอนว่าจะมีคนอยากมาเรียนมากขึ้น”
“เมื่อเป็นการกุศลเช่นนี้ พวกเราควรต้อนรับพวกเขาให้ดี”
หลี่จื้อเฉียงพยักหน้า “ถูกต้อง พวกเราก็แค่จับตาดูไว้ พวกนั้นก็เป็นคนหมู่บ้านชงเถียนเหมือนเธอเช่นกัน”
“คิดว่าคงไม่เป็นไรหากจะให้คุณต้อนรับพวกเขา อย่างไรเสียพี่ชายคุณก็เรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมใช่ไหม? คุณน่าจะเข้าใจสถานการณ์ได้ดีกว่า”
เย่เสี่ยวจิ่นตอบตกลง “ก็ได้ค่ะ ฉันทำงานในมือเสร็จหมดแล้วพอดี”
“แต่ถึงแม้จะเป็นคนหมู่บ้านชงเถียนเหมือนกัน ฉันก็ไม่รู้จักคนรวยแบบนี้หรอกนะ”
“ก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ถึงคนเป็นปู่จะไปต่างประเทศ แต่ลูกชายและลูกสะใภ้ของเขาก็ยังคงอยู่ในประเทศตลอด” หลี่จื้อเฉียงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
“คงเป็นเพราะเธออายุน้อยมั้งเลยไม่รู้จัก ลูกชายของคุณปู่ชื่อหลี่ไป๋ว่าน ส่วนลูกสะใภ้ชื่อสวีเหม่ย”
เมื่อก่อนสวีเหม่ยอยากหาลูกเขยที่ซื่อสัตย์ ขยัน และไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยให้กับลูกสาวของตัวเอง จึงมองหาจากคนในครอบครัวของตัวเอง
น่าเสียดายที่พี่ชายคนโตไม่อยากกินข้าวนิ่มนี้
ดังนั้นจึงทำให้ตระกูลหลี่โกรธเคือง
คราวนี้ตัวเองต้องไปต้อนรับพวกเขาอีก ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“คุณลุงหลี่…ฉันอาจจะ…”
เย่เสี่ยวจิ่นยังพูดไม่ทันจบ ข้างนอกมีคนเรียกหาหลี่จื้อเฉียงให้ไปประชุม
หลี่จื้อเฉียงพูดกับเย่เสี่ยวจิ่นว่า “จิ่นเป่าเอ๋ย งั้นเรื่องนี้ก็แค่นี้แหละ ฉันต้องไปประชุมก่อนแล้ว คนจะมาตอนบ่าย เธอไม่ต้องยุ่งอะไรแล้ว รอพาพวกเขาไปกินข้าวตอนนั้น”
“เธอวางใจได้ ยังมีเหอชุนเซิงอยู่เป็นเพื่อนเธอนะ เขาเองก็เป็นลูกเขยของหมู่บ้านชงเถียนเหมือนกัน นับเป็นคนของหมู่บ้านชงเถียนครึ่งหนึ่งแล้ว”
หลี่จื้อเฉียงรู้ดีว่าเย่เสี่ยวจิ่นได้จัดการเหอชุนเซิงให้เชื่อฟังอย่างว่าง่ายไปนานแล้ว จึงไม่มีอะไรต้องกังวลอีก
เย่เสี่ยวจิ่นถือดินสอไว้ในมือ อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาเล็กน้อย
“เรื่องนี้มันยุ่งยากเสียแล้ว”
“ทำไมถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีกล่ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นไม่ได้กลัวพวกเขาหรอก แต่ตอนนี้เธอเป็นตัวแทนของหมู่บ้านในการต้อนรับ และเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องหอพักของโรงเรียนมัธยมด้วย
แน่นอนว่านิสัยไม่ยอมให้ตัวเองต้องเสียเปรียบของเธอก็นับว่าเป็นข้อเสียเหมือนกันในการทำให้เรื่องสำคัญต้องพังไป
“เฮ้อ ก็แล้วแต่เถอะ อะไรที่ควรมาก็ต้องมาสักวัน”
“ฉันจะทำตามหน้าที่อย่างเป็นทางการ”
เย่เสี่ยวจิ่นคิดแบบนี้แล้วก็รู้สึกโล่งใจ
ไม่นานนัก เหอชุนเซิงก็มาถึง ยังคงมีสีหน้าท่าทางนอบน้อมประจบประแจงแบบเสแสร้งเหมือนเดิม
จริงๆ แล้วเขาไม่อยากจะคอยรับใช้เย่เสี่ยวจิ่น ทุกครั้งที่มีธุระอะไร เขาก็ต้องเป็นลูกน้องให้เย่เสี่ยวจิ่นเสมอ
“หัวหน้าทีมเย่ ทำงานเสร็จแล้วหรือยังครับ?”
“รถของคุณหลี่ไป๋ว่านเข้ามาแล้ว พวกเขาทั้งครอบครัวสามคนมาถึงแล้ว เราไปชั้นล่างกันเลยดีไหมครับ?”
“ผมสั่งอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว คุณแค่ไปปรากฏตัวก็พอครับ”
เหอชุนเซิงกลัวมากว่าเรื่องราวจะพังพินาศ
เย่เสี่ยวจิ่นคนนี้มีทัศนคติที่ไม่รับผิดชอบมาโดยตลอด
ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเขาต้องมาเป็นแพะรับบาปหรอกหรือ?
ดังนั้นเหอชุนเซิงจึงระมัดระวังอย่างมาก ถึงขนาดอยากขอร้องเย่เสี่ยวจิ่นไม่ให้ก่อเรื่อง ไม่เช่นนั้นสถานการณ์ของเขาก็จะยิ่งลำบากขึ้นไปอีก
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้าเบาๆ “ไปกันเถอะ”
“ได้เลย คุณหัวหน้าเย่ เรื่องนี้ต้องลำบากคุณแล้ว รบกวนคุณไปกับผมสักหน่อยนะครับ”
เย่เสี่ยวจิ่นมองเหอชุนเซิงอย่างแปลกใจเล็กน้อย คนคนนี้ทำไมถึงเชิญเธอราวกับเชิญพระโพธิสัตว์อย่างนั้น? หรือว่าจะมีกับดักอะไรซ่อนอยู่?
เธอเตือนว่า “คุณอย่าได้คิดใช้กลอุบายอะไรกับฉันนะ”
เหอชุนเซิงกัดฟันกราม คำพูดนี้ไม่ควรเป็นเขาที่พูดหรอกหรือ?
เขา เหอชุนเซิง ช่างเป็นโต้วเอ๋อ*แห่งยุคปัจจุบันจริงๆ!
(*ตัวละครเอกจากบทละคร “โต้วเอ๋อผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม” ในสมัยราชวงศ์หยวน)
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ตลกครูหลินจังค่ะ มาตามติดเย่หวายอะไรขนาดนั้น พิรุธมาเต็มเลย
คู่กรณีเก่าของพี่ใหญ่มาเยือนแล้ว จิ่นเป่าจะต้อนรับยังไงดีเนี่ย
ไหหม่า(海馬)
……….