ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 22 การปฏิบัติที่แตกต่างของย่า (รีไรต์)
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 22 การปฏิบัติที่แตกต่างของย่า (รีไรต์)
บทที่ 22 การปฏิบัติที่แตกต่างของย่า (รีไรต์)
บทที่ 22 การปฏิบัติที่แตกต่างของย่า (รีไรต์)
เย่เสี่ยวจิ่นได้ยินเสียงจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้น ขณะนี้ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งถึงสองชั่วโมงกว่าจะรุ่งสาง
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบเก็บเสื้อผ้าและหยิบข้าวของให้เย่จื้อผิง
หล่อนเป็นห่วงเย่เสี่ยวจิ่นที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
หล่อนมองเย่เสี่ยวจิ่น ดวงตาแดงก่ำ “จิ่นเป่า แม่พาหนูไปอยู่กับป้าเจวียน หนูว่าดีไหม”
“พ่อหนูเกิดเรื่องขึ้น แม่ก็ไม่รู้ว่าจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่”
“ถ้าแม่พาหนูไปอยู่กับปู่ย่า พวกเขาต้อง…”
เย่เสี่ยวจิ่นดึงชายเสื้อหลี่ชุ่ยชุ่ย “แม่จ๋า อย่าร้องไห้นะคะ”
“หนูอยู่บ้านคนเดียวได้ จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“จิ่นเป่าทำกับข้าว ต้มน้ำเองได้ แถมยังทำงานได้ด้วย แม่ไม่ต้องห่วงหนูหรอกค่ะ”
เธอพูดอย่างซุกซน “ถ้าเจออันตราย หนูก็จะไปหาคุณลุงหัวหน้าฟาร์มไก่ แล้วก็ผู้ใหญ่บ้าน!”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่วางใจเลย
หล่อนรู้ดีว่าครอบครัวนี้ร้ายกาจแค่ไหน
หล่อนเช็ดน้ำตาแล้วออกจากบ้านไปทั้งที่มืดค่ำ
เมื่อไปถึงบ้านของหยางเจวียน หล่อนก็ฝากฝังลูกสาวไว้อย่างดีแล้วจึงค่อยวางใจลงบ้าง
หยางเจวียนก็มีลูกสาวคนหนึ่ง อายุมากกว่าจิ่นเป่าสองสามปี ก็นับว่ามีเพื่อนเล่นแล้ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยออกจากบ้านพร้อมกับเงินทั้งหมดที่มี ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีตอนนี้ก็แค่เจ็ดหยวนหกเหมาเท่านั้น
เงินที่บ้านมีก่อนหน้านี้จะเอาไปใช้รักษาเย่เสี่ยวจิ่นก็คงต้องหมดแล้ว
หล่อนรู้สึกเศร้าใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
“แม่จ๋า เงินนี่แม่เอาไปด้วยนะ” เย่เสี่ยวจิ่นหยิบเงินที่ได้จากการขายใยฝ้ายยัดใส่มือของหลี่ชุ่ยชุ่ย
“รอพ่อหายดีแล้ว พวกเราจะได้พาพ่อไปขายใยฝ้ายในเมือง พวกเราจะได้หาเงินได้อีกเยอะเลย!”
ดวงตาของเย่เสี่ยวจิ่นเป็นประกายระยิบระยับท่ามกลางแสงเทียน
ภายในดวงตานั้นดูราวกับมีเปลวไฟเล็ก ๆ อันอบอุ่นลุกโชติช่วงอยู่
“จิ่นเป่า…” หลี่ชุ่ยชุ่ยมองถุงผ้าที่บรรจุเงินสิบสามหยวนห้าเหมา “แต่ใยฝ้ายของพวกเราขายหมดแล้วนะ”
“ใยฝ้ายที่พวกเรามีตอนนี้เอามาทำเสื้อผ้ากับผ้าห่มจนหมดแล้ว เหลือแค่ 15 จิน เท่านั้น”
“ต่อไปจิ่นเป่าโตขึ้น ลูกก็ต้องนอนบนเตียงของลูกเองแล้วนะ ต้องเก็บใยฝ้ายไว้ให้จิ่นเป่าทำผ้าห่มด้วย”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องของอนาคตเอาไว้พูดกันทีหลังดีกว่าค่ะ”
ใยฝ้ายน้ำหนัก 50 กิโลกรัมที่เป็นรางวัลก้อนแรกของเธอนั้น เธอยังไม่ได้หยิบออกมาเลย
หลี่ชุ่ยชุ่ยชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เย่เสี่ยวจิ่นมองออกว่าหลี่ชุ่ยชุ่ยกังวลหลายอย่าง
ตอนที่หลี่ชุ่ยชุ่ยจะไป หล่อนก็ทำอาหารให้เย่เสี่ยวจิ่นทานหลายอย่าง เพราะกลัวว่าลูกสาวจะหิว
พอเช้าวันรุ่งขึ้น หลี่ชุ่ยชุ่ยก็ขึ้นเกวียนไปยังหมู่บ้านที่สามีหล่อนอยู่กับหลินซิ่วอิง
เย่เสี่ยวจิ่นทานอาหารที่บ้าน
ในใจเธอก็มีความกังวล ถ้าขาของพ่อเป็นอะไรมาก คงจะรักษายาก เพราะว่าการแพทย์สมัยนี้ไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าใด
ตอนเช้า หลิวต้าเม่ยรู้ว่าเกิดเรื่องกับเย่จื้อผิง ก็รีบมาที่บ้าน
หลิวต้าเม่ยมองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “เย่เสี่ยวจิ่น แม่แกอยู่ไหน”
“แม่เข้าไปในอำเภอแล้วค่ะ”
พอได้ยินว่าที่บ้านมีแค่เย่เสี่ยวจิ่นอยู่คนเดียว สีหน้าของหลิวต้าเม่ยก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมาทันที
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกถึงลางร้าย แต่ก็สายเกินไปแล้ว
“แกมันตัวซวย! เป็นเพราะแก! แกทำให้ลูกชายของฉันเป็นแบบนี้!”
