ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 216 ส่งท้ายปีเก่า
บทที่ 216 ส่งท้ายปีเก่า
…………….
บทที่ 216 ส่งท้ายปีเก่า
อากาศเย็นลงทุกวัน แตงโมและเมลอนก็ขายหมดแล้ว
เย่ฉางอันในฐานะผู้มีบุญคุณใหญ่หลวงของหมู่บ้านได้รับเชิญจากซุนจ่างซุ่นให้ไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้านด้วยกัน
“เจ้าหนุ่มคนนี้ปกติเงียบๆ ไม่ค่อยพูด แต่พอถึงเวลามีเรื่องสำคัญขึ้นมาจริงๆ ก็เก่งแบบหาตัวจับยากทีเดียว!”
“ปีนี้ฉันคิดว่าแตงโมกับเมลอนคงต้องเน่าคาไร่แล้ว ไม่นึกเลยว่านายจะมีคารมดีจนขายผลผลิตหลายหมื่นชั่งออกไปได้หมด” ซุนจ่างซุ่นยิ้มอย่างมีความสุข “ไหนนายลองเล่าซิว่าทำยังไงถึงทำได้สำเร็จ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยได้มอบสมุดบัญชีและเงินทั้งหมดให้กับหมู่บ้านแล้ว ทำให้ซุนจ่างซุ่นรู้สึกโล่งอกอย่างมาก ความกังวลในใจของเขาได้คลายลงไปมาก เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว
“ผมแค่บอกทุกคนไปทั่ว ต้องมีคนอยากซื้อแน่นอน” เย่ฉางอันพูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
กัวชิงซงนั่งลงข้างๆ แล้วพูดว่า “พวกเราทำเงินได้มากขนาดนี้ หลังแบ่งกันแล้ว ปีนี้ทุกคนก็จะฉลองปีใหม่กันอย่างมีความสุข”
สมาชิกคนอื่น ๆ ต่างพากันเห็นด้วย
“มีเงินให้หาได้นับเป็นเรื่องดี ตลอดทั้งปีพวกเราแทบไม่มีเงินเก็บเลย เด็ก ๆ ก็ต้องเรียนหนังสือ ที่บ้านก็ต้องใช้จ่าย มันลำบากมาก” อีกเสียงพูดเสริม
“ใช่ คราวนี้ต้องขอบคุณครอบครัวของเสี่ยวเย่ที่มีความคิดดีๆ ทำให้พวกเราได้หายใจหายคอกันบ้าง”
“ส่วนผมไม่มีลูกต้องเลี้ยงดู แต่ก็ได้รับส่วนแบ่งเงินมากขึ้นเหมือนกัน ตอนนี้จะได้เก็บไว้เพื่อหาภรรยาในอนาคต”
ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดติดตลก ทำให้ทุกคนหัวเราะครื้นเครงขึ้นมา
“ขอเมีย? คิดแต่เรื่องพวกนี้เหรอ”
“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เย่ฉางอัน ในเมื่อนายมีความสามารถขนาดนี้ ทำไมไม่หาภรรยาแต่งงานสักทีล่ะ?
“ฉันได้ยินมาว่ามีคนมาชอบนายเยอะแยะ แต่นายไม่สนใจใครเลย คงมาตรฐานสูงเกินไปสินะ”
เย่ฉางอันโบกมือปัดๆ ดื่มเหล้าไปสองแก้ว แก้มเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา “พวกพี่อย่าพูดเรื่องไร้สาระ ผมยังเด็กอยู่ ไม่รีบร้อนในเรื่องนี้หรอก”
“ครอบครัวผมยังอยู่ในสภาพนี้ น้องชายยังเรียนอยู่ น้องสาวยังเล็กมาก ผมจะรีบแต่งงานไปทำไมล่ะ?”
