ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 215 ต้อนรับอวี้เจิน
บทที่ 215 ต้อนรับอวี้เจิน
…………….
บทที่ 215 ต้อนรับอวี้เจิน
อาหารเย็นมีเป็ดผัดขิงแก่ เนื้อวัวผัดพริกฮวาเจียวสด
นอกจากนี้ยังมีหมูผัดและไข่เจียว
ทั้งยังมีผัดผักโขมแดงอีกหนึ่งชามใหญ่ สีแดงสด ดูสวยงามมาก
เย่จื้อผิงวางอาหารทั้งหมดบนโต๊ะ “ภรรยา คุณดูซิว่าพอกินหรือยัง?”
“นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้เจินมากินข้าวที่บ้านเรา เราต้องไม่ทำให้หล่อนผิดหวัง”
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองแล้วพูดว่า “พอแล้วๆ พอกินแล้ว”
“บ้านเราก็ไม่ค่อยมีแขกมา คราวนี้คุณตั้งใจทำมากเลยนะ แต่คงไม่มีใครดื่มเหล้ากับคุณหรอก”
“มีอาหารมากขนาดนี้ก็พอแล้ว”
“ผมเคยไปดื่มกับใครที่ไหนล่ะ? ลูกชายดื่มกับผมสองแก้วก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?” เย่จื้อผิงไม่ได้โกหก เขาไม่เคยออกไปดื่มกับใครเลย
หนึ่งคือเขาไม่ชอบดื่มเหล้าและคุยโม้ เขาเป็นคนจนที่สุดในหมู่บ้าน มักจะพูดแทรกไม่ได้ ไม่มีอะไรน่าสนใจ
อีกอย่างคือกลัวว่าถ้าดื่มมากเกินไปจะทำให้เสียงาน หรืออาจก่อเรื่องวุ่นวาย ซึ่งจะไม่คุ้มค่าเลย
“ฉันว่าคุณน่าจะชอบใจสาวคนนั้นแล้วล่ะสิ” หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางหัวเราะ “อวี้เจินเป็นคนเก่งคนหนึ่ง ได้ยินว่าพอเรียนจบวิทยาลัยครู ก็ไปเป็นครูที่โรงเรียนมัธยมต้นเชียนอินเลย”
“เป็นผู้หญิงเก่งจริงๆ แถมพ่อแม่ก็เป็นข้าราชการ ฐานะก็ดีมาก”
“มีน้องชายแค่คนเดียว อายุห่างกันแค่สี่ปีกว่าๆ”
เย่จื้อผิงไม่ได้โต้แย้ง เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผมชอบใจหล่อนไปก็ไม่มีประโยชน์ ปัญหาคือหล่อนคงไม่สนใจฉางอันของเราหรอก”
“ฉางอันของเราไม่มีความรู้ ครอบครัวเราก็แบบนี้ ทั้งบ้านเป็นชาวนา คงไม่คู่ควรกับหล่อนหรอก”
“พวกเขาเป็นคนในเมืองมานานแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะหล่อนก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
ถ้าโชคดี ต่อไปฉางอันได้แต่งงานกับสาวในหมู่บ้านที่มีฐานะพอๆ กัน ขยันหน่อย พวกเขาก็พอใจแล้ว
หยางอวี้เจินรู้สึกเขินอายที่จะมาคนเดียว จึงชวนหยางลี่ลี่ที่เป็นญาติกันมาด้วย
หยางลี่ลี่คุ้นเคยกับครอบครัวเย่ จึงไม่รู้สึกเขินอายอะไร
“จิ่นเป่า”
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นหยางลี่ลี่แล้วทักทายอย่างกระตือรือร้น “พี่ลี่ลี่ พี่มาด้วยเหรอคะ รีบมากินข้าวเลยค่ะ”
