ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 220 ความสุขของแต่ละครอบครัว
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 220 ความสุขของแต่ละครอบครัว
บทที่ 220 ความสุขของแต่ละครอบครัว
……….
บทที่ 220 ความสุขของแต่ละครอบครัว
หยางลี่ลี่ได้ยินคำพูดนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาทันที
หยางเจวียนได้ยินเสียงหัวเราะของลูกสาวก็รู้สึกสงสัย จึงถามว่า “ลี่ลี่ หัวเราะอะไรอย่างมีความสุขขนาดนั้นล่ะลูก?”
“แม่คะ หนูจะเล่าเรื่องตลกให้ฟัง พี่ชายบอกว่าอยากเป็นเหมือนพี่เย่หวาย จะไปเรียนต่อสายอาชีพ” หยางลี่ลี่ทำหน้าตาตลกเลียนแบบหยางจิ่น “ฮ่าๆๆ หนูไม่เชื่อหรอก พี่ชายแค่พูดเล่นใช่ไหมคะ”
หยางจิ่นอยากจะเข้าไปบีบปากน้องสาวตัวเองให้หยุดพูดสักที
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมจิ่นเป่าถึงดีกับพี่ชายขนาดนั้น ส่วนเธอนี่ เป็นเจ้ากรรมนายเวรฉันชัดๆ”
หยางจิ่นยืนเท้าสะเอวด้วยความไม่พอใจ “นี่ฉันยังไม่ได้เริ่มสอบเลยนะ เธอก็มาพูดแบบนี้แล้ว แม่ครับ ดูสิครับ หล่อนคิดอะไรอยู่เนี่ย!”
หยางเจวียนมองลูกชายและลูกสาวที่มักจะทะเลาะกันเป็นประจำด้วยความเคยชิน
“เอาล่ะๆ พวกลูกสองคนพูดน้อยๆ หน่อย วันสิ้นปีแล้วอย่าพูดอะไรไม่ดี ถ้าแม่ยังได้ยินใครพูดจาไม่ดีอีก แม่จะตีให้เข็ดหลาบต้อนรับปีใหม่เลย”
“วันนี้บ้านเราได้เงินปันผล พ่อจะไปรับย่ามากินอาหารเย็น รีบมาช่วยแม่ทำงานเร็ว” หยางเจวียนพูดพลางเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเตรียมทำอาหารมื้อค่ำวันส่งท้ายปีเก่า
หยางลี่ลี่มองพี่ชายของเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะสะบัดผมหางม้าสองข้าง กระโดดโลดเต้นวิ่งตามเข้าไปในบ้าน
“แม่คะ เราได้เงินมาเยอะขนาดนี้ ปีนี้เงินอั่งเปาของพวกเราจะได้เพิ่มขึ้นหน่อยไหมคะ?”
“ปีที่แล้วแม่ก็ไม่ได้ให้เงินอั่งเปานี่!” หยางเจวียนนึกขึ้นได้ว่า ปีที่แล้วเพราะที่บ้านค่อนข้างฝืดเคือง จึงไม่ได้ให้เงินอั่งเปาแก่ลูกๆ
แต่ปีนี้ได้รับเงินมามากมาย ก็คงไม่ตระหนี่แน่นอน
“งั้นก็ดูว่าพวกลูกสองคนใครทำงานให้แม่ได้ดีกว่ากันในวันนี้”
“ใครทำได้ดีก็จะได้รับมากหน่อย”
หยางลี่ลี่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแย้มทันที “แม่ นั่งอยู่เฉยๆ นะคะ หนูจะช่วยก่อไฟเอง”
หยางจิ่นเดินเข้ามาจากข้างนอก “แม่ ให้ผมทำเถอะ ผมจะล้างจาน”
พี่น้องทั้งสองคนกำลังขยันขันแข็งกันอย่างมาก หยางเจวียนมองดูพวกเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
อีกครอบครัวหนึ่งก็กำลังก่อไฟต้มน้ำอยู่เช่นกัน ซูต้าเฉียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตรงหน้ามีจานถั่วลิสงวางอยู่ เขาหยิบถั่วเม็ดหนึ่งมาเล่นกับซูโหย่วจื้อลูกชายคนเล็กของเขาที่อายุเพียงสามขวบกว่า ส่วนซูเอ้อร์หยากำลังช่วยหลี่ผิงแม่ของเธอทำงานอยู่ข้างเตา
หลี่ผิงถือแปรงที่ทำจากฟางข้าว กำลังขัดเขม่าที่ก้นเตา “ปีนี้ครอบครัวเราก็ถือว่าโชคดี ได้รับส่วนแบ่งเงินมาตั้งสองพันแปดร้อยหยวน”