ซุนจ่างซุ่นยิ้มพลางพยักหน้า “ครอบครัวนายทำงานร่วมกัน แถมยังรักใคร่กลมเกลียวกันดีนะ”
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก หลังจากนี้ฉันจะคอยสังเกตให้ จะหาภรรยาที่กตัญญูและขยันขันแข็งให้เอง”
เย่ฉางอันเห็นว่าพวกเขาพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว จึงรู้ว่าตนเองพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์
เขาจึงส่ายหัวอย่างอ่อนใจ แล้วพูดตามที่พวกเขาว่า “งั้นถ้าพี่ๆ มีเรื่องดีๆ ก็ช่วยคอยดูให้ผมด้วยนะครับ”
กัวชิงซงพยักหน้าอย่างพอใจ “เออ ถูกต้องแล้ว ทัศนคติแบบนี้แหละถึงจะถูก”
“นายเป็นหนุ่มฉกรรจ์แข็งแรงแบบนี้ จะบอกว่าไม่อยากแต่งงานหรือไง?”
“คงไม่ได้จะอยู่กับพ่อแม่และน้องชายน้องสาวของนายไปตลอดชีวิตหรอกนะ”
จริง ๆ แล้วเย่ฉางอันอยากจะอยู่เคียงข้างพวกเขาไปตลอดชีวิต
มันคงจะดีถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ
ต่อจากนี้ไปชีวิตของพวกเขาจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ พ่อแม่น้องชายและน้องสาวก็จะได้อยู่ดีกินดีไปด้วย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เย่ฉางอันก็กลับบ้านด้วยอาการมึนเมาเล็กน้อย ท้องฟ้าเพิ่งจะเริ่มมืด เขาก็รู้สึกเย็นวูบที่ต้นคอขึ้นมาทันที
เงยหน้าขึ้นมอง “โอ้โห ลูกเห็บตกแล้ว!”
“นี่ก็เดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติแล้ว ก็ถึงเวลาที่ลูกเห็บจะตกแล้ว แต่ปีนี้อากาศหนาวเร็วจริง ๆ”
“โชคดีที่เมื่อเร็วๆ นี้ชาวบ้านช่วยกันปลูกสตรอว์เบอร์รีในโรงเรือนเสร็จแล้ว ไม่งั้น ใครจะอยากออกไปทำงานข้างนอกท่ามกลางอากาศหนาวแบบนี้”
เย่ฉางอันย่นคอ พลางดึงเสื้อขึ้นมาคลุมคอเอาไว้ “ขืนอยู่นี่ได้หนาวตายแน่ รีบกลับบ้านไปผิงไฟดีกว่า”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน
เย่จวินแบกถ่านไม้สีดำมืดเข้ามาวางไว้ในครัว
สองสามวันที่แล้วเขาไปตัดฟืนกับภรรยาที่ภูเขา นำฟืนมาเผาในเตาเผาจนได้ถ่านมากองหนึ่ง
โชคดีที่ตัวเองไม่ได้ขี้เกียจและวางแผนไว้ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นพออากาศหนาวแบบนี้ คงไม่มีทางขึ้นเขาไปเผาถ่านได้ มีถ่านอยู่ที่บ้านย่อมดีกว่าทนหนาวเป็นไหนๆ
“เสี่ยวเยว่ พักผ่อนบ้างเถอะ”
“เมื่อกี้คุณบอกว่าเสื้อผ้าเปียกฝนเปียกลูกเห็บหมดแล้ว รีบไปอาบในตอนที่น้ำยังอุ่นอยู่เถอะ จะได้ไม่เป็นหวัด”
“ถ้าเป็นหวัดขึ้นมา น้ำมูกไหลไอไม่หยุดจะทรมานมากเลยนะ”
หลิวเยว่ยิ้มให้เขา รู้สึกอบอุ่นในใจ
หล่อนรู้ดีว่าเย่จวินเป็นห่วงตน ถึงแม้ว่าปกติเขาจะไม่ค่อยพูด แต่การกระทำของเขาก็แสดงออกถึงความรักและห่วงใยหล่อนเสมอ
หลิวเยว่เป็นคนช่างสังเกต หล่อนย่อมรู้ถึงความห่วงใยที่เขาแสดงออกมาอย่างเงียบๆ เสมอ