“คนนี้คือพี่อวี้เจินใช่ไหมคะ สวยจังเลยนะคะ”
หยางอวี้เจินขบขันกับคำพูดของเย่เสี่ยวจิ่น “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลี่ลี่บอกว่าลูกสาวบ้านเย่น่ารักที่สุด เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย”
“หน้าตาน่ารักมาก ไม่เหมือนพี่ชายที่หยาบกร้านสักนิด”
“ดีนะที่ฉันเอาลูกอมฟักมาด้วย ไม่งั้นฉันคงเขินมากเลย”
หยางอวี้เจินยิ้มแย้มส่งห่อกระดาษสีน้ำตาลให้เย่เสี่ยวจิ่น
เย่เสี่ยวจิ่นรับมา
“รอกินหลังอาหารเย็นดีกว่า ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว”
“พี่อวี้เจิน เป็ดนี่พี่ชายของฉันลงมือเชือดเองเลยนะ คุณต้องกินเยอะๆ หน่อยนะ”
เย่ฉางอันกระแอมเบาๆ “นั่งลงเถอะ”
“กินให้เสร็จเร็วๆ จะได้กลับบ้าน ไม่งั้นเดี๋ยวฟ้ามืดแล้วพวกคุณจะกลับลำบาก”
เย่เสี่ยวจิ่นมองพี่ชายรองอย่างพิจารณา
ใครที่ไหนจะเชิญแขกมากินข้าวแล้วบอกให้รีบกินรีบกลับบ้านแบบนี้?
ช่างเป็นผู้ชายเถรตรงเกินไปแล้ว!
หยางลี่ลี่อดขำไม่ได้ “พี่ กินเถอะค่ะ”
โชคดีที่หยางอวี้เจินรู้นิสัยของเย่ฉางอันดี ไม่งั้นถ้าเป็นสาวคนอื่นเห็นท่าทางแบบนี้ คงคิดว่าเขากำลังเร่งให้พวกเธอรีบกลับบ้านแน่ๆ
หล่อนนั่งลงข้างๆ เย่ฉางอัน มองดูอาหารบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยเมนูอันโอชะ
“ฉันแค่มาขอแจมกินข้าวเท่านั้น ทำไมถึงทำอาหารเยอะแยะขนาดนี้ล่ะ?”
“บ้านฉันก็แค่ฉลองเทศกาลแบบนี้แหละ”
ทุกคนล้อมวงกินข้าวอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นพี่ชายพูดจาเถรตรงแบบผู้ชายซื่อเป็นระยะ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
รู้สึกว่าการเห็นพี่ชายคนรองเป็นแบบนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ
“ลี่ลี่ อาการคุณย่าของเธอดีขึ้นหรือยัง?” หลี่ชุ่ยชุ่ยถาม
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ หมอบอกว่าแค่เป็นหวัดเท่านั้น แต่คนแก่คิดมาก คิดว่าเป็นโรคร้ายแรง”
“พรุ่งนี้ลุงใหญ่จะพาคุณย่าไปตรวจที่เมืองให้สบายใจ”
หยางลี่ลี่ถือชามตอบอย่างเรียบร้อย “พรุ่งนี้แม่ของหนูก็จะไปด้วย จะไปซื้อผ้ามาทำเสื้อกันหนาวตัวใหม่ และให้หนูมาถามคุณว่าจะขอยืมจักรเย็บผ้าได้ไหมคะ”
“ได้สิ ถ้าเธอจะใช้ก็มาเอาได้เลยนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยและหยางเจวียนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จึงมีน้ำใจต่อกันมาก