หลิวต้าเม่ยชี้นิ้วด่าเย่เสี่ยวจิ่นด้วยความโกรธแค้น “แกมันเป็นตัวอัปมงคลมาเกิดชัด ๆ!”
นางจับแขนของเย่เสี่ยวจิ่นแล้วลากไป “รีบไปกับฉันเดี๋ยวนี้! ฉันจะพาแกไปที่วัดบนเขา แกห้ามอยู่ในบ้านของฉันอีกต่อไปแล้ว!”
“ตราบใดที่แกไม่อยู่ที่บ้านนี้ ทุกคนก็จะปลอดภัย”
ในใจของหลิวต้าเม่ยยังคงเป็นห่วงเรื่องความเป็นความตายของลูกชายของนาง
ผู้คนในยุคนี้ค่อนข้างงมงาย โดยเฉพาะหลิวต้าเม่ย
เมื่อเธอเจอเรื่องแบบนี้ สิ่งแรกที่นางคิดถึงไม่ใช่การเป็นห่วงว่าลูกสะใภ้จะมีเงินพอไปที่หมู่บ้านหรือไม่
กลับกลายเป็นนางรู้สึกว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเย่เสี่ยวจิ่นที่ทำให้ลูกชายของนางต้องกลายเป็นแบบนี้!
นางจะต้องกำจัดตัวปัญหาคนนี้!
“ปล่อยหนูนะ!” เย่เสี่ยวจิ่นพยายามดิ้นรน “คุณกำลังทำอะไร?”
หลิวต้าเม่ยมองเย่เสี่ยวจิ่นด้วยความโกรธ “ฉันก็แค่จะทำเรื่องเลวร้ายนี้ตอนพ่อแม่แกไม่อยู่เท่านั้นแหละ!”
“พ่อของแก ฉันเป็นคนให้กำเนิดเขามา แม่ลูกไม่ถือโทษริษยาค้างคืนหรอก เขาไม่โทษฉันหรอก”
“ส่วนตัวแกเอง ต่อไปถ้าแต่งงานไปอยู่บ้านอื่น ก็อย่ากลับมาสร้างความเดือดร้อนให้พวกเราอีก”
อีกฝ่ายแข็งแรงมาก เย่เสี่ยวจิ่นไม่มีทางสู้แรงหลุดไปได้
ทันใดนั้น หยางเจวียนก็มาถึง
พอเห็นภาพตรงหน้า หล่อนก็ตะโกนออกมา “ป้าหลิว ป้ากำลังทำอะไรน่ะ! ปล่อยเด็กเดี๋ยวนี้!”
“ตอนนี้ชุ่ยชุ่ยกับจื้อผิงไม่อยู่ ป้าจะพาหล่อนไปไหน!”
หยางเจวียนรีบวิ่งเข้าไปดึงแขน
“แกอย่ามายุ่งเรื่องของฉัน นี่มันตัวอัปมงคลชัด ๆ” หลิวต้าเม่ยโวยวายอย่างหัวเสีย
จริง ๆ แล้วหลิวต้าเม่ยก็โมโหหยางเจวียนคนนี้อยู่เหมือนกัน ไม่ช่วยอะไรแล้วยังจะมาสร้างความวุ่นวายให้อีก!
“เมื่อวานฉันไปหาหมอดูตาบอดมา หล่อนบอกว่าต้องไล่เย่เสี่ยวจิ่นออกไป ไม่อย่างนั้นพวกเราจะโดนเสนียดจัญไรจนตายกันหมด!”
หลิวต้าเม่ยเพิ่งอายุ 60 ปี ไม่อยากตายเร็วขนาดนั้น พูดไปพูดมา สรุปก็คือกลัวตัวเองเป็นอะไรไปนั่นแหละ
“เรื่องแบบนั้นป้ายังไปเชื่ออีก” หยางเจวียนสวมกอดเย่เสี่ยวจิ่นไว้ในอ้อมแขนอย่างปกป้อง “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ถ้าป้าเป็นห่วงจริง ๆ ก็รีบไปที่หมู่บ้านสิ!”
