ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 226 หัวหน้าทีมนวัตกรรมการเกษตร
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 226 หัวหน้าทีมนวัตกรรมการเกษตร
บทที่ 226 หัวหน้าทีมนวัตกรรมการเกษตร
……….
บทที่ 226 หัวหน้าทีมนวัตกรรมการเกษตร
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่เสี่ยวจิ่นไปทำงานตรงเวลา
ตอนนี้เธอเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ไม่สามารถอู้งานไปได้ตลอด
แต่เธอตัดสินใจว่าหลังจากที่เธอคุ้นเคยกับที่นี่แล้ว เธอจะอู้ต่อ
เหอชุนเซิงและเซี่ยวเกาซานผู้อุปถัมภ์ของเขาและหัวหน้าคนใหม่ กำลังพูดคุยกันอยู่ที่ประตู
เซี่ยวเกาซานไม่เพียงแต่เป็นผู้อุปถัมภ์ของเหอชุนเซิงเท่านั้น แต่ยังเป็นพี่ชายร่วมสำนักของเขาด้วย ดังนั้นจึงสนับสนุนเขาเป็นพิเศษ
เหอชุนเซิงก่อนหน้านี้แทบจะอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว โชคดีที่ศิษย์พี่ถูกย้ายมา ไม่เช่นนั้นสถานการณ์ของเขาคงย่ำแย่กว่านี้
“ชุนเซิง ไม่ต้องกังวล พวกเราเป็นคนกันเองทั้งนั้น ครั้งนี้ต้องผลักดันให้นายมาดูแลเกษตรกรรมแนวใหม่”
“ปลาในนาข้าวปีที่แล้วก็เป็นเพราะนายโชคไม่ดีเอง”
“ปีนี้นายทุ่มเทหน่อย ต่อไปฉันจะหาตำแหน่งดีๆ ให้นายเอง”
เป็นหัวหน้ากลุ่มนวัตกรรมการเกษตร?
นี่มันตำแหน่งที่มีอำนาจ แถมยังทำผลงานได้ง่ายอีกด้วยนะ
คนนับไม่ถ้วนต่างก็อยากได้ตำแหน่งนี้กันทั้งนั้น
ถ้าทำผลงานได้ ก็จะช่วยฟอกขาวประวัติให้ดูดีได้
“ขอบคุณพี่มากจริง ๆ” เหอชุนเซิงพูดจาเอาใจ “พี่เซี่ยว ต้องขอบคุณพี่มากเลย ถ้าไม่มีพี่ ผมคงโดนไล่ออกไปนานแล้ว”
“ถ้าผมไม่มีพี่ ผมคงต้องอดตายกันทั้งบ้านแน่ ๆ”
“ตอนนี้เสวี่ยเอ๋อร์เมียผมก็กำลังท้อง ผมยิ่งต้องพึ่งพาพี่แล้ว”
เซี่ยวเกาซานเพิ่งจะย้ายมาเมื่อต้นปี คนที่คอยประจบสอพลอเขายังมีไม่มาก
ทุกคนมีตำแหน่งเท่ากัน คนส่วนใหญ่จะเข้าหาหลี่จื้อเฉียงมากกว่า
พูดถึงหลี่จื้อเฉียง คนๆ นี้ไม่มีความรู้ อาศัยแต่ตัวเองอายุเยอะ ถึงได้เป็นหัวหน้าได้
ไม่เหมือนเขาที่มีทั้งความรู้ มีทั้งการศึกษา ผ่านโลกมามาก การมาอยู่ที่นี่นับเป็นการเสียของ
แต่ก็เพื่อเป็นการสั่งสมประสบการณ์ในพื้นที่ห่างไกล ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มาที่นี่หรอก
ตอนที่เขามาใหม่ ๆ เขาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน อยากจะชี้นิ้วสั่งการ ปฏิรูปที่นี่ครั้งใหญ่
แต่ปรากฏว่าคนที่นี่ไม่มีใครฟังเขาเลย ทำให้เขาโมโหมาก