“รู้แล้ว ฉันไม่หนาวหรอก”
“ฉันต้องรีบไปจุดเตาถ่าน เอาไปให้พวกน้องๆ ในห้อง จะได้ไม่มือแข็งตอนอ่านหนังสือเขียนหนังสือ”
“อากาศหนาวขนาดนี้แล้ว แต่เสี่ยวหวายยังไม่ยอมผ่อนคลายตัวเองสักนิด ปีหน้าเขาต้องสอบเข้าโรงเรียนที่ดีๆ ได้แน่นอน” หลิวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ เย่จวินพยักหน้าเบาๆ เห็นด้วยกับภรรยาจากใจจริง
บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นชาวไร่ชาวนามาหลายชั่วอายุคน พวกเขาจึงหวังว่าจะมีคนที่มีการศึกษาเกิดขึ้นในรุ่นของตัวเองสักที
“งั้นผมจะไปต้มน้ำตอนนี้ คุณนั่งอยู่ตรงนี้นะ อย่าขยับไปไหน” เย่จวินบอก ก่อนเดินออกไป
หลิวเยว่เห็นเย่จวินขยันขันแข็งทำงานไม่หยุด ก็นั่งมองอย่างว่าง่าย เย่จวินเห็นภรรยาอมยิ้มให้ตัวเองไม่หยุด อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัยว่า “คุณมองผมแล้วยิ้มทำไม”
“ฉันก็ยิ้มให้คุณไง คุณนี่เหมือนลูกข่างเลย หมุนติ้วๆ ทั้งวัน ไม่ได้หยุดพัก ยุ่งอยู่ตลอดเวลา”
“ช่วยไม่ได้นี่ ใกล้จะถึงวันปีใหม่แล้ว ช่วงนี้ก็ต้องยุ่งหน่อยเป็นธรรมดา”
“จริงสิ ตอนนี้ไก่เป็ดที่บ้านเราก็อ้วนพีแข็งแรงดี หมูก็โตแล้ว อีกไม่กี่วันเราไปรับพ่อของคุณมาฉลองปีใหม่ด้วยกันที่บ้านเราดีไหม”
“หรือไม่งั้นเราก็ฉลองที่บ้านก่อน แล้วค่อยไปฉลองปีใหม่กับคุณพ่อที่บ้านเขาก็ได้นะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวเยว่จางหายไปเล็กน้อย
หล่อนไม่รู้ว่าพ่อจะไปฉลองปีใหม่กับพี่ชายหรือเปล่า หรือว่ายังคิดถึงหล่อนอยู่ ตามธรรมเนียมแล้วก็น่าจะไปฉลองกับลูกชายแน่นอน
หลิวเยว่ก็ไม่รู้ว่าพี่ชายจะกลับไปฉลองปีใหม่ที่หมู่บ้านหรือฉลองที่เมือง
ถ้าหล่อนรีบร้อนไปโดยไม่ได้นัดหมาย คงจะโดนพี่สะใภ้ปากร้ายคนนั้นเหน็บแนมอีกแน่…
“ค่อยว่ากันตอนนั้นแล้วกัน ยังเหลือเวลาอีกเจ็ดแปดวันไม่ใช่หรือ”
เย่จวินรู้ว่าหล่อนคงมีเรื่องให้คิด “ไม่ว่าแม่และพี่ชายคุณจะเป็นอย่างไร แต่พ่อคุณก็รักและเอ็นดูคุณจริงๆ นะ ผมเห็นอยู่”
“ถ้าไม่สะดวก พวกเราก็ส่งของขวัญดีๆ ไปให้พวกเขาก็ได้ ถือว่าเป็นการแสดงน้ำใจ”
หลิวเยว่พยักหน้าพลางมองไปที่เย่จวิน “แม่ฉันไม่ได้ดีเหมือนแม่คุณหรอก ท้ายที่สุดแล้วคนเราก็แตกต่างกัน”
“ฉันซาบซึ้งใจนะที่คุณนึกถึงครอบครัวของฉัน แต่ฉันคิดว่าคุณควรให้ความสำคัญกับครอบครัวตัวเองก่อนดีกว่า”
หลิวเยว่รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้งที่ครอบครัวของเย่จวินดีกับหล่อนมากขนาดนี้ จึงตัดสินใจที่จะฉลองวันส่งท้ายปีเก่าและเทศกาลปีใหม่ที่นี่อย่างไม่ลังเล
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มีครอบครัวที่ไม่ใช่เซฟโซนก็ต้องคิดหนักหน่อย เฮ้อ ขอให้ได้ทางที่ทุกฝ่ายยอมรับได้นะ
ไหหม่า(海馬)
…………….