“จื้อผิงนอนอนามัย ค่าใช้จ่ายไม่พอ ป้าก็ไปเยี่ยมแล้วเอาเงินไปให้เขาด้วยเลยสิ”
พอได้ยินแบบนั้น หลิวต้าเม่ยก็ไม่ยอมทันที “ฉันจะมีเงินที่ไหน หลี่ชุ่ยชุ่ยยังมีเงินซื้อฝ้าย ฉันจะมีได้ยังไง”
“ฉันต้องลงไปทำงานทุกวัน ไม่มีเงิน แถมยังไม่มีเวลาอีก”
“แกไม่ดูฉันบ้างรึไงว่าฉันอายุเท่านี้แล้ว ขาแข้งก็ไม่ดีแล้ว”
คำพูดนั้นทำเอาหยางเจวียนแทบจะหลุดขำออกมา เรื่องที่ป้าหลิวบอกว่าไม่มีเงินน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก
แค่ไม่อยากควักกระเป๋าจ่ายมากกว่า
ไม่ให้ก็ไม่ว่า กลับยังมาอ้างว่าขาแข้งไม่ดีอีก ถ้าขาแข้งไม่ดีจริง แล้วจะมาที่นี่รังแกเด็กได้อย่างไร
“ป้าหลิว ถ้าป้าอ่อนแอขนาดนั้น ก็กลับไปอยู่บ้านเถอะ!”
“เรื่องที่ป้าจะไล่หลานตัวเองไป ฉันจะบอกจื้อผิงกับชุ่ยชุ่ยแน่”
“ช่วงนี้ฉันจะเป็นคนดูแลจิ่นเป่าเอง ถ้าพวกป้ายังกล้ามารังแกเด็กอีก ฉันไม่ไว้หน้าแน่!”
หลิวต้าเม่ยได้แต่ยืนอ้าปากค้างด้วยความโมโห “นี่มันหลานสาวฉัน แกเป็นแค่คนนอก…”
“ตอนนี้ป้าก็รู้แล้วสินะว่าจิ่นเป่าเป็นหลานสาว” หยางเจวียนไม่สนใจใยดี พูดจบก็พาเย่เสี่ยวจิ่นกลับบ้าน
ระหว่างทางหยางเจวียนก็บ่นไม่หยุด แต่ความจริงหล่อนเป็นคนจิตใจดี
พอถึงบ้าน หยางฟู่กุ้ยก็ทำกับข้าวเสร็จแล้ว
หล่อนพาเย่เสี่ยวจิ่นไปล้างหน้า แล้วเรียกให้มากินข้าว
“เจวียนเอ๋อร์ ทำไมถึงโมโหขนาดนั้นล่ะ”
“คุณไม่รู้หรอก ว่าฉันไปเจอเรื่องอะไรมา…”
หยางเจวียนระบายความอัดอั้นตันใจกับสามี หยางฟู่กุ้ยฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว
“จื้อผิงเป็นคนดี ทำไมพ่อแม่เขาถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ลงคอ”
“ใคร ๆ ก็รู้ว่าจื้อผิงมีลูกชายตั้งสามคน กว่าจะมีลูกสาวได้สักคน”
“ถ้าลูกสาวคนนี้หายไป คงเหมือนฆ่าเขาดี ๆ นี่เอง”
หยางเจวียนเยาะหยันในลำคอ “ก็ใช่น่ะสิ!”
บ้านของเย่จื้อเฉียง
หลี่กุ้ยฮวากำมือถูไปมา พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “คราวนี้น้องสามถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล พ่อแม่ไม่ควักเงินให้เลยเหรอ”
“พวกเขาไม่กลัวลูกชายตัวเองพิการรึไง”
“ไม่ให้สักหยวน” เย่จื้อเฉียงมองเตาถ่าน “พ่อแม่ฉันไม่ได้ไปเยี่ยมพร้อมกับหลี่ชุ่ยชุ่ยที่โรงพยาบาลประจำอำเภอด้วยซ้ำ แถมยังไม่ให้เงินเธออีก”
“เมื่อคืน หลินซิ่วอิงก็ไปบอกพวกเขาแล้ว พวกเขาจงใจไม่ไปเองนั่นแหละ”
“ก็กลัวว่าไปแล้วจะต้องกลายเป็นคนโง่ที่ต้องจ่ายเงินให้คนอื่นน่ะสิ”
“คิดอะไรแบบนี้…” หลี่กุ้ยฮวาหัวเราะ “ฉันนึกว่าพวกเขาให้เงินไปแล้วซะอีก”
“ถ้าพ่อแม่แกให้เงินหลี่ชุ่ยชุ่ย พวกเราก็ต้องได้ด้วย”
“อย่าให้ครอบครัวน้องสามของแกเอาเปรียบไปได้เชียว”