ตอนนั้นเอง เหอชุนเซิงก็ก้าวออกมาสนับสนุนอำนาจของเขาอย่างเต็มที่
เขาจำเป็นต้องให้ “ผลประโยชน์” กับเหอชุนเซิงบ้าง เพื่อให้คนอื่นได้เห็นว่า การติดตามเขานั้นมีอนาคตมากกว่าการติดตามหลี่จื้อเฉียงเยอะ
เขาอยู่ในตำแหน่งมาสามปี เขาจะปล่อยให้ตัวเองเป็นเหมือนไม้ประดับที่ถูกมองข้ามอย่างนี้ไม่ได้
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแบบนั้น ฉันจำได้”
“ฉันรู้สถานการณ์ของครอบครัวนาย ฉันจะไม่ปล่อยให้นายลำบาก”
เหอชุนเซิงยิ้มกว้างทันที เขาก้มคำนับเล็กน้อย ไม่มีท่าทีหยิ่งยโสเหมือนปีที่แล้ว
เขาชะงักไป รู้ว่าเย่เสี่ยวจิ่นกลับมาที่ตำบลอีกแล้ว
ความอับอายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาในใจ
“โอ้ เหอชุนเซิง ยังอยู่ที่นี่อีกเหรอ”
เหอชุนเซิงรู้สึกอึดอัด “ใช่ แล้วเธอล่ะ กลับมาที่นี่เพื่อมาแนะนำเทคนิคอีกแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่ คุณไม่รู้เหรอ ฉันย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านแล้ว ต่อไปนี้ พวกเราก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปแล้ว”
เหอชุนเซิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อวานนี้ไง”
เหอชุนเซิงจึงนึกขึ้นได้ เมื่อวานนี้มีคนมากมายพูดกันว่าจะไปเลี้ยงต้อนรับใครบางคน
หรือว่าจะเป็นเย่เสี่ยวจิ่น?
เหอชุนเซิงมองเย่เสี่ยวจิ่นเดินจากไป รีบหันไปบอกเซี่ยวเกาซานที่กำลังทำหน้างงว่า “เด็กคนนี้เพิ่งอายุสี่ขวบครึ่ง เพราะว่าชอบอ่านหนังสือ เลยเรียนรู้เทคนิคการปลูกพืชบางอย่าง หลี่จื้อเฉียงเลยพาหล่อนมาที่ทำการตำบล”
“เธออายุยังน้อย แต่กลับมีนิสัยเอาแต่ใจ แถมยังถือตัวว่ามีหัวหน้าหลี่คอยหนุนหลัง จึงไม่เคยมองใครอยู่ในสายตา”
“อีกอย่าง ว่ากันตามเหตุและผล เธออายุแค่นี้จะเข้ามาทำงานที่นี่มันไม่น่าขันเหรอ คนข้างนอกไม่รู้จะนินทาว่ายังไงแล้ว แต่หัวหน้าหลี่ก็ยังจะทำเรื่องไม่เข้าท่าแบบนี้”
เซี่ยวเกาซานขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน “แบบนี้มันไม่ถือว่าใช้อำนาจในทางมิชอบอย่างชัดเจนเลยหรือ”
“ฉันว่าเด็กคนนี้ต้องเป็นญาติกับหัวหน้าหลี่แน่ๆ”
“หึๆ ปกติหลี่จื้อเฉียงทำตัวเป็นคนแสนดี เพื่อที่จะยัดญาติเข้ามาทำงาน ถึงกับทำเรื่องแบบนี้ได้”
เซี่ยวเกาซานรู้สึกดูถูกการกระทำแบบนี้อย่างมาก “ฉันจะไปถามเขาดู ว่ารัฐบาลนี้เขาเป็นคนตัดสินใจอยู่คนเดียวหรือไง”
เหอชุนเซิงรีบรั้งเซี่ยวเกาซานไว้ “ท่านหัวหน้า คุณอย่าไปถามเขาเลย เดี๋ยวเขาจะแอบผูกใจเจ็บคุณ”