หล่อนพูดไปพลางทำงานไป “ถ้าคิดแบบนี้ ครอบครัวที่มีคนมากก็ต้องได้รับเงินมากเป็นธรรมดา”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ซูต้าเฉียงอุ้มลูกชายไว้บนตัก “ปีก่อนๆ พวกเรามากสุดก็ได้แค่พันสองร้อยหยวน แต่ปีนี้ได้มากขึ้นตั้งพันหกร้อยหยวนเชียวนะ”
“แล้วอีกไม่นานพอขายสตรอว์เบอร์รีในโรงเรือนก็จะได้เงินอีกมาก”
“ปีนี้ทุกคนคงได้ฉลองปีใหม่อย่างสบายๆ แล้วยังมีข้าวที่ทีมเราปลูกได้อีกตั้งเยอะ แทบไม่ได้ขายออกไปเลย น่าจะแบ่งให้ทุกคนเป็นเสบียง” หลี่ผิงพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นพรุ่งนี้เราไปเยี่ยมแม่ฉันกันเถอะ ไม่รู้ว่าบ้านเราแต่ละคนได้เงินแบ่งไปเท่าไหร่”
“คงไม่ได้มากเท่ากับที่หมู่บ้านชงเถียนของเราแบ่งกันหรอก ฉันถามๆ มา หมู่บ้านอื่นๆ ก็ยังเหมือนปีก่อนๆ ได้แค่คนละประมาณสามสิบหยวนเท่านั้น”
“คนที่ฉันถามมาบอกว่าอยากย้ายมาอยู่หมู่บ้านเรา แถมยังมีหลายคนที่บอกว่าอยากจะปลูกแตงโมเหมือนเราด้วย”
ซูต้าเฉียงหัวเราะหึๆ ในลำคอ “ผมก็บอกพวกเขาไปว่าอย่าเพิ่งเลย ถึงยังไงในหมู่บ้านของเราก็มีจิ่นเป่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ”
“ถ้าคนอื่นปลูกแตงโมแบบส่งๆ คงขายไม่ได้ราคาดีหรอก”
หลี่ผิงเห็นด้วย “คุณไม่รู้หรอก ตอนต้นปีหลี่ชุ่ยชุ่ยเพิ่งมาที่ฟาร์มไก่ของพวกเรา ดูท่าทางไม่ค่อยดีเลย”
“เสื้อผ้าก็เต็มไปด้วยรอยปะชุน ตัวซีดเซียว ฉันได้ยินมาว่าครอบครัวของพวกเขาจนมาก”
“มีกันแค่สองคน ต้องเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่ที่มีลูกตั้งสี่คน แถมยังมีพ่อแม่สามีภรรยาที่แก่ชราอีกสองคน”
หลี่ผิงพูดพลางถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “ผ่านมาแค่ปีเดียว ครอบครัวพวกเขาไม่ใช่แค่ได้สร้างบ้านอิฐใหม่นะ ยังมีทั้งจักรยาน รถสามล้อ แถมตอนนี้กำลังจะถอยรถบรรทุกคันใหญ่แล้วด้วย!”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาไปเอาโชคมาจากไหน ถึงได้หาเงินเก่งขนาดนี้ แถมยังไม่ลืมที่จะชวนพวกเราไปหาเงินด้วยกันอีก”
จริงๆ แล้วหลี่ผิงไม่ได้อิจฉา เพียงแต่รู้สึกทึ่งกับความร่ำรวยของครอบครัวเย่เสี่ยวซาน ถึงแม้พวกเขาจะรวยขึ้น แต่ก็ไม่เคยลืมที่จะชวนครอบครัวของหลี่ผิงไปหาเงินด้วยกัน
ณ บ้านของเย่ต้าเกอ
ครอบครัวสี่คนของพวกเขากลับมารวมตัวกันที่บ้านในช่วงเทศกาลปีใหม่เช่นเคย
หลิวต้าเม่ยกับเย่ฉู่เฉียงสองสามีภรรยาก็มาร่วมรับประทานอาหารค่ำวันส่งท้ายปีเก่าที่บ้านของลูกชายด้วย
ในสายตาของหลิวต้าเม่ย ตอนนี้ครอบครัวของลูกชายคนโตกลายเป็นคนเมืองกันหมดแล้ว ทุกคนมีงานการทำที่มั่นคง ทำให้นางรู้สึกภูมิใจและมีหน้ามีตาในหมู่บ้าน
เช้าวันนั้นนางไปรับเงินบำนาญที่หน่วยงาน แล้วนำไก่ เป็ด และเนื้อหมูที่เลี้ยงไว้ที่บ้านมาที่บ้านของเย่จื้อเฉียงด้วย
บนโต๊ะอาหารที่บ้านของเย่จื้อเฉียงมีกล่องของขวัญสีแดงจำนวนมาก วางเรียงรายเตรียมไว้สำหรับปีใหม่
“โอ้ นี่มันอะไรกัน” หลิวต้าเม่ยเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลี่กุ้ยฮวายืดตัวตรง สวมเสื้อโค้ทผ้าสักหลาดอย่างสง่าผ่าเผย “นี่เป็นของขวัญปีใหม่ที่ลูกสะใภ้เอามาให้ครอบครัวเรา ทั้งหมดนี้เป็นกล่องของขวัญที่ครอบครัวของพวกเขาใช้สำหรับมอบให้กับบุคคลสำคัญ มีทั้งบุหรี่ เหล้า ใบชาชั้นดี และพวกนี้คือถั่วและผลไม้แห้ง”
“แม่ แม่เคยกินถั่วไหม?”