หลังอาหาร หยางอวี้เจินอยากช่วยล้างจาน แต่ถูกหลี่ชุ่ยชุ่ยห้ามไว้
“เธอเป็นแขก ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายหรอก ให้ฉางอันพาเธอไปเดินเล่นย่อยอาหารดีกว่า”
หยางอวี้เจินมองเย่ฉางอันแวบหนึ่ง “ก็ได้ค่ะ ตอนนี้ยังไม่มืด นายพาฉันไปดูค้างปลูกเมลอนในหมู่บ้านหน่อยสิ”
เย่ฉางอันคิดในใจ “มีอะไรน่าดูกันนักหนา”
“ถ้าเธออยากกิน ฉันไปเด็ดมาส่งที่บ้านเธอก็ได้นะ”
หยางอวี้เจินเม้มปาก จ้องเขา “ฉันว่านายไม่อยากไปส่งฉันมากกว่า”
“ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ”
หยางลี่ลี่ไม่ได้ตามไปด้วย
แม้จะอายุยังน้อย แต่ก็รู้เรื่องการคบหาดูใจกันดี
พี่สาวของหล่อนกับพี่ชายฉางอันอายุไล่เลี่ยกัน บางทีอาจจะกำลังคบหาดูใจกันอยู่ก็ได้ หล่อนไม่ควรไปรบกวนพวกเขา
ส่วนใหญ่แล้วเย่ฉางอันจะเป็นฝ่ายพูด หยางอวี้เจินฟังอย่างตั้งใจ บางครั้งก็พูดแทรกบ้าง ทำให้เขารู้สึกสนุกไปด้วย
ทั้งสองคนเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าบ้านของหยางเจวียนโดยไม่รู้ตัว
หยางอวี้เจินอาศัยอยู่กับครอบครัวของอา
พ่อแม่ของหล่อนพักอยู่ที่บ้านย่า แต่ห้องที่นั่นเต็มไปด้วยของใช้ต่างๆ ไม่มีห้องว่างให้หล่อนอยู่
ดังนั้นหล่อนจึงมาอาศัยอยู่ที่นี่แทน
“ถึงบ้านแล้ว”
“อ้อ งั้นเธอรีบเข้าไปนอนเถอะ ฉันก็ต้องรีบกลับไปนอนเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้จะง่วงนอนตอนขับรถ”
หยางอวี้เจินส่ายหน้า “งั้นนายรีบไปเถอะ! ตอนนี้นายงานยุ่งมากนะ”
เย่ฉางอันเดินจากไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หยางเจวียนออกมาจากในบ้าน “อวี้เจิน เธอกับฉางอันดูสนิทกันมากเลยนะ?”
“ใช่ค่ะ พวกเราเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน” หยางอวี้เจินตอบอย่างตรงไปตรงมา “ก็แค่พูดคุยถึงเรื่องเก่าๆ น่ะค่ะ”
หยางเจวียนกระซิบเบาๆ “แต่ก่อนตระกูลเย่เคยจนที่สุดในหมู่บ้าน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
“ตอนนี้ฉางอันเป็นลูกเขยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่บ้าน มีคนมากมายอยากจะจับคู่ให้เขานะ”
“ช่วงนี้ฉันเห็นเขาหล่อขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ดีจริงๆ เลย”
หยางอวี้เจินยิ้มน้อยๆ ดวงตาเป็นประกาย “ป้า ทำไมป้าถึงบอกเรื่องนี้กับหนูล่ะคะ?”
“หนูไม่ได้จะจับคู่กับเขาสักหน่อย อีกอย่าง เป็นเพื่อนกันก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้หรอกนะคะ?”