“เรื่องนี้เป็นความลับที่นี่ ไม่มีใครกล้าพูดถึง ล้วนปล่อยเลยตามเลยกันทั้งนั้น”
“ที่ผมบอกคุณเพราะรู้สึกว่าการทำงานร่วมกับยัยเด็กนี่มันเป็นการดูถูกกันอย่างมาก”
เขาถอนหายใจ แสร้งทำเป็นไม่พูดถึงความบาดหมางระหว่างตัวเองกับเย่เสี่ยวจิ่น เลยแม้แต่น้อย
“ลองคิดดูสิ พวกเราทุกคน ต่างก็เรียนจบจากโรงเรียนดีๆ ฝ่าฟันการแข่งขันกันมาอย่างดุเดือด กว่าจะได้มาทำงานที่นี่”
“แต่หล่อนกลับมีชะตาดี มีคนคอยปูทางให้ไปถึงไหนๆ ได้ง่ายๆ”
เซี่ยวเกาซานเย้ยหยันอย่างเย็นชา “ไร้สาระสิ้นดี ผมต้องรายงานเรื่องนี้”
เขารู้ตัวดีว่า ในที่สุดเขาก็หาข้ออ้างเล่นงานหลี่จื้อเฉียงได้แล้ว
เขาครุ่นคิดว่าจะบอกเรื่องนี้กับหลี่จื้อเฉียงอย่างไรดี
เขาควรจะใบ้ให้ชายคนนั้นรู้ แล้วเก็บความลับนี้ไว้เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
หรือจะรายงานต่อผู้บังคับบัญชาแล้วจัดการเขาไปเลยดี?
แบบนี้เขาจะได้มีอำนาจเด็ดขาดอยู่ที่นี่
เซี่ยวเกาซานครุ่นคิด เดินไปที่ห้องทำงานของตัวเองแล้วรินน้ำชา
เลขานุการมาเคาะประตู “ท่านหัวหน้า การประชุมเริ่มแล้วค่ะ”
เซี่ยวเกาซานวางถ้วยเคลือบของเขาลง ยืนขึ้นและจัดเสื้อผ้าของเขาหยิบสมุดโน้ตกระดาษคราฟต์และปากกาที่เขาหวงแหนขึ้นมา
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
ในห้องประชุมมีคนนั่งเต็มแล้ว
เซี่ยวเกาซานนั่งลงในที่นั่งด้านหน้า และพบว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ที่นั่นด้วย
เขาขมวดคิ้วทันที
หลี่จื้อเฉียงคนนี้เป็นบ้าไปแล้ว อะไรจะเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้
หมอนี่ไม่กลัวตกน้ำหรือไง?
ไม่ใช่แค่เซี่ยวเกาซานที่มองเย่เสี่ยวจิ่น คนอื่น ๆ ก็มองเย่เสี่ยวจิ่นด้วยความอยากรู้อย่างมากเช่นกัน
เย่เสี่ยวจิ่นนั่งตัวตรง สีหน้าจริงจัง ดูสุขุมเหมือนผู้ใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ
จ้าวกั๋วถ่งนั่งที่นั่งตรงหัวโต๊ะ โบกมือ “ทุกคนเงียบก่อน วันนี้มีเรื่องจะพูดในการประชุมสองสามเรื่อง”
“ก่อนอื่นเลย เย่เสี่ยวจิ่นจากหมู่บ้านชงเถียน ได้ย้ายมาทำงานกับพวกเราแล้วนะครับ”
“หวังว่าทุกคนจะช่วยดูแลหล่อนด้วยนะครับ เพราะหล่อนยังเด็ก ประสบการณ์น้อย พวกเราช่วยเหลือเย่เสี่ยวจิ่นเยอะๆ นะครับ”
“เชื่อว่าทุกคนคงจะคุ้นเคยกับหล่อนเป็นอย่างดี หล่อนเป็นผู้นำพาหมู่บ้านชงเถียนให้ประสบความสำเร็จ ทุกคนในหมู่บ้านต่างได้รับเงินปันผลไปคนละ 70 หยวน!”