แน่นอนว่าหลิวต้าเม่ยไม่เคยกิน ในหมู่บ้านมีแค่เกาลัด พวกเขาไม่ได้เรียกเกาลัดว่าถั่ว พอได้ยินคำว่าถั่วก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
หลี่กุ้ยฮวายกกล่องถั่วขึ้นมา “แม่ งั้นแม่เอาไปกินกับพ่อที่บ้านนะ”
“ของดีแบบนี้ พวกแกเก็บไว้กินกันเองเถอะ” หลิวต้าเม่ยปฏิเสธอย่างเกรงใจ
“ของพวกนี้หายาก มีแต่ในเมืองเท่านั้น พวกท่านลอลิ้มรสของอร่อยตามจื้อเฉียงกันเถอะค่ะ!” หลี่กุ้ยฮวาคะยั้นคะยอ
หลิวต้าเม่ยรับกล่องถั่วมาด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข “เอาของดีขนาดนี้ให้พวกเรากินเชียว พวกเธอมีอีกไหม”
หลี่กุ้ยฮวาหัวเราะเบาๆ ด้วยเสียงอ่อนโยน “บ้านเรามีอีกเยอะแยะ ในเมืองมีอะไรให้กินเยอะเลย”
“คนในเมืองกินอะไรใช้ชีวิตยังไงก็ดีกว่า พวกคุณดูเสื้อผ้าฉันสิ ยังเหมือนคนบ้านนอกอยู่ไหม”
หลิวต้าเม่ยยื่นมือที่หยาบกร้านออกมาลูบเสื้อโค้ทขนสัตว์บนตัวของหลี่กุ้ยฮวา “เสื้อผ้าแบบนี้ ใส่แล้วไม่หนาวเหรอ?”
หลี่กุ้ยฮวารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แน่นอนว่าเสื้อโค้ทนี้ไม่อาจเทียบกับความอบอุ่นของเสื้อนวมหนาๆ ได้ แต่เสื้อผ้าชุดนี้สวยงามและทันสมัย อยู่ในบ้านก็ไม่รู้สึกหนาวเท่าไหร่ และถ้าออกไปข้างนอกก็ดูดีมีสง่า
“ไม่หนาวหรอก เสื้อผ้าชุดนี้เป็นผ้าคุณภาพดี จะหนาวได้ยังไงกัน”
เย่จู๋มองดูเสื้อผ้าที่ทุกคนในครอบครัวสวมใส่ ซึ่งแตกต่างจากชาวบ้านในชนบทอย่างมาก แม้แต่หล่อนก็ยังได้สวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับที่สาวๆ ในเมืองใส่กัน
แต่เย่จู๋ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะรู้ดีว่าฐานะของครอบครัวตนไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่แม่ของเธอพยายามจะแสดงออก
แม้ตอนนี้ทั้งครอบครัวจะมีรายได้มากขึ้น แต่ทุกคนต้องทำงานหนักในโรงงานทุกวัน จนกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้าทุกคืน
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้จัดการโรงงานก็ยังเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ ชอบคุยโอ้อวดต่อหน้าครอบครัวของหล่อนอยู่เสมอ
หล่อนรู้สึกขยะแขยงทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา แต่แม่ของหล่อนกลับจำใจต้องทำตัวประจบประแจง และยกยอปอปั้นผู้จัดการโรงงานคนนั้นอยู่ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ผู้จัดการโรงงานคนนั้นก็ไม่ได้ให้ความเคารพแม้แต่พี่ชายของหล่อน กล้าถึงขนาดดูถูกเย่เหวินชางต่อหน้าครอบครัว
ช่างน่าโมโหจริงๆ! แต่พวกเขาก็ต้องอดทน เพราะต้องการเงิน
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พยายามเป็นอย่างคนเมือง ก็ต้องยอมรับการถูกคนเมืองกดขี่ให้ได้ล่ะนะ
ไหหม่า(海馬)
……….