หยางเจวียนก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
มันก็ดูไม่เหมาะสมจริงๆ
แม้ว่าเย่ฉางอันจะเป็นหนุ่มหล่อในหมู่บ้าน แต่อวี้เจินเป็นครูในเมือง มีงานประจำที่มั่นคง มีความรู้ ทั้งสวยและเก่ง
นี่คงเป็นเหตุผลที่มีคนมาสู่ขอกันไม่ขาดสาย
ตอนกลางคืน เย่จวินและเย่จื้อผิงมาคุยกันสักพัก
เขารู้สึกตื้นตันใจ ปีนี้เป็นปีแรกที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินก่อนถึงวันปีใหม่
ทุกปีที่ผ่านมา เงินในบ้านจะหมดในช่วงนี้ ข้าวใหม่ที่ได้มาก็ต้องประหยัดกิน
ยังต้องกังวลว่าจะไม่มีเงินฉลองปีใหม่ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
อีกทั้งช่วงปีใหม่อากาศหนาว ในบ้านก็เย็นยะเยือก ต้องไปหาฟืนมาเพิ่ม
ยังต้องกังวลว่าน้องชายน้องสาวจะป่วยอีก
เพราะหากป่วยขึ้นมา ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย
พวกเขาอิจฉาครอบครัวอื่นที่สามารถฉลองปีใหม่อย่างอบอุ่น ในขณะที่พวกเขาต้องทนหิวทนหนาวผ่านฤดูหนาวไป
“ปีนี้ใกล้จะจบลงแล้ว รู้สึกเหมือนความฝันเลย”
เย่จื้อผิงตบไหล่เย่จวิน “พ่อก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”
ในตำบล
หลิวต้าซุ่นกำลังดื่มเหล้าแกล้มถั่วลิสงกับชายคนหนึ่ง
“หลิวต้าซุ่น เพื่อนของผมบอกว่าคุณมีอิทธิพลพอสมควรในตำบลนี้ เป็นหัวหน้าที่พูดคำไหนคำนั้น มีลูกน้องหลายสิบคนใช่ไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ใครบ้างไม่รู้จักชื่อเสียงของพี่ใหญ่ต้าซุ่น?”
“แม้แต่ในอำเภอ พวกนักเลงที่เก่งกาจก็ล้วนเป็นเพื่อนของผมทั้งนั้น”
“ดีเลย งั้นผมจะฝากงานให้คุณทำสักอย่าง” ชายคนนั้นหยิบเงินจำนวนหนึ่งวางบนโต๊ะ “ที่โรงเรียนมัธยมต้าหลี่ในอำเภอของคุณ มีนักเรียนคนหนึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมสองครับ”
“เขาชื่อ เย่หวาย จำไว้ให้ดี คิดหาวิธีทำลายนักเรียนคนนี้ซะ”
“ครอบครัวเย่ของเขาไปทำให้น้องสาวของหัวหน้าเราโกรธ หัวหน้าเราบอกว่าต้องสั่งสอนพวกเขาให้หนักๆ ให้เป็นบทเรียนที่ลืมไม่ลงและพลิกฟื้นไม่ได้”
หลิวต้าซุ่นเงียบไปครู่หนึ่ง “นักเรียนชายคนหนึ่งเหรอ?”
“ใช่ รายละเอียดคุณไม่ต้องยุ่งมาก เราแค่ต้องการให้ชื่อเสียงของเขาพังพินาศ จนไม่กล้าเชิดหน้าชูตาออกมาเจอผู้คนอีก”
“หัวหน้าของพวกนายคือใคร? ถ้าฉันไม่รู้ว่ากำลังทำงานให้ใคร ฉันไม่ยอมเป็นไอ้โง่หรอกนะ”
ชายคนนั้นยิ้ม “พวกเราเป็นพี่น้องกัน ผมจะหลอกคุณได้ยังไง?”
“หัวหน้าของพวกเราคือผู้จัดการเจียงจากโรงงานอาหารกระป๋องในเมือง ถ้าคุณทำงานให้เขา ต่อไปคุณจะได้รับผลประโยชน์แน่นอน”
หลิวต้าซุ่นได้ยินก็รู้สึกว่าเจ๋งจริงๆ นี่มันผู้จัดการโรงงานเชียวนะ!
การได้เกาะขาคนใหญ่คนโตแบบนี้ เขาย่อมยินดีอย่างแน่นอน
“วางใจได้ ฉันรับรองว่าจะทำให้เขาโด่งดังไปทั่วต้าหลีเลย!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ฉางอันกับอวี้เจินเหมือนจะคิดแค่เพื่อน ไม่รู้ว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ไปได้อีกขั้นไหม
เย่หวายกำลังจะโดนทำร้าย ใครก็ได้ส่งข่าวเตือนที
ไหหม่า(海馬)
…………….