“นับว่าเธอเป็นผู้ที่มีความดีความชอบอย่างใหญ่หลวง”
ระหว่างที่จ้าวกั๋วถ่งกำลังพูด ทุกคนก็เบนสายตาไปที่เย่เสี่ยวจิ่น
เธอไม่ได้แสดงท่าทางอวดเบ่งหรือถ่อมตนจนเกินควร ทำเพียงยิ้มบางอย่างสุภาพ
“นอกจากนี้ หล่อนเองก็ร่างแผนการเลี้ยงปลาในนาข้าว ซึ่งเรื่องการปลูกแตงโมและปลาในนาข้าวก็ได้ลงในหนังสือพิมพ์แล้ว”
“บ้านของหล่อนเป็นครัวเรือนแรกในหมู่บ้านที่มีรายได้หนึ่งหมื่นหยวน”
ตอนนี้ ทุกคนต่างมองเธอด้วยความชื่นชม
ครัวเรือนที่มีรายได้หนึ่งหมื่นหยวน?
ล้อเล่นหรือเปล่า?
พวกเขาที่รับเงินเดือนทุกเดือน ก็ไม่มีใครมีเงินหมื่นหยวนสักคน
หากมองไปทั่วต้าหลี คาดว่ามีแค่เศรษฐีหมื่นหยวนแค่คนเดียวนี่แหละ
“พระเจ้า เสี่ยวจิ่น พวกเธอทำได้ยังไง”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้ม “ครอบครัวของฉันทำนาข้าวเลี้ยงปลาไปพร้อมกับคนในหมู่บ้าน หักค่าใช้จ่ายส่วนกลางแล้วแบ่งกันคนละครึ่ง ดังนั้นจึงได้เงินมาจำนวนหนึ่ง”
เธอไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะพูดมากมักผิดพลาด
เงินของเธอมาจากแหล่งอื่นด้วย
ตอนนี้ทุกคนแทบจะไม่ดูถูกเธอแล้ว กลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก
และอยากจะแอบถามเธอเป็นการส่วนตัวว่า ทำอย่างไรถึงสามารถร่ำรวยจากการทำนาได้?
จ้าวกั๋วถ่งเห็นทุกคนมีท่าทีต่อเย่เสี่ยวจิ่นเป็นอย่างดี ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“นอกจากนี้ เรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ภารกิจด้านนวัตกรรมทางการเกษตรจากเบื้องบน พวกเรามอบหมายให้เย่เสี่ยวจิ่นดูแลทั้งหมด”
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หล่อนจะกลายเป็นบุคลากรภายในของเรา จากเดิมที่เป็นบุคลากรภายนอก”
“กรมกสิกรรมจากเบื้องบนได้ตรวจสอบผลงานและบทความที่หล่อนตีพิมพ์แล้ว พวกเขาพอใจมาก”
“จิ่นเป่า เธอรู้สึกกดดันไหมที่ต้องเป็นหัวหน้าทีมนวัตกรรมทางการเกษตร?”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้ม “ก็เหมือนกับปีที่แล้ว เพียงแต่ขยายขนาดขึ้นเท่านั้นเองค่ะ”
จ้าวกั๋วถ่งหัวเราะอย่างพอใจ “เห็นเธอมั่นใจแบบนี้ก็ดี ไปลงมือจัดการได้เลย ให้เธอเป็นคนบัญชาการ สั่งให้ใครทำอะไรที่ไหนก็จัดการไป”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ว้าว อายุแค่นี้ได้เป็นถึงหัวหน้าทีมนวัตกรรมการเกษตรเลยนะจิ่นเป่า
คู่กรณีเก่าก็อยู่ด้วย จะมีเหตุขัดขากันไหมนะ
ไหหม่า(海馬)
……….